บทที่5.3

1801 คำ
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ โฮคิพาฉันมาถึงย่านปาร์ค แต่เป็นส่วนที่แบ่งแยกออกมาอีกนิดหน่อย เป็นสถานที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก โฮคิเลี้ยวเข้าไปในซอยแคบๆ ซึ่งมีกลิ่นชื้นและกลิ่นเหม็นสาบรุนแรงมาก ฉันนิ่วหน้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเขาไป และพอเดินมาได้สักพักฉันถึงเห็นว่ามันเป็นบันไดทางลงชั้นใต้ดิน ฉันถึงกับชะงักในวินาทีนั้น “ที่ไหนเนี่ย...”ฉันถามอย่างตกใจ สองตาจ้องบันไดทางลงที่มีแต่ความมืดปกคลุมและรอบกายที่มีกลิ่นเหม็นชื้นเต็มไปหมด ฉันรู้สึกหวาดกลัวเล็กๆ เพราะมันไม่เหมาะที่จะเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตเช่นคนสักเท่าไหร่ “บ้านฉัน” โฮคิตอบแต่ไม่ได้หันกลับมามอง เขาเดินลงบันไดไปอย่างไม่รูสึกอะไร ซึ่งเมื่อระยะห่างของเราไกลกันมากเท่าไหร่ หัวใจของฉันก็แทบสั่นเพราะความกลัว เพราะงั้นจึงตัดสินใจรีบวิ่งตามโฮคิไป ทางลงตรงนี้มืดมาก แทบมองอะไรไม่เห็น แต่ดีที่ไฟจากด้านในส่องสว่างออกมาจึงพอให้เห็นขั้นบันไดได้ และไม่นานนัก ฉันและโฮคิก็ลงมาหยุดอยู่ชั้นใต้ดิน เชื่อไหมว่าฉันถึงกับตกใจทันทีเมื่อเห็นสถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ของโฮคิ ภายในนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่มีเศษเหล็กเก่าๆ กองอยู่กับพื้น มีกล่องลังตั้งระเกะระกะจนแทบไม่มีพื้นที่ให้เดิน แต่ที่ทำให้ภายในนี้ดูเหมือนที่คนอาศัยคงเป็นโซฟาเก่าๆ สองตัว ผ้าห่มผืนบางๆ ที่กองอยู่บนโซฟา มีขวดน้ำเปล่าและกระป๋องน้ำอัดลมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ข้างๆ โซฟา นอกเหนือจากนั้นฉันยังเห็นเสื้อผ้าเพียงหกเจ็ดตัวที่แขวนอยู่บนราวเหล็กข้างๆ โซฟา ในนี้ใช้แสงไฟนีออนสีส้ม ส่องสว่างและอบอุ่นแตกต่างจากหลอดไฟสีขาวเล็กน้อย ทว่า...นี่น่ะเหรอบ้านของโฮคิน่ะ... “โฮคิ...นี่บ้านนายเหรอ?” ฉันหันหน้าไปถามคนข้างๆ เขาไม่ตอบแต่ฉันก็พอจะรู้ว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธ “ฉันรบกวนนายหรือเปล่า?” ฉันถามอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าฉันรังเกียจที่จะอยู่ที่แบบนี้ แต่เพราะมันแคบและค่อนข้างแออัด ลำพังโฮคิคนเดียวก็คงอึดอัดมากพอแล้ว โฮคิหันหน้ากลับมอง เขาจ้องหน้าด้วยใบหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ก่อนจะยอมขยับริมฝีปากพูด “อยู่ไปเถอะ” เขาพูดเพียงแค่นั้นพร้อมกับโยนกระเป๋าฉันลงพื้นอย่างไม่ใยดี ซึ่งนั่นทำให้ฉันต้องย่นจมูกเล็กๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะถึงแม้เขาจะแลเป็นคนแข็งกระด้าง แต่ตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับเขามันทำให้รู้ว่าโฮคิเป็นคนใจดีคนหนึ่ง ถึงจะตอบทำสายตาดุๆ เหมือนอยากฆ่าคนให้ตายตลอดเวลาก็เถอะ... ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ อีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากบริเวณทางเข้า ฉันจึงรีบหันกลับไปมองทันที “แม่ง! ฆ่ายากฆ่าเย็น!” ฆะ...ฆ่าเหรอ? เสียงดังกล่าวดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเจ้าของเสียงก็ลงบันไดมาแล้วชะงักกึกเมื่อสายตาของเขาหยุดที่ฉัน “ลิม” ฉันเอ่ยชื่อของเขาเบาๆ จ้องใบหน้าหล่อเหลาที่มีบาดแผลเล็กๆ ด้วยความฉงนใจ ฉันยอมรับว่าตกใจมากๆ แต่ไม่นานนักก็ปรับเปลี่ยนความรู้สึกตกใจให้กลับมาเป็นแบบเดิมเพราะความเป็นไปได้ที่ลิมจะอยู่ที่นี่กับโฮคิมันมีสูง เนื่องจากทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่ลิมดูท่าจะตกใจเอามากๆ ถึงขนาดอ้าปากพร้อมใช้นิ้วชี้หน้าฉัน เขาหันไปมองโฮคิที่นั่งสูบบุหรี่ยู่บนโซฟาด้วยความสงสัย “เฮ้ยๆๆ!! ยัยนี่มาได้ไงวะไอ้โฮ?” ลิมวิ่งไปถามโฮคิ สองตาของลิมมองฉันอย่างไม่ชอบใจนัก ซึ่งเหมือนตอนที่ฉันและเขาพบกันครั้งแรกนั่นแหละ โฮคิพ่นควันบุหรี่อย่างใจเย็นและไม่ปริปากตอบอะไร ฉันเองก็ได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่รู้จะทำอะไรดีในวินาทีนี้ “เฮ้ย! ตอบดิ แกเอายัยนี่มาทำไม อย่าบอกนะว่า...เฮ้ยย!!!” ลิมตะโกนเสียงดัง ใบหน้าของเขาอยู่ในโหมดคล้ายคนผีเข้าและยังไม่ละที่จะชี้หน้าฉัน ให้ตาย...กิริยาแบบนั้นมันอะไรกันน่ะ! และอีกอย่างนะ...ลิมกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆ เพราะดูจากสีหน้าท่าทางของเขาในตอนนี้ เหมือนเขามีคำตอบอยู่ในใจ ทว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ไม่ถูกต้องด้วย “อะไร” โฮคิถามเสียงเบาพลางเหลือบมองผู้เป็นเพื่อน “แกกับยัยนั่น…ได้กันแล้วใช่ไหม โอ๊ยยย” ลิมทำท่าทางเหมือนคนประสาทเสีย เขาขยำเส้นผมของตัวเองเหมือนรับอะไรบางอย่างไม่ได้ แล้วร้องโวยวายยกใหญ่จนโฮคิต้องใช้ฝ่ามือตบศีรษะลิมแรงๆ จนลิมหยุดร้องพลางคลำหัวตัวเองป้อยๆ ...ตอนนี้ใบหน้าของฉันร้อนวาบไปหมดแล้วจริงๆ ไอ้ ‘ได้กันแล้ว’ ของลิม ใช่ว่าฉันจะโง่เง่าไม่เข้าใจความหมายของมัน ทำไมลิมถึงได้คิดอะไรแบบนั้นล่ะ ฉันกับโฮคิเราจะ...เอ่อ...กันได้ยังไง บ้าจริง! “ยัยนั่นไม่มีที่อยู่” โฮคิพูดเสียงเรียบพลางตวัดสายตามองมาที่ฉัน “ฉันเลยพามา” “แล้วแกแคร์ทำไมวะโฮคิ ก็ปล่อยไปสิ เกี่ยวอะไรด้วย” ลิมยังทำท่าทางฮึดฮัดพร้อมจ้องหน้าฉันเขม็ง ฉันไม่เข้าใจลิมจริงๆ ว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงมีท่าทางที่ไม่ชอบฉันมากขนาดนั้น ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลยนะ ฉันแอบรู้สึกแย่เล็กๆ มือข้างหนึ่งกำสายกระเป๋านักเรียนแน่น ส่วนอีกมือที่ถือสเก็ตบอร์ดของโฮคิก็กำแน่นเช่นกัน บางที ฉันอาจจะต้องไปหาที่อยู่ใหม่ก็ได้นะ เพราะลิมคงไม่สบายใจถ้าฉันจะอยู่ด้วย ท่าทาง สีหน้า แววตาที่เขามองมามันทำให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ยินดีที่จะต้อนรับฉันมากขนาดไหน “หุบปาก” โฮคิพูดเสียงเย็นจนลิมต้องสงบปากลงก่อนที่เขาจะลุกจากโซฟาแล้วเดินตรงมายังฉัน ระยะห่างที่ลดลงเรื่อยๆ ทำให้ฉันใจเต้นอีกเช่นเคย สายตาของโฮคิจับจ้องฉัน ทว่าเมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก็เลื่อนสายตาลงต่ำ จากนั้นก็ดึงเอาสเก็ตบอร์ดไปจากมือฉัน สุดท้ายก็กลับไปนั่งที่เดิม ฉันตอบรับการกระทำนั่นด้วยรอยยิ้มบางเจื่อนแบบเก้ๆ กังๆ ที่สำคัญ...ตอนนี้ฉันรู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ทั้งโฮคิและลิมนั่งอยู่บนโซฟา แต่ฉันกลับยืนนิ่งเหมือนผีไม่มีศาลอย่างนี้ ทำอะไรไม่ถูก เพราะพื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่ของตนเอง “เฮ้เธอ! จะยืนบ้าอีกนานไหม? อยู่ไม่ได้หรือไง” เสียงของลิมทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย “ที่นี่มันแคบเหมือนรังหนู ถ้าอยู่ไม่ได้ก็นอนข้างถนน” ลิมพูดอีกครั้งซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกโกรธนิดๆ จึงจ้องหน้าเขาเขม็ง “ใครบอกว่าฉันอยู่ไม่ได้! ฉันอยู่ได้” ฉันตอบอย่างจริงจังและลิมเพียงแค่แค่นหัวเราะ ฉันไม่ใช่คนประเภทที่เรื่องมาก ฉันเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบคนจนๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉะนั้นที่อยู่แบบนี้ฉันอยู่ได้สบาย ที่มันยาก...มันก็ยากเพราะสายตาไม่ต้อนรับของเขานั่นแหละ ชิ! “เออ” ลิมตอบเพียงแค่นั้นแล้วเขยิบตัวเองไปนั่งบนโซฟาอีกตัว เขาเอนกายนอนหลับอย่างไม่แคร์ใคร ซึ่งในจังหวะที่ลิมล้มตัวลงนอน วัตถุสีเงินที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงมันโผล่ออกมาแต่เขาไม่รู้ตัว และฉันมั่นใจว่ามันคือ ‘ปืน’ ไม่ว่าจะเป็นโฮคิหรือลิม ทั้งสองต่างก็มีพกปืน... ทำไมพวกเขาต้องพกของแบบนั้นไว้ด้วยนะ ฉันไม่เข้าใจเลย “เธอน่ะ “ โฮคิเรียกฉัน ฉันหันกลับไปมองเขา “อะ...อะไรเหรอ” “นอนตรงนี้” โฮคิชี้นิ้วตรงโซฟาที่เขากำลังนั่ง “เดี๋ยวฉัน...นอนข้างล่าง” เขาพูดเพียงแค่นั้น ไม่นานก็หยิบผ้าที่เปื้อนนิดๆ เหมือนผ้าขี้ริ้ว แถวนั้นยกขึ้นมาเช็ดสเก็ตบอร์ดราวกับเป็นของรักของหวงสำหรับเขา ฉันจ้องใบหน้าหล่อคมคายที่เปื้อนไปด้วยบาดแผลซึ่งขณะนี้กำลังสนใจสเก็ตบอร์ดตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหนึ่งว่าตนเองเดินอยู่บนปุยนุ่นอันแสนนุ่มหยุ่น...รอบกายของเขาราวกับมีแสงบางอย่างจรัสออกมา ปกติเขาเป็นคนหล่อมากๆ แล้วนะ ทว่าสิ่งที่เขาพูดมาเมื่อกี้มันทำให้เขาดูหล่อยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ที่สำคัญฉันคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษมากเลยล่ะ โฮคิเลือกที่จะให้ฉันนอนบนโซฟาและตัวเองนอนบนพื้นอย่างนั้นเหรอ อา... ฉันยกมือกุมหน้าอกข้างซ้ายที่สั่นระรัว กดมันไว้ราวกับกลัวว่ามันจะทะลักออกมา ใบหน้าของฉันร้อนอย่างที่ไม่เคยร้อนมาก่อน ไม่อยากเชื่อว่าจะมีวันที่โฮคิปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ แม้เขาอาจไม่ได้คิดอะไรเลย แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่ แต่เมื่อลองคิดดีๆ ฉันก็คิดว่าตัวเองจะดูเห็นแก่ตัวเกินไปไหม ทั้งๆ ที่นี่เป็นที่ของเขา ฉันเป็นผู้อาศัย...ทำแบบนี้ฉันคิดว่าโฮคิคงรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจแน่ๆ แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดมันออกมา “ไม่เป็นไรหรอก...ฉันนอนพื้นก็ได้” ฉันบอกเขาเสียงแผ่ว หยิบกระเป๋าที่ถูกโฮคิเหวี่ยงลงพื้นขึ้นมาถือ สองตากวาดมองพื้นที่อันคับแคบซึ่งสองเท้าเหยียบอยู่ อันที่จริงพวกกล่องลังและเศษเหล็กที่วางเกลื่อนพื้นนั่น ถ้าเก็บดีๆ พื้นที่ตรงส่วนนั้นคงกว้างใช้ได้เลยนะ ฉะนั้น... “หุบปาก” เขาพูดเสียงเย็น ฉันซึ่งกำลังเดินไปเก็บเศษเหล็กและกล่องลังที่วางเกลื่อนพื้นถึงกับหยุดชะงัก ฉันหันกลับไปมองเขาซึ่งตอนนี้กำลังจ้องหน้าฉันนิ่งโดยไม่บ่งบอกอารมณ์ “ฉะ ฉันเป็นผู้อาศัยนะ” ฉันบอกเขาไป “รู้” “...” “แต่นอนบนโซฟา” “...” “เข้าใจ?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม