บทที่5.1

1989 คำ
“ถ้าเธอไม่อยากตาย” ฉันจ้องหน้าโฮคิตาไม่กะพริบ ก้อนเนื้อในหน้าอกข้างซ้ายเต้นตุ้บๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย โฮคิละสายตาไป จากนั้นก็ดึงให้เดินตามเขาไปเช่นเคย ฉันไม่เข้าใจเลย...คินโซจะฆ่าฉันทำไม ในเมื่อฉันและเขาเราเป็นเพื่อนกัน แม้มันจะนานแล้วก็ตาม ยังไงก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องทำแบบนั้นนี่ แล้วทำไมกันนะ... ฉันพยายามขบคิดอย่างหนัก ทว่าทุกอย่างมันก็จบลงที่ความไม่เข้าใจ ฉันเลยดึงสติกลับมาดังเดิมแล้วก้มมองข้อมือของตนเองซึ่งโฮคิกำไว้แน่น อา... ฉันไม่ได้ชวนเขาพูดอะไรตลอดเส้นทาง ทั้งเขาและฉันต่างก็เงียบด้วยกันทั้งคู่ ตอนนี้จึงมีเพียงเสียงฝีเท้าของเราสองคนที่ย่ำลงพื้นและเสียงลมหายใจเบาๆ เท่านั้นเอง ให้ตายสิ...ฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้วนะ “เอ่อ...โฮคิ” ฉันเอ่ยเรียกเขาเบาๆ เพื่อกลบทับความเงียบ ทว่าโฮคิไม่ได้หันหน้ากลับมามอง และเลือกที่จะเดินต่อไปในขณะที่ยังจับข้อมือของฉันอยู่ “...” เมื่อการตอบรับเป็นความเงียบ ฉันจึงไม่ปริปากพูดอะไรอีก ปล่อยให้ตัวเองเดินตามแรงของเขาไป มืออีกข้างหนึ่งจิกกระโปรงนักเรียนแน่นด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ทำไม ถึงแม้ฝ่ามือของโฮคิจะหยาบกระด้าง แห้งกร้านแบบนี้ แต่สามารถทำให้ฉันหน้าร้อนผ่าวได้มากอย่างไม่น่าให้อภัย ที่สำคัญหัวใจยังเต้นแรงมากๆ อีกด้วย ฉันอมยิ้มเล็กน้อย เป็นจังหวะเดียวกันที่เงยหน้าขึ้นมองรอบกาย แล้วก็ต้องพบกับความแปลกใจเมื่อตอนนี้เขาพาฉันเดินมาถึงหน้าซอยบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวนะ... “นายรู้ซอยบ้านฉันได้ยังไง?” ฉันถามโฮคิด้วยความแปลกใจ โฮคิเพียงแค่เหลือบมองฉันเล็กๆ ไหวไหล่เหมือนไม่มีอะไร จากนั้นก็ปล่อยให้ข้อมือของฉันให้เป็นอิสระ “เข้าบ้าน” เขาพูดเบาๆ เพียงเท่านั้น ก่อนเดินสวนฉันไป ฉันคาดว่าเขาคงกำลังจะกลับบ้านของเขาเช่นกัน แต่เท้าของโฮคิต้องชะงักกึกเมื่อเหลือบเห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมา และที่น่ากลัวคงเป็นสายตาของวัยรุ่นพวกนั้นที่กำลังส่งกระแสบางอย่างอย่างน่าขนลุก ถึงแม้ฉันจะเจอพวกนั้นทุกวันแต่ยอมรับว่าไม่เคยชินเลยสักครั้ง กลับกัน...ยังรู้สึกหวาดระแวงเล็กๆ ตามประสาเด็กผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวคนหนึ่ง พึ่บ “อะ...” ฉันสะดุ้ง เมื่อโฮคิหันกลับมาแล้วลากฉันเข้าไปในซอยบ้านโดยไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย สองเท้าของเขาเดินไวมากจนฉันแทบจะวิ่งตามเลย ฉันมองแผ่นหลังของเขาด้วยความรู้สึกแปลกใจเล็กๆ แต่ก็อดยิ้มด้วยความเขินไม่ได้อีกครั้ง ทำไมท่าทางของโฮคิวันนี้มันแปลกๆ ถ้าฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองล่ะก็นะ... “ถึงแล้ว” เหมือนจมอยู่ในวังวนอะไรสักอย่างนานนับนาที ในที่สุดสติก็ถูกดึงกลับมาอีกครั้ง ฉันเลื่อนระดับสายตามองเบื้องหลังเขาซึ่งเป็นบ้านของฉันเอง พูดถึง...ก็ยังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมโฮคิถึงรู้จักบ้านฉันได้ แต่ถ้าถามอีก เขาก็คงเงียบเป็นคำตอบเช่นเคย ว่าไหมล่ะ “อะ อือ ขอบคุณมากนะ” ฉันยิ้มให้เขากว้างๆ เพื่อแสดงความจริงใจออกไป ทว่าโฮคิกลับใช้ดวงตาคมกราดมองแบบไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก เขาล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแล้วเดินผ่านฉันไปอีกครั้ง หากเป็นฉันเองที่ดึงชายเสื้อของเขาไว้ก่อน จนโฮคิต้องชะงักแล้วหันมองฉันด้วยใบหน้าราบเรียบ...แต่ภายใต้ความราบเรียบนั่นคงมีความสงสัยอยู่ล่ะมั้งฉันก็ไม่แน่ใจเช่นกัน “อะไร” เขาถาม ในขณะที่ปากของเขาคาบบุหรี่เอาไว้ “ฉันยังข้องใจเรื่องคินโซ นายช่วยอธิบายให้ฉันฟังจะได้ไหม ทำไมเขาจะต้องฆ่าฉันด้วยล่ะ...แล้วนายกับเขา...” ฉันจ้องหน้าเขาอย่างเว้าวอน มือข้างที่จับชายเสื้อของเขาไว้สั่นเล็กๆ “ฉันอยากรู้...น่ะ...” ฉันเอ่ยอีกครั้ง “ไม่ต้องรู้” ตอบเสียงเย็นตามสไตล์เขา ก่อนปัดมือที่จับชายเสื้อออกอย่างไม่แยแสเท่าไหร่แล้วเดินจากไป ทิ้งเอาไว้เพียงความข้องใจกับสายลมเย็นๆ ที่พัดไหวมา เส้นผมยาวๆ ของฉันปกปิดใบหน้าของตนเองเล็กน้อย ทว่าสายตาที่ยังคงจับจ้องไปที่แผ่นหลังของโฮคิยังคงชัดเจนเช่นเดิม ฉันถอนหายใจเบาๆ อีกครั้งแล้วเดินเข้าบ้านทันที เพราะก่อนหน้านี้โฮคิบอกกับฉันว่าต่อไปนี้ฉันอย่าอยู่ห่างจากเขา...ยังไงซะ สักวันเขาก็ต้องบอกฉัน...มั้ง “เอ๊ะ?” ฉันขมวดคิ้วด้วยความฉงนใจเมื่อพบความผิดปกติตรงบริเวณระเบียงหน้าบ้าน ต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่ฉันปลูกเอาไว้ตอนนี้กระถางของมันแตกกระจายเกลื่อนไปหมด ฉันเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะรีบไขกุญแจเข้าไปในบ้านทันที ทว่า... ไม่ได้ล็อกเหรอ? ประตูบ้านไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้ เพราะเมื่อฉันลองบิดมันก็เปิดเข้าไปได้โดยง่าย ไม่รีรอแล้วพุ่งเข้าไปในบ้านทันที และเมื่อพาร่างของตนเองเข้ามาในบ้าน ขาแข้งของฉันถึงกับแข็งไปเลย ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโต หัวใจเต้นตุบๆ จนแทบร่วงไปกองกับพื้น “นะ...นี่มันอะไรกัน!!!” ฉันตะโกนด้วยความตกใจกับภาพเบื้องหน้า ซึ่งในตอนนี้ข้าวของภายในบ้านกระจัดกระจายราวกับถูกรื้อค้น หนำซ้ำทุกอย่างยังถูกเอามากองไว้กับพื้นเหมือนเป็นเพียงแค่เศษขยะไร้ค่าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของฉันไดอารี่ แม้กระทั่ง...รูปภาพของแม่!! ไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปหยิบรูปภาพของแม่ขึ้นมาทันที ฉันจ้องใบหน้าสวยหวานของแม่ที่ส่งยิ้มหวานมาให้ด้วยหัวใจที่กระตุกวูบ กระจกที่กั้นรูปของแม่ไว้เป็นรอยร้าวตรงบริเวณใบหน้าของแม่พอดิบพอดี...และรู้ไหมว่า เมื่อเห็นเช่นนั้นน้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาทันทีอย่างไม่อาจหักห้าม หลังจากที่แม่เสียไป ฉันก็มีเพียงรูปภาพของท่านเท่านั้นที่คอยเป็นกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไม่ไร้ค่า ถึงแม้ท่านจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม ทว่ายามใดที่ฉันก้มมองรอยยิ้มกว้างของแม่ในรูป มันทำให้ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าท่านยังอยู่เคียงข้างฉัน ทำให้ฉันรู้สึกไม่เหงาและมีรอยยิ้มประดับใบหน้าต่อไป ฉะนั้น...รูปนี้จึงมีความสำคัญกับฉันมาก แล้วทำไม...ใครมันเป็นคนทำ! ฉันยกรูปแม่ไว้แนบอกก่อนจะตวัดสายตามองไปรอบๆ ที่ตอนนี้แทบไม่หลงเหลือข้าวของดีๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแจกันหรือเครื่องใช้ต่างๆ ตอนนี้มันแตกกระจายเกลื่อนพื้นไปหมดไม่เหลือชิ้นดี! มันเกิดอะไรขึ้น... “หึหึ” ฉันหันขวับไปทางซ้ายมือของตนเองเมื่อเสียงของใครบางคนดังขึ้น ใบหน้าของฉันซีดเผือดเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั่นคือเจ้าหนี้ที่เล่นงานฉันเมื่อวานนี้ก่อนจะโดนโฮคิจัดการจนสลบเหมือดไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลจ้องมองฉันอย่างเย้ยหยันกราดเกรี้ยว เดาจากใบหน้าของมันที่มีบาดแผลเต็มไปหมดรวมถึงรอยเย็บบริเวณหัวคิ้ว...ฉันเดาว่ามันคงโกรธมากแน่ๆ “ฝีมือลุงใช่ไหม?” ฉันถามเสียงสั่น สองขาก้าวถอยหลังด้วยความรู้สึกหวาดกลัว เจ้าหนี้ก้าวเท้าเข้าใกล้ฉันเรื่อยๆ ในขณะที่มันส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมราวกับคนที่กำลังคิดถึงเรื่องฆ่าฟัน “ใช่ ฝีมือของกูเอง” “...” ฉันกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ ใบหน้าพร่างพรมไปด้วยหยาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อมึงไม่ยอมจ่ายค่าเช่าก็ไม่ต้องอยู่ ออกจากบ้านกูไป!” มันพูดแบบนั้นแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าฉัน ขยับไปไหนไม่ได้เพราะแผ่นหลังตอนนี้ชนเข้ากับกำแพงบ้าน ฉันมองตามันอย่างหวาดๆ ในขณะที่สองมือกอดรูปแม่ไว้แนบอกแน่น “ขอเวลา อ๊ะ!!” ถ้อยคำที่ฉันจะกำลังจะเอ่ยออกไปถูกตัดฉับเมื่อมันกระชากรูปในมือของฉันไปอย่างหน้าตาเฉย ฉันเบิกตาด้วยความตกใจ พยายามยื้อแย่งรูปในมือของลุงนั่นด้วยความรู้สึกเสียใจและหวาดกลัว ไม่ได้นะ...ฉันเสียทุกอย่างได้ แต่รูปแม่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันเสียไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งมีคุณค่าที่สุดในชีวิตของฉัน “มึงขอเวลากูมาเป็นชาติแล้วนะ กูใจดีกับมึงมาหลายครั้งแล้ว” “ไม่นะ...เอารูปแม่ของหนูคืนมา!” ฉันตวาดเสียงดังเพราะความกรุ่นโกรธที่สุมอยู่ในอก ถึงแม้ฉันกำลังกลัว แต่ฉันเองก็กำลังโกรธเช่นกัน “ของรักมึงสินะ...ได้ กูจะคืนให้ แต่จะคืนให้ในสภาพนี้นะ...” ตุ้บ เพล้ง! ดวงตาเบิกโพลงเมื่อรูปของแม่ถูกไอ้แก่เจ้าของหนี้ฟาดลงพื้นอย่างเต็มแรงจนกระจกรูปแตกละเอียด ฉันรีบพุ่งเข้าไปคว้ารูปแม่ด้วยความรู้สึกรวดร้าว สองมือยกรูปของแม่ขึ้นแนบหน้าอกอีกครั้งในขณะที่น้ำตาของฉันพากันหลั่งไหลออกมาเป็นสายน้ำ ทำไม! มันทำแบบนี้ทำไมกัน! ฉันเก็บความกรุ่นโกรธเอาไว้ในใจเพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีทางทำอะไรคนที่มีพละกำลังเหนือกว่าเช่นมันได้ “นี่มันยังน้อยไปที่เพื่อนมึงทำกับกูนะ มึงรู้ไหมว่าเมื่อวานกว่ากูจะมีสติลุกขึ้นมาได้มันลำบากแค่ไหน!” “โอ๊ย!” คอเสื้อถูกมันกระชากอย่างแรงจนกระดุมเสื้อนักเรียนหลุดไปถึงสองเม็ด มันจ้องหน้าฉันราวกับคั่งแค้นเดือดดาลมากจนอยากฆ่าทิ้งให้ได้ ฉันไม่ได้ตอบโต้ใดๆ เพียงมองหน้ามันด้วยใบหน้าที่เลอะไปด้วยน้ำตา ฉันเคยคิดนะว่าถ้าเกิดเป็นผู้ชายจะดีกว่านี้ เพราะอย่างน้อยพละกำลังในการต่อสู้มันคงมีพอๆ กัน เกิดเป็นผู้หญิงมันอ่อนแอ...โดนทำร้ายโดยที่ไม่สามารถตอบโต้ใดๆ ได้ คุณว่ามันน่าเจ็บใจมากไหมล่ะ และเพราะว่าฉันเป็นผู้หญิงยังไงล่ะ ฉันจึงไม่สามารถทำอะไรมันได้นอกจากนิ่งแบบนี้ แต่ว่านะ ทำไมตอนนี้ฉันนึกถึงโฮคิขึ้นมา... อยู่ๆ ใบหน้าหล่อเหลาอันแสนเรียบนิ่งของเขาดันลอยเข้ามาในโสตประสาตเสียอย่างนั้น อยากให้เขามาช่วยฉันจัง อยากให้เขาซัดหน้าไอ้แก่นี้ให้น่วมไปเลย ถึงแม้ฉันจะผิดที่ไม่ได้จ่ายค่าเช่าบ้าน แต่มันไม่สมควรทำกับรูปของแม่แบบนี้ “...” “มึงดูหน้ากูสิ มึงดูหน้ากู! ต้องเย็บกี่เข็มมึงรู้ไหม เพราะไอ้เวรนั่น...!!” “ไอ้เวรที่ว่า...ฉันเหรอ” ฉันรีบหันหน้าไปมองบริเวณประตูทันทีเมื่อเสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น ปากของเขาคาบบุหรี่เอาไว้ มือหนึ่งถือสเก็ตบอร์ดขณะอีกข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรมากมาย ฉันฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ หัวใจเต้นแรง...เพราะไม่คิดว่าบุคคลที่ฉันกำลังคิดถึงจะปรากฏตัวมาแบบนี้ โฮคิไง...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม