เย็นนี้เป็นคิวของกัสที่รับบทวิน ซึ่งเป็นฉากมีนพาวินไปเที่ยว มีความคล้ายคลึงเมื่อวานที่มีนพานิวไปเที่ยว โดยความเป็นคนเจ้าชู้และมนุษย์สัมพันธ์ดีของมีน เขาจึงเริ่มคบทีเดียวสองคนทั้งวินและนิว
เมื่อกัสและพีคซ้อมฉากไปเที่ยวเสร็จ พีคจึงต้องมาส่งกัสเช่นเดิมเหมือนอย่างที่มาส่งเขื่อนเมื่อคืน แต่มีสิ่งที่ไม่เหมือนกันคือพีคไม่ได้พากัสไปกินข้าว ในระหว่างที่อยู่ในรถกัสนั่งนิ่งเงียบ และรู้สึกแปลกใจทำไมพีคถึงไม่ทำเช่นเดียวกันเหมือนอย่างเขื่อน
“วันนี้น้องกัสเก่งมากเลยนะ เล่นดีมากพี่เกรซไม่ต้องสอนเท่าไร พี่เจนนี่ยังชมกัสไม่ขาดปากเลย”
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”กัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพราะรู้สึกเคืองพีคเล็กน้อย
“อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย พี่ว่าถ้าเรียนจบกัสไปเป็นนักแสดงได้นะ”
“ไม่หรอกครับ กัสมีงานที่อยากทำอยู่แล้วครับ”
“งานอะไรล่ะ”
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ครับ รอให้กัสทำสำเร็จก่อนเดี๋ยวจะบอกพี่พีคเป็นคนแรก”
“พี่ก็นึกว่าจะบอกเขื่อนเป็นคนแรกซะอีก”
“เขื่อนเขารู้อยู่แล้วว่ากัสทำอะไร แต่พี่พีคยังไม่รู้ไง พี่พีคก็ต้องเป็นคนแรกที่กัสบอก”เพียงกัสได้ยินชื่อเขื่อนจากปากของพีค เขาเริ่มไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมาให้เห็นภายนอก
“ใช่สิ พี่ลืมไปกัสและเขื่อนเป็นเพื่อนรักกันนี่”
“ครับ”กัสตอบสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม
“เดี๋ยวจะรอฟังข่าวจากกัสนะ”
“แต่กัสยังไม่รู้เลยว่าจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่ถ้าพี่พีครอฟังข่าวแค่นี้กัสจะทำให้เต็มที่เลย”
“พี่เอาใจช่วยนะ”
“ครับพี่พีค”
“ถึงห้องกัสแล้ว”พีคพูดขึ้นทันที เมื่อมาถึงยังหน้าห้องเช่นของกัส
“ขอบคุณพี่มากนะครับที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะถึงอย่างไรพี่ก็ต้องมาส่งทั้งกัสและเขื่อนจนกว่าละครเรื่องนี้จะจบ”
“ครับ”
กัสลงจากรถด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ก็หันมายิ้มให้พีคนิดนึง แล้วสู่โหมดนิ่งเหมือนเดิม
เมื่อกัสเข้ามาในห้องเขาก็พบกับความว่างเปล่า เพราะเขื่อนยังไม่กลับเข้ามาซึ่งกัสก็ไม่แปลกใจอะไร เขาคิดไปว่าอาจจะยังไม่เลิกงานหรือไปเที่ยวที่ไหนต่ออีก ด้วยนิสัยของเขื่อนชอบสังสรรค์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
กัสจึงรีบอาบน้ำกินข้าวและมายังที่ประจำของเขา กัสเปิดโน๊คบุ๊ดและครุ่นคิดว่าจะเขียนอะไรต่อจากนี้ดี เพราะก่อนหน้านี้เขาร่างโครงเรื่องไว้หมดแล้ว แต่กัสเปลื่ยนแปลงจนโครงเรื่องเริ่มรวน ในค่ำคืนนี้กัสจึงต้องปรับโครงเรื่องให้เข้าทีเข้าทาง
ในระหว่างทางที่เสือเข้มพายิวไปยังหมู่บ้านกลางหุบเขา ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับม้าคู่ใจของเสือเข้ม ม้าตัวนั้นได้หกล้มเพราะแบกรับน้ำหนักสองคนต่อไปไหว
“โอ๊ย”ยิวร้องเสียงหลงเพราะก้นกระแทกลงพื้น ที่หนักไปกว่านั้นเสือเข้มได้ล้มทับเขาอีกต่างหาก
ยิวรีบผลักร่างของเสือเข้มให้ออกจากร่างของเขา เพราะรู้สึกอึดอัดและจุกอย่างหนัก ที่ร่างอันใหญ่มาทาบทับตัวของเขา
“จะทำไงต่อม้ามันเหนื่อยแล้วนี่”ยิวลุกขึ้นั่งทันทีเมื่อร่างของเสือเข้มพ้นตัวของเขา
“ก็เดินไง ไม่ไกลจากที่นี่จะถึงหมู่บ้านคน เราค่อยไปเปลื่ยนม้าตัวใหม่”
“เราเดินไม่ไหวแล้วนะ”
“เป็นผู้ชายทำไมช่างอ่อนแออย่างนี้”
“เราไม่ใช่ผู้ชาย”
“มึงยังจะมาเถียงกูอีก เดี๋ยวกูเตะคว่ำเลย”
“ผู้ชายก็ผู้ชาย แต่ตอนนี้เราหิวมากเลย มีอะไรกินไหม”
“ไม่มี รออีกหน่อยถึงหมู่บ้านนั้นแล้วค่อยปล้นข้าวเขากิน”เสือเข้มพูดเสียงห้วนๆ
“แค่ข้าวยังปล้นอีกเหรอ ทำไมนายไม่เอาเงินไปซื้อข้าวมากิน”
“มันเรื่องของกูอย่าพูดมาก เอ่อ กูยังไม่รู้เลยว่ามึงชื่ออะไร”
“ยิว นายล่ะเสืออะไร”
“เสือเข้ม แต่มึงชื่อแปลกดีนะยิว”
“เมืองที่เรามาชื่อแปลกกว่านี้อีก ยิวนี่ถือว่าธรรมดามาก”
“บ้านเมืองมึงนี่แปลกดีหนอ ก็คงจริงนั่นแหละเพราะกูเห็นมึงนอนกอดกับไอ้แม่ทัพนั่น”
“ที่เมืองของเราทำยิ่งกว่านี้อีกนะ ทั้งกอดทั้งหอมทั้งมีอะไรกัน”ยิวเผลอพูดออกมาจนทำให้เสือเข้มอ้าปากค้าง เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ยิวพูด
“ผู้ชายกับผู้ชายนี่นะ”
“ใช่ เป็นผัวเมียกันด้วย”
“กูไม่เชื่อมึงหรอก ไม่มีทางเป็นไปได้ ผู้ชายกับผู้ชายจะทำกันได้อย่างไร”ถึงเสือเข้มไม่เชื่อแต่เขาก็อยากรู้ว่ายิวจะพูดอย่างไงต่อ
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”
“ทำอย่างไงมึงบอกกูมาสิ”
ยิวไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดี เพราะขืนพูดออกไปเสือเข้มคงไม่เชื่อ ถ้าเกิดเชื่อขึ้นมาแล้วให้เขาทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ยิวไม่สามารถที่จะทำใจได้ เพราะเสือเข้มหน้ากลัวตัวใหญ่หนวดเครารุงรัง ยิวมองแล้วขนลุกขนชัน
“มึงเป็นอะไรขนลุก”
“หนาวน่ะ”
“หนาวบ้าบออะไรร้อนตายชัก แค่นี้มึงก็โกหกกู คนอย่างมึงน่าฆ่าให้ตายไม่ควรพามาด้วยเลย”
“แต่เรื่องผู้ชายกับผู้ชายมีอะไรกันทำได้จริงนะเสือเข้ม”ยิวเปลื่ยนเรื่องคุยทันที เพราะกลัวเสือเข้มจะทำร้ายร่างกายอีก
“ ถ้าทำได้จริงมึงก็ต้องบอกกูมาสิ”
“ก็ใช้ปากอมไอ้นั่น กับเอาไอ้นั่นใส่ที่ก้นไง”ยิวโมโหพูดออกไปไม่ทันคิด
“ไอ้บ้า มึงนี่ลามกจกเปรต”เสือเข้มยกมือเตรียมฟาดยิว
“อย่า”ยิวใช้มือบังไว้
ในช่วงเวลานั้นนั่นเองศัตรูเก่าของเสือเข้มที่ซุ่มดูอยู่นาน เป็นเรื่องบังเอิญที่เขาได้เดินทางผ่านมาและได้เห็นเสือเข้มกับยิว เขาจึงแอบซ่อนมองดูอยู่ เมื่อเสือเข้มเผลอสนใจแต่ยิว ศัตรูเก่าจึงวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ เงื้อมดาบกำลังจะฟาดฟันหลังเสือเข้ม
“ระวัง”ยิวพูดขึ้นเสียงดัง เพราะยิวหันหน้าไปเห็นเข้าพอดี
เสือเข้มรีบหันไปมองและคว้าดาบตั้งรับอย่างทันท่วงที ยิวตกใจรีบลุกขึ้นยืนและวิ่งไปหลบใต้ต้นไม้ข้างๆ ในระหว่างที่ทั้งสองสู้รบกันอยู่นั้น ยิวพลันคิดได้ทันทีว่าต้องหนีไปจากที่นี่ เพราะถ้าเกิดเสือเข้มพลาดท่าแพ้ขึ้นมา ยิวไม่อยากจะคิดว่าชายผู้นี้จะทำอะไรกับเขา ยิวจึงค่อยๆย่องเดินไปยังข้างตัวม้า
ยิวเห็นถุงย่ามตกอยู่ตรงตัวม้า เขาจึงก้มลงหยิบแล้ววิ่งสุดกำลัง ยิววิ่งไม่หันหลังมองแม้แต่ครั้งเดียวจนเขารู้สึกเหนื่อยจึงหยุดพัก ยิวได้สูดลมหายใจเข้าปอดคลายเหนื่อยชั่วครู่ เขาต้องตกตะลึงและหวั่นกลัวขึ้นมาอีกครา เพราะมีผู้คนกลุ่มใหญ่เดินผ่านมายังตรงที่เขานั่งพัก แต่แล้วความกลัวนั้นก็หายไป เพราะคนกลุ่มใหญ่มีทั้งชายหญิง คนหนุ่มสาว แก่ชรา เด็กน้อยเด็กโต ต่างเดินกันอย่างเร่งรีบ โดยที่ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ทำอย่างกับยิวไม่มีตัวตนในที่พวกเขาเดินผ่าน
ยิวมองผู้คนเหล่านั้นที่เดินผ่านไปเรื่อยจนเกือบหมด เหลือเพียงเด็กน้อยวัยไม่ถึงสิบขวบเดินมาหลังสุด เด็กคนนั้นได้หันหน้ามามองยิวแล้วหยุดตรงหน้าเขา
“ทำไมพี่ไม่รีบไป มานั่งรออะไร”
“ไปไหน”ยิวถามด้วยความสงสัย
“เมืองศิลานคร”
“ไปทำไม”ยิวกึ่งตกใจและดีใจคละเคล้ากันไป เมื่อได้ยินชื่อเมืองศิลานคร
“อ้าว พี่นี่ถามแปลก ก็ที่นี่มีแต่ความแห้งแล้งและโจรก็ชุกชุม ไม่รู้ว่ามาจากไหนมีหลายกลุ่ม ปล้นเงินทองอาหารของพวกเราจนไม่มีเหลือแล้ว”
“เสือเข้มใช่ไหม”
“เสือเข้มก็ใช่ เสืออื่นอีกมากมาย ไปเหอะพี่อย่ามัวพูดอะไรเลย”
“ไป”ยิวลุกขึ้นยืนและเดินพร้อมกับเด็กน้อย เพื่อไปยังเมืองศิลานคร เพราะเขาคิดไว้ว่าถ้าไปถึงเมืองศิลานคร ก็คงจะได้เจอแม่ทัพวิศรุฒอย่างแน่นอน เพราะยิวคิดว่าอยู่กับแม่ทัพวิศรุฒน่าจะดีกว่าอยู่กับเสือเข้ม แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าแม่ทัพวิศรุฒยังมีชีวิตอยู่รอดไหม
“พี่เป็นคนเมืองไหนเหรอทำไมหน้าตาเหมือนผู้หญิง ทรงผมของพี่ก็แปลกประหลาด”
“เมืองพี่อยู่ไกล ว่าแต่ทำไมน้องถึงเดินมาคนเดียว พ่อแม่ไปไหนล่ะ”
“ตายตามทางหมดแล้ว”
“เป็นอะไรตาย”ยิวมีสีหน้าที่สงสัย
“อดตาย เพื่อให้ผมได้อยู่”
เมื่อยิวได้ฟังเรื่องราวของเด็กน้อยผู้นี่แล้วสงสารจับใจ แต่อีกใจหนึ่งเขาอาจจะเป็นเหมือนพ่อแม่ของเด็กน้อยก็ได้ เพราะตอนนี้ยิวรู้สึกหิวมากเหมือนกัน
“ต่อไปจะหาอาหารกินที่ไหนล่ะ”
“ก็กินมันกินเผือกนี่แหละ แต่มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าพี่มีอัฐก็หาซื้อได้นะ”
“ที่ไหนล่ะ”
“โน้น”เด็กน้อยชี้มือไปยังหน้าขบวน
“พวกเขาเอามาจากไหน”
“เอามาจากบ้านส่วนหนึ่ง และหาตามทางมาตลอด เป็นสัตว์ป่าที่เขาออกล่าแล้วย่างเก็บไว้ ส่วนใครหาไม่เป็นหรือหาไม่ได้ก็ไปซื้อ ใครไม่มีอัฐก็ต้องอด แต่ถ้าเขาเมตตาหรือกินไม่หมด พวกเราก็ไปเก็บกินจากที่เขาทิ้งไว้”
“ทำไมลำบากขนาดนี้”
“ถ้ามีฝีมือในการล่าสัตว์ไม่ลำบากหรอก อีกอย่างถ้ามีอัฐซื้อเขากินก็ได้ พี่มีอัฐไหมล่ะถ้ามีไม่ต้องกลัวอด”
“อัฐเหรอ คงหมายถึงเงินใช่ไหม”
“เงินอะไร อัฐก็คืออัฐ พี่มีไหมล่ะ”เด็กน้อยหันมามองตาละห้อย
“ไม่มีหรอกอัฐน่ะ”
“ถ้างั้นก็ต้องอด แต่ถ้าโชคดีเจอผลไม้ก็เก็บกินได้ แต่เราต้องแย่งกันนะใครไวคนนั้นก็ได้ไป”
“เหรอ พี่หาไม่เป็นด้วยซิ”
“พี่มีอย่างอื่นไหมล่ะ”
“อะไร”
“ผมจะไปรู้ได้ไงว่าพี่มีอะไร”เด็กน้อยมองย่ามที่ยิวเอามาจากเสือเข้ม
“เอ่อ ในกระเป๋านี่เหรอ”
“ใช่ ถ้ามีของมีค่าก็สามารถไปแลกอาหารกินได้นะพี่ หรือผ้าห้มของใช้ต่างๆ”
ยิวหันมองซ้ายมองขวา และยกถุงย่ามให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันสายตาของเด็กน้อย เพราะถึงเป็นเด็กเขาก็ไม่ไหวใจ ยิวค่อยๆเปิดถุงย่ามดู เมื่อเขาเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้น ยิวถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะเขาเห็นแหวนทองหนึ่งวง ซึ่งน่าจะสามารถแลกอาหารได้เยอะพอสมควร ที่เหลือเป็นมีดพกกับเครื่องรางของขลัง
ค่ำคืนนี้กัสรู้สึกดีที่ได้เปลื่ยนเนื้อเรื่องกลับมาตามเดิม เพื่อให้ยิวไปหาแม่ทัพวิศรุฒ แต่ก็ต้องมีอุปสรรคนิดหน่อย เพื่อความสมจริงของเนื้อเรื่อง กัสอมยิ้มเพราะเขาถูกใจตอนนี้มาก เนื่องด้วยกัสนั่งพิมพ์นิยายมานาน เขาจึงลุกขึ้นบิดขึ้เกียจและเดินไปที่หน้าต่างดูท้องฟ้า เพื่อคลายความซึมลึกในนิยายที่เขาเขียน
กัสมองท้องฟ้าลงมาจนถึงพื้นล่าง เขาก็เห็นเขื่อนกำลังเดินเข้ามาเข้ามาภายในบริเวณห้องพัก เขามองนิ่งๆอยู่พักหลังจากนั้นเขาก็ปิดผ้าม่าน โดยไม่สนใจเขื่อนแต่อย่างใดอีก