บทที่ 13
ไอ้คนเฮงซวย
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมคะ”
“เรียบร้อยครับคุณวารี ฉากพร้อม แสงพร้อม ทีมงานพร้อมครับ”
ฉันเอ่ยถามกับทีมงานที่ตอนนี้กำลังจัดเตรียมฉากสำหรับการถ่ายแบบโฆษณาในสตูดิโอของบริษัท หากดูรวม ๆ แล้วทุกอย่างก็เรียบร้อยตามที่ตั้งหวังไว้เหลือเพียงแค่พรีเซนเตอร์มาถ่ายรูปเท่านั้น
ซึ่งพรีเซนเตอร์ที่ว่าก็คือวงโฟร์ดรีมนั่นแหละ!
หลังจากฉันไปอ้อนวอนขอให้พวกเขามาเป็นพรีเซนเตอร์ได้สำเร็จก็ได้เวลาเริ่มงานสักที อีกทั้งฉันยังได้เลื่อนตำแหน่งอย่างคิดไว้อีกด้วยนั่นก็คือตำแหน่งผู้จัดการ แต่งานนี้ฉันเองก็มีส่วนร่วมด้วยเพราะต้องการดูความเรียบร้อยแต่ก็ไม่ได้ลงไปจัดการเหมือนทุกครั้ง ซึ่งมันก็ดีแล้ว ดีมาก ๆ เลยล่ะเพราะฉันไม่อยากจะพูดคุยกับพวกเขานักหรอก
ไม่สิ...ไม่ใช่ไม่อยากพูดคุยกับพวกเขา ฉันแค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับไอ้พี่พยัคฆ์มากกว่า!
“วงโฟร์ดรีมมาถึงแล้วค่ะ” เสียงของหนึ่งในทีมงานเอ่ยขึ้นก่อนจะที่ร่างสูงของผู้ชายสี่คนจะเดินตามเข้ามาพร้อมทั้งยังมีผู้หญิงรูปร่างดีที่ฉันเองก็เคยเห็นหน้าค่าตาเขาแล้วในวันที่ได้ยื่นข้อเสนอขอร้องให้เขายอมเป็นพรีเซนเตอร์ให้ ซึ่งเธอคนนั้นก็อยู่ในฐานะผู้จัดการของวง
“สวัสดีครับ / สวัสดีครับ” กลุ่มคนตรงหน้ายกมือไหว้ทีมงานทุกคนภายในสตูดิโอซึ่งฉันเองก็พยายามปั้นหน้ายิ้มก่อนจะเดินเข้าไปหาพวกเขาเพื่อทักทายตามมารยาทของคนที่จะต้องร่วมงานกัน
“สวัสดีค่ะพี่ ๆ”
“สวัสดีครับน้องวา วันนี้มาคุมงานเองเลยเหรอเนี่ย” เป็นพี่ออกัสที่เปิดประโยคทักทายฉันเป็นคนแรก
“ไม่ได้มาคุมงานหรอกค่ะวาเองก็อยากมาดูการทำงาน ความจริงแล้ววาได้เลื่อนตำแหน่งแล้วเลยไม่ได้มีหน้าที่ตรงนี้เท่าไหร่ แต่เห็นว่าเป็นพี่ ๆ วาก็เลยอยากมาดูน่ะค่ะ แล้วอีกอย่างเป็นเพราะพวกพี่แท้ ๆ ที่ทำให้วาได้เลื่อนตำแหน่ง ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณพวกเขาอย่างจริงใจ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเขานักแต่การที่ฉันได้เลื่อนตำแหน่งนั้นต้องขอบคุณพวกเขาจริง ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก คนกันเองน่าน้องวาพวกพี่เต็มใจ” พี่ภีมโบกไหวมือน้อย ๆ อย่างคนไม่คิดมาก
“วาเองก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้วค่ะ ซาบซึ้งมาก ๆ ที่ช่วยต่อชีวิตให้กับยัยบ้าคนนี้”
“รู้ตัวด้วยเหรอว่าตัวเองบ้า” ทว่าประโยคถัดมาทำให้ฉันต้องรีบหันขวับส่งสายตาค้อนให้กับไอ้พี่พยัคฆ์ที่ได้เอ่ยคำนั้นออกมา
ไอ้บ้านี่! ฉันยังไม่หายโกรธเขาเลยนะที่มาตะคอกใส่หน้าฉันต่อหน้าคนอื่นในงานวันเกิดนั้นน่ะ!
“นี่นาย! ถ้าพูดอะไรดี ๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด!”
“นี่เหรอคนที่ร้องขออ้อนวอนให้พวกฉันรับเป็นพรีเซนเตอร์น่ะ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย” อีกฝ่ายเลิกคิ้วกวน ๆ ส่งมาให้ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ฉันถึงกับปรี๊ดแตกอยากกรี๊ดใส่หน้าเขาดัง ๆ ให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ต้องกักเก็บไว้ในใจ
“นี่! ฉันต้องพูดคำนั้นมากกว่า นายนั่นแหละที่ไม่มีมารยาท!”
“ทีกับพวกมันเรียกพี่อย่างนั้นอย่างนี้ ทีกับฉันเรียกนาย หัดดูรุ่นซะบ้างเถอะ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอนะ!”
“อะ...ไอ้!”
“เฮ้ยไอ้เสือมึงเอาอีกแล้วนะเว้ย!”
ก่อนที่ฉันจะเอ่ยคำใดออกไปก็เป็นเพื่อนของเขาที่มาห้ามเอาไว้ซะก่อน ไอ้บ้านี่ชักเอาใหญ่แล้วนะ ทำมาเป็นนับรุ่น เหอะ! ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นพี่เลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนนี่น่ะก็ทำให้ฉันเกลียดเขาเข้าไส้เลยก็ว่าได้!
“เธอคงเกลียดฉันเพราะเหตุการณ์วันนั้นสินะ” คนตรงหน้าเหยียดยิ้มพลางส่งมือล้วงเข้ากระเป๋ากางเกง สายตาของเขาจดจ้องมองฉันด้วยท่าทียียวน ซึ่งนั่นทำให้ฉันยิ่งปรี๊ดแตกเข้าไปใหญ่
“เกลียดสิ เกลียดมาก ก็นายนั่นแหละที่เป็นคนแนะนำให้ไอ้พี่นอร์ทรู้จักกับยัยนั่น อ้อ! แต่ก็ไม่ต้องคิดว่าฉันยังอาลัยอาวรณ์ถึงผู้ชายเฮงซวยคนนั้นอยู่นะ ฉันแค่รังเกียจการกระทำแบบนั้นจนมันฝังใจอยู่แบบนี้ไงล่ะ!”
“เกลียดเรื่องนั้นหรือว่าเกลียดที่ฉัน...” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างใจเย็นซึ่งคำสุดท้ายเขาไม่ได้เอ่ยออกมาแต่เพียงทำปากเลียนคำพูดที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เปล่งเสียงแต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร
‘จูบ’ เป็นคำที่เขาตั้งใจจะพูด! ฉันรู้...รู้ดีเลยล่ะ
“นี่นาย!”
“คุณวารีคะ คุณมานพมาหาค่ะ” ทว่าเสียงเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นจากหน้าประตูของสตูดิโอทำให้ฉันหยุดชะงักในการกระทำที่แทบจะเรียกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้และแปรเปลี่ยนเป็นการผ่อนลมหายใจออกมาหนัก ๆ แทน
ไอ้บ้านี่ต้องการอะไรกันแน่ จะพูดเรื่องวันนั้นออกมาทำไมทั้งที่ฉันตั้งใจจะลืมมันแล้วแท้ ๆ!
“ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันเอ่ยบอกก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ขืนอยู่ต่อมีหวังฉันได้ตะกุยหน้าหล่อ ๆ ของไอ้พี่พยัคฆ์จนยับเยินแน่!
ฉันก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังด้านหลังของสตูดิโอซึ่งเป็นทางไปยังห้องน้ำ ความจริงฉันออกมาหาพ่อของฉันนั่นแหละเพราะนึกแปลกใจที่อยู่ ๆ ท่านก็มาหาฉันที่นี่ ทั้งที่ปกติแล้วพ่อของฉันจะอยู่ที่บ้านที่จังหวัดสระบุรีไม่ค่อยได้มาหาฉันที่บริษัทใหญ่บ่อยนัก
“พ่อขา” ทันทีที่เห็นร่างสูงของคนเป็นพ่อที่กำลังยืนหันหลังอยู่ก็ทำให้ฉันรีบวิ่งเข้าไปออดอ้อนทันที
หงุดหงิดกับไอ้คนบ้าเมื่อกี้แต่พอได้งอแงใส่ใครสักคนก็ทำให้รู้สึกดีเหมือนกัน
“อ้อนอะไรหืมยัยลูกคนนี้ เดี๋ยวคนอื่นก็มาเห็นหรอก” มือหนาวางที่เรือนผมของฉันแผ่วเบาซึ่งทำให้ฉันยิ่งออดอ้อนเข้าไปใหญ่
พอเห็นหน้าพ่อตัวเองแล้วทำให้คิดถึงบ้านน่ะ คิดถึงแม่ คิดถึงน้องสาว ตั้งแต่ที่ฉันรับหน้าที่ในการทำงานของบริษัทก็ทำให้ฉันต้องมาอาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ใจกลางเมืองหลวง พอได้เจอหน้าก็ทำให้ฉันอดที่จะทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไม่ได้
“วาคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ด้วยค่ะ แล้วแม่มาด้วยรึเปล่าคะ”
“แม่เราไม่ได้มาหรอก วันนี้พ่อมีนัดกับเพื่อนน่ะเลยต้องมากรุงเทพฯ ก็เลยถือโอกาสมาหาลูกสาวคนสวยด้วยเลย เป็นยังไงบ้างเหนื่อยไหมลูก”
ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบและซบใบหน้าลงก่อนจะโอบกอดคนเป็นพ่อให้แน่นมากยิ่งขึ้น อยู่ ๆ หยาดน้ำตาก็เอ่อคลอรอบดวงตา พอต้องมาอยู่คนเดียวแบบนี้ก็ทำให้ฉันแสดงถึงท่าทีขี้แยออกมา
ที่จริงแล้วฉันค่อนข้างเป็นคนขี้แยน่ะ ถึงจะเป็นเรียนต่างประเทศคนเดียวถึงสองปีแต่ฉันก็โทรกลับมาหาครอบครัวอยู่ตลอด แถมยังชอบร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อย ๆ ไม่เคยชินชากับการอยู่คนเดียวเลยสักนิด
“เป็นอะไรลูก ไม่เอาสิ ไม่งอแงนะ ลูกสาวของพ่อเก่งจะตาย” เหมือนว่าพ่อเองก็คงรู้ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง เพราะฉันมักจะชอบไปอ้อนและงอแงใส่พ่ออยู่บ่อย ๆ และการกระทำที่ได้รับกลับมาก็คือการกอดปลอบประโลมที่อบอุ่นและอ่อนโยนเป็นที่สุด
“ไม่งอแงค่ะ วาฮึบอยู่ พ่อไม่ต้องห่วงนะคะตอนนี้วาอยู่ในฐานะผู้จัดการ วาจะไม่ร้องไห้ วาจะฮึบ ฮึก...” แต่ทว่าในตอนท้ายกลับกัดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ได้ ไม่รู้สิ...ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้ฉันอ่อนไหว ไม่อยากร้องไห้เลยเพราะฉันเองก็อายคนเหมือนกันที่ยังงอแงใส่พ่อเป็นเด็ก ๆ
“คนเก่ง ไม่ต้องร้อง พ่อจะมาหาบ่อย ๆ จะชวนแม่กับยัยโยมาด้วย”
“ไม่ร้องแล้วค่ะ คุณมานพไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ วารีเก่งอยู่แล้ว” ฉันพยักหน้าหงึก ๆ พลางสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อกวาดไล่ความเสียใจ
ในการทำงานฉันมักจะเรียกชื่อของพ่อฉันเสมอ เพราะไม่อยากทำตัวเป็นเด็กวีไอพีที่ได้ตำแหน่งจากคนเป็นพ่อที่อยู่ในฐานะประธานบริษัท ฉันเลยเรียกพ่อของฉันว่าคุณมานพแทนที่จะเรียกคำว่าพ่อแทนน่ะ และถึงแม้ว่าคนอื่น ๆ จะรับรู้ว่าฉันเป็นใครก็ตาม แต่ฉันว่าการที่ฉันเรียกแบบนี้มันก็เหมาะสมแล้วเช่นกัน
“เก่งมากครับคุณวารี”
“วาเข้าไปในสตูดิโอก่อนนะคะ ออกมานานแล้วด้วยเดี๋ยวคนจะรู้ว่าแอบมาอ้อนพ่อ อายเขา”
“เข้าไปเถอะลูก สู้ ๆ นะ พ่อเป็นกำลังใจให้”
“ค่ะคุณมานพ วาไปนะ จุ๊บ ๆ” ฉันผละอ้อมกอดและเขย่งปลายเท้าแตะริมฝีปากลงบนแก้มของคนเป็นพ่อก่อนจะหมุนตัวและเดินกลับเข้าไปด้านในเพราะรู้สึกว่าตัวเองออกมานานพอสมควร
อีกทั้งยังกลัวคนอื่นจะเห็นด้วยว่าฉันแอบมาร้องไห้งอแงใส่คนเป็นพ่อน่ะ ไม่อย่างนั้นอายจนต้องมุดหน้าหนีเลยนะ เป็นถึงผู้จัดการแต่กลับงอแงเป็นเด็กแบบนี้
แต่ทว่า...
กึก!
ทันทีที่ฉันเดินกลับไปยังสตูดิโอก็ทำให้สายตาของฉันประสานเข้ากับร่างสูงที่ตอนนี้กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ ๆ กับห้องน้ำ ซึ่งเขาคนนั้นก็คือพี่พยัคฆ์นั่นแหละ!
ฉันชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงสายตาและตัดสินใจเดินผ่านเขาไปอย่างไม่คิดสนใจ
“ตำแหน่งผู้จัดการคงไม่ได้มาเพราะความสามารถสินะ”
ประโยคนั้นจากคนตัวโตทำให้ฉันรีบหันขวับไปมองอย่างเอาเรื่อง ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ แต่ฉันก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“พูดอะไรระวังปากด้วย”
“จะทำอะไรก็ระวังการกระทำของตัวเองบ้าง ไม่กลัวคนอื่นจะเห็นรึไงว่าออกมาจู๋จี๋กับเจ้าของบริษัทน่ะ”
“นี่นาย!” ฉันเอ่ยด้วยเสียงที่เข้มขึ้นพลางกำมือแน่นด้วยความโกรธจัดที่ได้ยินคำพูดดูถูกแบบนั้น
“ทำไม โกรธเหรอที่ฉันมาเห็นภาพเธอจู๋จี๋กันอยู่ คิดอะไรอยู่วะถึงได้ยอมลดตัวไปยุ่งกับคนที่มีเมียแล้ว ไม่อายบ้างรึไง”
เพียะ!
ฉันฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างเต็มแรงเมื่อคำพูดถากถางเปล่งออกมาต่อหน้า มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะทำให้ฉันอดกลั้นได้อีก ไอ้บ้านี่ดูถูกฉันถึงขนาดนี้ถ้าจะให้ฉันใจเย็นอีกก็คงเป็นแม่ชีแล้วล่ะ!
“ไอ้สารเลว นายกล้าคิดต่ำ ๆ แบบนี้ได้ยินยังไง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีนายมันก็ยังเป็นไอ้ผู้ชายเฮงซวยสำหรับฉันอยู่ รู้เอาไว้ด้วย!”
“ฮึ เธอจะคิดยังไงก็ช่าง เพราะเธอไม่ได้สำคัญอะไรกับเศษเสี้ยวชีวิตของฉันอยู่แล้ว”
“เออ! ฉันไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับนายเลยสักนิด ไม่อยากเฉียดตัวเข้าไปใกล้แม้แต่ก้าวเดียว!”
ฉันหมุนตัวเพื่อหวังจะเดินกลับเข้าไปด้านในเพราะไม่อยากเห็นหน้าไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนี้อีก เรียกได้ว่าแทบไม่อยากเฉียดกายเข้าไปใกล้เลยสักนิด
แต่ทว่า...
หมับ!
“คิดว่าตบฉันแล้วจะเดินหนีไปง่าย ๆ เหรอ”
“อะไรของนาย อ๊ะ...อื้อ!!!”
ร่างกายของฉันถูกกระชากให้หันกลับมาประจันหน้ากับคนตัวโตอีกครั้งและไม่กี่วินาทีถัดมาริมฝีปากหนาก็บดลงมาที่ริมฝีปากของฉันอยากดุดันและหนักหน่วงส่งผลให้ฉันเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด
ฉันพยายามทุบตีและผลักไสคนตรงหน้าออกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผลเลยสักนิด ยิ่งฉันต่อต้านริมฝีปากของเขาก็ยิ่งบดขยี้ลงมาจนฉันรู้สึกถึงกลิ่นและรสชาติคาวเลือดภายในโพรงปากที่คละคลุ้งไปทั่ว
“อื้อ!!!” ฉันขยุ้มสาบเสื้อของคนตัวโตเมื่อเริ่มไร้เรี่ยวแรงที่จะทรงตัวได้อีก ราวกับว่าถูกเขาพรากสติและดวงวิญญาณของฉันไปทีละน้อยซึ่งมันไม่ต่างจากปีศาจร้ายเลยสักนิด
จนกระทั่ง...
ตุ้บ!
คนตัวโตผละริมฝีปากออกและปล่อยให้ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงของฉันล้มลงกับพื้นโดยไม่คิดสนใจ ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความโกรธเกลียดแต่กลับสั่นกลัวจนไม่กล้าเอ่ยคำใดออกไปเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้า ๆ กับฉันอีก
“ฮึ ไม่เก่งเหมือนเมื่อกี้แล้วเหรอ” ร่างสูงย่อตัวลงก่อนจะบีบที่คางของฉันอย่างแรงจนต้องนิ่วหน้าอีกครั้ง
“ไอ้...”
“ถ้าด่าอีก ฉันจะจูบเธออีกครั้ง”
“อึก...” ฉันเม้มปากแน่นและเบี่ยงสายตาหนีไปอีกทางเมื่อได้ยินคำขู่ของเขา ไม่สิ...ไม่ใช่คำขู่แต่ฉันรู้ว่าเขาจะทำมันจริง ๆ อย่างที่พูด!
“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าฉันไม่สามารถตบเธอกลับได้ เพราะงั้น...จูบป่าเถื่อนที่โคตรจะเจ็บปวดของฉันนี่แหละคือสิ่งที่เธอควรได้รับกลับไป!”