บทที่ 15
อ้อมกอดอบอุ่นและปลอดภัยที่สุด
เสียงเพลงดังกึกก้องคอยขับกล่อมอารมณ์และโสตประสาทให้หลงใหลมัวเมาอยู่ในห้วงภวังค์ได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่กลับทำให้รู้สึกชื่นชอบมันเป็นที่สุด
ชายหนุ่มทั้งสี่คนดื่มด่ำไปกับบรรยากาศภายในคลับโซนวีไอพีที่ไม่มีใครมารบกวน อีกทั้งตอนนี้ร่างกายก็ถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำแต่ก็ยังคงทรงตัวและครองสติได้พอสมควร
หลังจากที่ทัวร์คอนเสิร์ตมานานนับเดือนซึ่งเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเวลาพัก วันนี้พวกเขาทั้งสี่เลยเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะมาสังสรรค์และละทิ้งเรื่องงานให้หายปวดหัวไปบ้าง เลยนัดแนะกันมาที่ผับหรูใจกลางเมืองและเลือกโซนวีไอพีที่ไม่มีใครมารบกวนในเวลาส่วนตัวแบบนี้
“พวกมึง ๆ ดูโน่นดิ ใช่น้องวารึเปล่าวะ” เสียงของออกัสเอ่ยขึ้นทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มอีกสามคนหันไปมองตามที่เพื่อนสนิทบอก
ระดับสายตามองผ่านไปอีกโต๊ะที่อยู่ห่างพอสมควร ทั้งยังมีม่านบาง ๆ กั้นทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจนนักแต่ก็พอจะมองออกว่าหญิงสาวที่ว่านั้นคือคนที่คิดจริง ๆ
“โลกกลมฉิบ! ทำไมต้องเจอยัยนั่นตลอดเลยวะ” เป็นพยัคฆ์เอ่ยเอ่ยปากบ่นพลางหันหน้าหนีไปอีกทาง นึกสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ถึงได้เจอเธอคนนี้บ่อยนัก
“น้องเมารึเปล่าวะ เห็นหน้าแดง ๆ” อีกฝ่ายไม่สนใจกับคำบ่นของเขาแต่ยังคงจดจ้องมองไปที่ร่างบางของหญิงสาวที่ตอนนี้ดูท่าทางแล้วน่าจะเมามายจากฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่ไม่น้อย
“มึงจะไปสนใจทำไมวะ มึงไม่เห็นเหรอว่าเขามากับผู้ชายน่ะ นั่นแฟนเขารึเปล่า”
“อ้าว แล้วน้องวากับเสี่ยคนนั้นล่ะ” ภีมพูดแทรกขึ้นขณะที่สายตาก็ยังไม่วางตาจากโต๊ะอีกฝั่ง อยู่ ๆ ก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่รู้ว่าคนที่มาด้วยนั้นไว้ใจได้มากแค่ไหน ถึงจะไม่ได้สนิทสนมกันนักแต่ก็ควรช่วยเหลือในฐานะคนที่รู้จักกัน
“กูจะไปรู้เหรอ ยัยนั่นอาจจะเสน่ห์แรงมีผู้ชายให้เลือกเป็นสิบก็ได้ใครจะรู้”
“เอ้าแล้วนั่นน้องจะลุกไปไหนวะ เดินเซขนาดนั้นกูว่าเมาชัวร์!”
ร่างบางของหญิงสาวลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยสภาพโซเซแต่ไม่นานก็ล้มพับกับพื้นก่อนที่วงแขนแกร่งจะโอบเธอขึ้นและกกกอดไว้ในอ้อมแขน ซึ่งการกระทำนั้นพวกเขาเองก็มองมันอย่างไม่วางตาและไม่ไว้ใจเพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นมาดีหรือมาร้ายกันแน่
พยัคฆ์ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ นึกหงุดหงิดที่เห็นหญิงสาว แต่แล้วก็อดเป็นห่วงตามเพื่อน ๆ ไม่ได้เพราะเห็นสายตาของผู้ชายคนนั้นที่ดูท่าแล้วร้ายกาจอยู่ไม่น้อย แล้วยิ่งเธออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถต่อต้านได้ทำให้ยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่
“พวกมึงถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน เผื่อว่าไอ้นั่นมันจะลวนลามเธอ” พยัคฆ์เอ่ยบอกด้วยสีหน้าที่เข้มขึ้น ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งสักเท่าไหร่ แต่เห็นว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ควรปล่อยปละละเลยไปได้จึงให้เพื่อนสนิทบันทึกภาพไว้แทน
“นี่มึงจะแบล็คเมล์น้องวาเหรอวะ”
“พ่อมึงอะ! กูจะเก็บไว้เป็นหลักฐาน ยัยนั่นเมาไม่รู้เรื่องจะเอาอะไรไปสู้ได้วะ เผื่อแม่งทำไม่ดีไม่ร้ายขึ้นมาจะเอาหลักฐานที่ไหนไปจับมัน!”
“เออ! มึงก็ถามแปลก ๆ เนอะไอ้ภีม ถึงไอ้เสือมันจะเลวแค่ไหนแต่มันก็ไม่ถึงขั้นจะแบล็คเมล์น้องเขาหรอกเว้ย” ครามเอ่ยปนเสียงขำแต่ทว่าคำพูดนั้นกลับไม่ได้ทำให้พยัคฆ์รู้สึกดีเลยสักนิด
มันเหมือนว่าเป็นการหลอกด่าเขาลึก ๆ มากกว่า!
อีกด้าน
“อื้อ วา...วาขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงอู้อี้ในลำคอพลางฝืนร่างกายให้ลุกขึ้นหยัดยืนจากโต๊ะด้วยความยากลำบาก
ในตอนนี้เธอถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำจนแทบทรงตัวไม่อยู่อีกทั้งยังรู้ตัวเองดีว่าถ้าหากเธอดื่มเข้าไปอีกมีหวังเธอได้หลับใหลจนไม่รู้เรื่องราวอะไรอีกต่อไปแน่
“อ๊ะ...”
ตุ้บ!
ร่างของวารีล้มลงกับพื้นเมื่อเธอครองสติของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ราวกับว่าโลกหมุนเอนเอียงไปคนละทิศคนละทาง แต่ไม่นานร่างกายของเธอก็ถูกรั้งขึ้นด้วยวงแขนแกร่งทำให้ใบหน้าหวานซบอิงกับอกกว้างของคนตรงหน้า
“ไหวรึเปล่าครับคุณวา”
“อือ วะ...ไหวค่ะ วาไหว ปล่อยวาก่อนนะคะ” หญิงสาวพยายามผลักไสคนตรงหน้าออกด้วยแรงอันน้อยนิด เขาไม่ได้ทำอะไรแต่ทำไมกลับรู้สึกว่าไม่ควรไว้ใจเขาเลยสักนิด
วารีพยายามประคองสติและดันตัวออกจากการเกาะกุม แม้ว่าจะยากลำบากแค่ไหนเธอก็ต้องออกห่างจากตัวของเขาให้ได้
แต่ทว่า...
มือหนาลูบไล้ที่ส่วนเว้าโค้งของร่างกายสาวอย่างถือวิสาสะก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาใกล้ชิดพลางสูดดมความหอมหวานจากซอกคอขาวเมื่อเธอไร้เรี่ยวแรงจะต่อกร
“อื้อ. ปะ...ปล่อยค่ะ ปล่อยฉัน” วารีผลักอกแกร่งให้ออกห่างแต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระแต่โดยดี
เธอรีบหมุนตัวและเดินออกไปอีกทางเพื่อตรงไปยังห้องน้ำ หวังว่าจะล้างหน้าล้างตาเรียกสติให้กลับคืนมาบ้าง
เธอรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าได้ไม่มาก ไม่รู้ว่าถูกลวนลามไปมากถึงไหน แต่รู้เพียงว่าเธอควรอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุด
“อื้อ...” เสียงหวานเอ่ยคลอเบา ๆ เดินทรงตัวไปยังห้องน้ำที่อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงจุดหมาย แต่เรี่ยวแรงก็กลับหายไปเสียดื้อ ๆ อีกครั้ง
ขาเล็กล้มพับเซถลาจะเสียหลักกับพื้นแต่ก็ถูกคว้าตัวเอาไว้ได้ทันโดยวงแขนแกร่งของบุคคลเมื่อครู่ที่ต้องการโลมเลียกับหญิงสาวคนนี้มากแค่ไหน
กลิ่นน้ำหอมผู้ชายราคาแพงทำให้วารีรีบผละตัวออก เธอรู้ว่าที่เขาตามเธอมาก็เพราะมีความประสงค์ร้ายกับเธอเป็นแน่ นึกโกรธและอยากทุบตีตัวเองที่เผลอไผลดื่มเครื่องดื่มที่เขามอบให้มากกว่าสี่แก้วจนทำให้เกิดอาการมึนเมาแบบนี้
“อื้อ ปล่อยฉัน”
“ปล่อยไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวคุณวาก็ล้มลงไปอีกหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยข้างแก้มใสจนหญิงสาวรีบเบี่ยงหน้าออกอย่างนึกรังเกียจ อยากจะหนีไปให้ไกล ๆ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะทรงตัว
“ปล่อยฉันนะ” เธอตวาดกร้าวด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น พลางกวาดสายตามองหาคนช่วยแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน
“ผมปล่อยก็ได้ครับ แต่ว่างานของเรายังคุยกันไม่จบเลยนะ” วงแขนแกร่งประคองคนตัวเล็กให้พิงกับกำแพงและมืออีกข้างก็ดันแขนเอาไว้ปิดช่องทางหนีทุกหนทาง
หลังจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงคลอเคลียไม่ห่าง นึกถูกใจหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาจนอยากกัดกินเสียตั้งแต่ตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
เขามองเธอมานานแล้ว พอหยิบยื่นเครื่องดื่มให้สักพักเจ้าหล่อนกลับเมามายอย่างง่ายดาย เลยทำให้อารมณ์ภายในใจปะทุเรียกร้องขึ้นมาจนต้องทำเรื่องสกปรก ๆ กับเธอในเวลาไร้สติแบบนี้
“อื้อ ปะ...ปล่อยฉัน” เสียงเล็กเอ่ยทั้งหยาดน้ำตา ถูกร่างกายสูงใหญ่รั้งล็อกเอาไว้และยังถูกมือหยาบกร้านวนเวียนไปตามผิวกายของเธอจนนึกรังเกียจ แต่เธอกลับไม่สามารถต่อต้านอะไรได้เลยสักนิด
“เรามาสนุกกันดีกว่านะครับคุณวา ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก” น้ำเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความต้องการเอ่ยแนบชิดกับใบหน้าหวาน รวมไปถึงการกระทำชั่วช้าที่กำลังล่วงเกินหญิงสาวไปใต้สาบเสื้อราคาแพง
“ฮึก...ปล่อยฉัน ไอ้สารเลว!”
จนกระทั่ง...
หมับ!
ผลัวะ!
ตุ้บ!
ร่างหนาถูกกระชากออกก่อนที่หมัดหนัก ๆ จะสวนเข้ามาที่ใบหน้าจนกระทั่งเสียหลักล้มลงกับพื้นอย่างแรง
คนตัวเล็กล้มพับไปตาม ๆ กันเมื่อไร้เรี่ยวแรงจะทรงตัวได้อีกต่อไป เธอยังตกใจและยังจับจุดไม่ถูกว่าสิ่งตรงหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้เพียงว่าไอ้สารเลวที่ลวนลามเธอเมื่อครู่ในตอนนี้ได้ถูกต่อยจนเลือดกบปากล้มไปกับพื้นไปเสียแล้ว
“เป็นอะไรไหม” น้ำเสียงคุ้นหูทำให้คนตัวเล็กรีบเงยหน้าขึ้นเพื่อมองบุคคลที่เข้ามาช่วยเธอเอาไว้
“นะ...นาย” แม้ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่เบามากแต่ก็ทำให้เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน
วงแขนแกร่งดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่นเพื่อนปลอบประโลมก่อนจะประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นจากพื้น
“เป็นอะไรไหมน้องวา มันทำอะไรเรารึเปล่า” อีกเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตกใจไม่ต่างหัน หญิงสาวเม้มปากแน่นขณะที่ร่างกายยังคงคงสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่นแต่ก็ยังสวมกอดคนตัวโตเอาไว้แน่นราวกับว่าเขาคนนี้คือที่พึ่งพิงที่ดีที่สุด
“ไอ้เหี้ยนี่มันลวนลามยัยนี่อย่างที่คิดจริง ๆ กูต่อยมันไปแล้ว”
แววตาหวานมองตามใบหน้าหล่อเหลาที่เอ่ยบอกกับเพื่อนสนิทด้วยความแข็งกร้าว เธอยังคงแปลกใจที่เห็นเขาอยู่ที่นี่แต่ตอนนี้กลับรู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ต่อยเหี้ยไรมันสลบไปแล้วเนี่ย มึงทำอะไรมันวะ”
“ปกติ มึงก็รู้ว่าหมัดไอ้เสือมันหนักแค่ไหน” ครามเอ่ยขณะที่สายตาก็มองไปยังร่างไร้สติที่แน่นิ่งไปพร้อมกับหยาดเลือดที่มุมปาก เขารู้ดีว่าหมัดของพยัคฆ์หนักและรุนแรงแค่ไหน
“ไอ้นี่แม่งเหี้ยจริง ๆ กระทืบซ้ำดีไหมวะ”
“อย่า เดี๋ยวลูกน้องมันก็มาจัดการพวกเราหรอก ตอนนี้รีบออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า” ออกัสห้ามเอาไว้เมื่อเห็นว่าภีมจะต้องเข้าไปทำร้ายซ้ำกับคนที่นอนกองกับพื้นอีกสักทีสองที
“เดินไหวไหม” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามหญิงสาวในอ้อมแขน เธอมองเขาด้วยแววตาสั่นระริก ตอนนี้หวาดกลัวทุกอย่างไปเสียหมดจนไม่สามารถตั้งสติได้อีกแล้ว
“น้องวา น้องวาครับ น้องวาเอารถมารึเปล่า”
“มึงขับรถกูให้ที พาเธอไปที่ห้องซ้อมก่อน ตอนนี้แม่งไม่สติแล้ว” พยัคฆ์ตัดสินใจเองเสร็จสรรพเมื่อเห็นอาการหวาดหวั่นของหญิงสาว เขาควรพาเธอออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องในอนาคตก็ค่อยว่ากันอีกทีเมื่อตอนที่เธอพร้อม
เขาช้อนร่างของหญิงสาวเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินนำออกไปตามทางพลันทำให้ใบหน้าหวานซบอิงกับอกแกร่งที่เธอรู้สึกว่ามันปลอดภัยเป็นที่สุด จนกระทั่งแววตาหวานหลับลงและสติดวงน้อยก็เข้าสู่ห้วงนิทราภายใต้อ้อมแขนอันแสนอบอุ่น