9 | ดวงตก

1990 คำ
บทที่ 9 ดวงตก “พวกพี่ห้ามเบี้ยวนัดวานะ ตอบตกลงแล้วห้ามคืนคำนะ” ฉันถามย้ำพวกเขาอีกครั้งเพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าพวกเขาจะไม่เบี้ยวนัดฉันจริง ๆ เพราะหลังจากที่ถามถึงจุดประสงค์ที่ฉันต้องมาตามตื๊อจนรู้เรื่องทั้งหมดก็ทำให้พวกเขาตอบตกลงในทันที และฉันเองก็ได้บอกตารางงานรวมไปถึงให้ผู้จัดการของพวกเขาติดไปยังทีมงานที่เกี่ยวข้องของบริษัทฉันเรียบร้อย หากเขาจะยกเลิกทีหลังฉันไม่ยอมจริง ๆ ด้วยนะ “ครับผม พวกพี่ไม่เบี้ยวหรอก เห็นว่าเป็นน้องวานะเนี่ย บอกเลยคนนี้วีไอพี” พี่ภีมเอ่ยขึ้นทำให้ฉันฉีกยิ้มกว้างและยกมือไหว้พวกเขาอีกครั้งสำหรับการตอบรับข้อเสนอของฉันในวันนี้ รู้สึกคุ้มค่าเหมือนกันที่เริ่มต้นหน้าที่แรกก็ได้เลื่อนตำแหน่งในระยะเวลาอันรวดเร็ว รู้แบบนี้เสนอเป็นแม่บ้านพาร์ทไทม์เพื่อตอบแทนพวกเขาก็คงดี “วาขอบคุณพวกพี่มากนะคะ ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ ส่วนเรื่องทำความสะอาดกับเป็นผู้จัดการวาไม่ได้พูดเล่นนะ วาจะทำให้จริง ๆ เอาตารางคิวมาได้เลย” “ไม่ต้องหรอก ที่บริษัทก็มีแม่บ้านอยู่แล้ว ส่วนผู้จัดการยิ่งไม่ต้องเลย ไอ้เสือคงไม่ยอมให้เปลี่ยนผู้จัดการง่าย ๆ หรอกมั้ง” ไม่ว่าเปล่าสายตาของพี่ออกัสก็เหลือบไปมองเพื่อนสนิทพร้อมกับรอยยิ้มกริ่มที่น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย ทำไมล่ะ...? “นั่นดิ มึงคงไม่อยากได้ผู้จัดการคนใหม่หรอกใช่ไหมเพราะคนเก่าก็ดีอยู่แล้ว” “หุบปากมึง ไม่ต้องมายุ่งกับกู!” แต่ไม่ทันที่จะได้คำตอบพี่พยัคฆ์ก็แทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “อ้าว มาพอดีเลย” ฉันหันไปตามระดับสายตาของพี่ออกัสก็พบว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยแฟ้มเอกสารในมือ เธอยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตรซึ่งฉันเองก็โค้งศีรษะลงตอบรับเช่นเดียวกัน ฉันพอจะเดาออกแล้วล่ะ ผู้หญิงคนนี้กับพี่พยัคฆ์คงจะมีซัมติงหรือไม่ก็คบหากันอยู่สินะเพราะพวกเพื่อน ๆ เขาถึงได้พูดแบบนั้นออกมาน่ะ “เนมเอาตารางงานของเดือนหน้ามาให้ ยุ่งกันอยู่หรือเปล่า” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ถัดจากโต๊ะทำงาน “เปล่า ๆ คุยกันเสร็จแล้วล่ะ เนมเห็นข้อความในกลุ่มแล้วใช่ไหมเรื่องพรีเซนเตอร์ของเครื่องดื่มน่ะ” “อ๋อ เห็นแล้วล่ะ เราแทรกคิวให้แล้วด้วย เดี๋ยวเย็น ๆ ส่งตารางไปให้ในกลุ่มนะ” ฉันนั่งอยู่ตรงกลางขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยเรื่องงานกันอยู่ ทางที่ดีฉันว่าฉันควรขอตัวกลับก่อนดีกว่าเพราะตอนนี้ธุระของฉันได้เสร็จสิ้นลงแล้ว “เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับวันนี้ค่ะ” ฉันเอ่ยขึ้นพลางยกมือไหว้พวกเขาทั้งหมดก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินออกจากห้อง แต่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ก็รู้สึกเพลีย ๆ อยากนอนหลับสักตื่น ทั้งที่ไม่ได้ทำงานหนักอะไรนะ แต่ก็อาจจะเป็นเพราะฉันประหม่าและคิดมากเกินไปก็คงทำให้พลังหมดแบบนี้ แต่ทว่า... วูบ...! สติของฉันดับวูบลงชั่วครู่พลันทำให้ร่างกายของฉันเสียหลักและทำท่าจะล้มลงกับพื้น “นี่เธอ!” แต่ไม่นานฉันก็สัมผัสได้ถึงวงแขนแกร่งของใครคนหนึ่งที่รีบมาประคองร่างกายของฉันเอาไว้ได้ทันเวลา “เฮ้ย...น้องวา เป็นอะไรรึเปล่า” “อึก วา...” ฉันพยายามควบคุมสติของตัวเองและลืมตาขึ้นทว่ากลับเห็นเงาสีดำเลือนรางที่อยู่ตรงหน้าพลันทำให้ฉันรีบสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมในทันที “อย่าดิ้นได้ไหม!” “พะ...พี่ พี่พยัคฆ์...” ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ รวมไปถึงร่างกายของฉันที่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นทำให้ฉันมองเห็นว่าเป็นพี่พยัคฆ์ที่ประคองร่างกายของฉันเอาไว้จากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่น่าแปลก...เพราะเมื่อกี้ฉันกลับเห็นเงาของคนคนหนึ่ง มันไม่ใช่พวกเขาแต่รู้สึกเหมือนว่าเป็นเงาของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของฉัน หรือว่า...! “เป็นอะไรทำไมอยู่ ๆ ถึงจะเป็นลมขึ้นมา” พี่พยัคฆ์เอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่งซึ่งฉันเองก็พยายามมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะแตะฝ่ามือลงบนที่แขนแกร่งของเขาเพื่อพิสูจน์บางอย่าง “ช่วงนี้หัดเข้าวัดทำบุญหน่อยนะ ตอนนี้ดวงของนายกำลังตก” เมื่อฉันแตะตัวของเขาได้สำเร็จก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ความจริงแล้วฉันมีสัมผัสพิเศษน่ะ ไม่ได้มีนิยามสัมผัสพิเศษของตัวเองได้อย่างตรงตัวแต่เพียงแค่รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างเท่านั้น รวมไปถึงการดูไพ่ที่จะสามารถวิเคราะห์และทำนายได้ผ่านการใช้จิตสารของตัวเอง “พูดบ้าอะไรของเธอ” “นายต้องกรวดน้ำด้วยนะ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแล้วก็บุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้มันร้ายแรงแค่ไหน แต่ฉันรู้สึกได้ว่านายกำลังจะเจอเคราะห์หนัก” คำพูดของฉันทำให้ทุกคนภายในห้องต่างมองหน้ากันและไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมา ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดมันยากที่จะเชื่อ แต่ฉันก็เพียงแค่อยากเตือนในฐานะคนรู้จักกันก็เท่านั้น “หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ตั้งใจจะหลอกขายของขลังให้ฉันรึไง” “นี่!” ฉันเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากของเขา ไม่เชื่อไม่ว่าแต่มาบอกว่าฉันตั้งใจจะหลอกขายของเนี่ยโคตรโกรธเลย! “กลับไปได้แล้ว!” น้ำเสียงของพี่พยัคฆ์ดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ อีกทั้งแววตาของเขายังแปรเปลี่ยนไปจากเดิมราวกับว่ามีใครอีกคนที่อยู่ในนั้น “ใจเย็นได้เสือ มึงจะตะคอกใส่น้องทำไม” “กลับไป!” เป็นอีกครั้งที่พี่พยัคฆ์ตวาดกร้าวใส่ฉันพลันทำฉันลนลานรีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดหันกลับไปมองเลยแม้แต่น้อย อยู่ ๆ ก็รู้สึกหวาดหวั่นเขาขึ้นมา พอฉันพูดถึงเรื่องเคราะห์ร้ายก็เป็นตัวเขาเองที่หงุดหงิดและตวาดกร้าวฉันจนต้องรีบออกมาแบบนี้ “ไอ้คนบ้า อุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดี ชิ!” ช่วงดึก เสียงเพลงเปิดคลอเบา ๆ ขณะที่ฉันกำลังใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดไพ่คู่ใจที่ใช้สำหรับการทำนายดวงชะตาอย่างเบามือ พร้อมกันนั้นก็ฮัมเพลงและโยกศีรษะไปตามจังหวะเมื่อห้วงอารมณ์กำลังมีความสุขล้อมรอบจนแทบอยากหยุดเวลา ที่จริงฉันแทบจะหาเวลาว่าง ๆ แบบนี้ยากมากเลยล่ะ หลังจากที่ฉันกลับมาจากต่างประเทศก็มีหลายคนแวะเวียนมาขายขนมจีบไม่เว้นวัน ฉันไม่ได้จะอวดอะไรหรอกแต่จริง ๆ แล้วรู้สึกเบื่อมากกว่า ฉันไม่เคยไม่ให้โอกาสใคร แต่ก็ไม่ใช่คนที่เปิดใจง่าย ๆ หลายคนที่เข้ามาไม่ใช่ว่าฉันจะปัดทิ้งไปเสียหมด แต่ฉันแค่อยากดูพฤติกรรมของเขาก่อนว่าควรไปต่อหรือจำกัดความสัมพันธ์ว่าได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่หนึ่งคนที่ฉันเองก็รู้สึกว่าเขานั้นเป็นคนคนหนึ่งที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว ครืด...ครืด... นั่นไง...พอนึกถึงก็โทรมาเลย ฉันเบี่ยงสายตามองหน้าจอโทรศัพท์ก็พบว่าเป็นคนที่กำลังนึกถึงพอดิบพอดี จากนั้นจึงกดรับสายและเป็นลำโพงก่อนจะจัดการทำความสะอาดกับไพ่ตรงหน้าต่อ “ทำไมวันนี้โทรมาดึกจังเลยคะ” ฉันเปิดประโยคทันทีเมื่อรับสาย ปกติแล้วฉันมักจะโทรศัพท์คุยกับเขาช่วงสองหรือสามทุ่มแต่นี่ก็เที่ยงคืนกว่าแล้วซึ่งผิดปกติจากที่เคยคุยกันเลยทำให้ฉันแปลกใจขึ้นมา (พี่ไปดื่มกับลูกค้ามาครับ เพิ่งกลับถึงบ้านเมื่อกี้เลย ขอโทษทีนะที่ทำให้วาต้องรอนาน) “ใครรอกันคะ วาไม่ได้รอสักหน่อย” ฉันตอบออกไปตามตรงแต่ก็หลุดเสียงหัวเราะให้คนปลายสายได้ยิน (ครับ พี่รู้...ว่าแต่วากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่นอนหืม) “วาก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเพลิน ๆ น่ะค่ะ วันนี้ไม่รู้ทำไมถึงยังไม่ง่วงก็ไม่รู้” ทั้งที่ออกไปทำงานนอกสถานที่แถมเมื่อช่วงบ่ายยังเกิดอาการหน้ามืดจากพลังงานบางอย่างที่ฉันเองก็ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ แต่พอตกกลางคืนกลับตื่นไม่มีความรู้สึกง่วงเลยสักนิด (แล้วพรุ่งนี้วาว่างรึเปล่า พี่อยากพาไปที่ที่หนึ่ง) “อืม...พรุ่งนี้เหรอคะ จริงสิพรุ่งนี้วันหยุดนี่นา วาว่างค่ะไม่มีนัดที่ไหน ว่าแต่พี่นัทจะพาวาไปที่ไหนเหรอคะ” (ไปมูครับ) “หืม?” ฉันถึงกับร้องขึ้นและมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้งด้วยความแปลกใจ นี่ฉันคุยกับใครอยู่เนี่ย คนอย่างพี่นัทอะเหรอจะชวนฉันไปมูน่ะ พี่นัทอายุมากกว่าฉันหกปีซึ่งปีนี้เขาก็อายุสามสิบพอดี ฉันไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะมาสายนี้นะ หรือเขาตั้งใจจะเปลี่ยนวิธีการตามจีบฉัน? (ใช่ครับ พี่เห็นว่าวาชอบเรื่องนี้น่ะครับ แล้วเพื่อนพี่มันก็เป็นสายนี้พอดี มันแนะนำให้ไปไหว้ที่นี่พี่เลยมาชวนวา) จริงอย่างที่คิดเลยแฮะ แต่น่าแปลกที่ฉันไม่ได้รู้สึกไม่ดีแต่กลับชอบใจกับวิธีการจีบของพี่นัทเสียด้วยซ้ำ ปกติฉันจะเจอกับคำพูดดูถูกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องงมงายไร้สาระน่ะ แต่พี่นัทเป็นคนแรกที่กลับพาฉันไปมูเตลูแบบนี้ เหลือเชื่อ! “สถานที่เดตของเราคือที่มูเหรอคะเนี่ย แปลกจังแต่วาชอบนะคะ” (ฮะ...เมื่อกี้วาพูดว่าอะไรนะครับ) “วาบอกว่าวาชอบค่ะ ถึงจะแปลกไม่เหมือนใครแต่วาชอบมาก” ฉันบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปตามตรง ก็ฉันชอบจริง ๆ นี่นา คนอื่น ๆ ที่เข้าหามีใครบ้างที่ชวนฉันไปไหว้เทพมูเตลู มีแต่พาไปทานร้านอาหารหรู ส่งสายตาหวานเชื่อม ตบท้ายก็จะลากฉันเข้าโรงแรม เหอะ! คิดแล้วขยะแขยงขึ้นมาเลย (พี่เขินนะเนี่ย อยู่ ๆ มาบอกชอบกันแบบนี้) “วาหมายถึงว่าชอบสถานที่ที่พี่นัทจะพาไปค่ะ ไม่ได้ชอบคนพาไปสักหน่อย” ฉันถึงกับหลุดหัวเราะแต่ก็รู้ว่าพี่นัทตั้งใจแกล้งถามฉันเท่านั้น ฉันไม่ค่อยพูดความรู้สึกกับใคร อีกทั้งยังวางตัวเองดีว่าไม่ควรแสดงออกให้ใครล่วงรู้ และเป็นทุกครั้งที่ฉันทำมันออกมาได้เป็นอย่างดี แต่กับคนนี้ฉันเองกลับรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนใคร อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ทำตัวรุ่มร่ามหรือทำอะไรให้ฉันรำคาญ และนั่นแหละคือเสน่ห์ที่ฉันกำลังตามหา ลึก ๆ ฉันเองก็หวัง...ขอให้เขาเป็นแบบนี้เรื่อยไปจนกว่าฉันจะยอมเปิดใจอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม