มนรดา กมลมิ่ง หญิงสาววัยยี่สิบสองปี อาศัยอยู่ในห้องเล็กแคบบนภูเขาสูงกลางป่ากลางดงมาตั้งแต่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว เธอจำได้อย่างแม่นยำว่าวันนั้นเป็นวันจบการศึกษาของเธอ ทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้แล้วว่า ทันทีที่เรียนจบจะรีบหนีออกจากจังหวัดชายแดนภาคเหนือนี้ ไปทำงานต่อในกรุงเทพฯ เก็บเงินได้สักก้อนก็จะสมัครเข้าเรียนต่อ กัดฟันทนให้จบปริญญาตรี เพื่อจะได้มีงานดีๆ ทำและมีเงินไว้เลี้ยงตัวเอง ทว่าทุกอย่างกลับพลิกผัน เมื่อพ่อแท้ๆ กับแม่เลี้ยงพร้อมใจกันส่งตัวเธอให้กับผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อชดใช้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รวมๆ กันทั้งสิ้นห้าแสนบาท
เงินจำนวนนี้ แม้ไม่ได้มากมายสำหรับครอบครัวมีอันจะกิน แต่สำหรับบ้านของเธอแล้ว มันเป็นจำนวนมหาศาล ไม่รู้ว่าหาทั้งชาติจะได้ครึ่งหนึ่งของมันหรือเปล่า
เธอเป็นตัวขัดดอก ตัวใช้หนี้ ถูกจับมาขังอยู่ที่นี่ บ้านเล็กซอมซ่อหลังกะทัดรัด ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีเครื่องมือสื่อสารใด มีแค่เพียงข้าวสามมื้อที่จะมีคนนำมาส่งตรงเวลา หกโมงเช้า ห้าโมงเช้า และก็ห้าโมงเย็น อาหารมื้อหนึ่งมีข้าวเปล่า และก็อาหารหนึ่งอย่างเท่านั้น ไม่มีผลไม้ ไม่มีน้ำสะอาด มีแค่น้ำฝนที่รองไว้ในโอ่งแดงข้างบ้าน
ช่วงแรกๆ ที่ต้องมาอยู่ที่นี่ สำหรับมนรดาแล้วไม่ได้ลำบากแตกต่างจากบ้านเดิมของตัวเองนัก อาจจะดีกว่าก็ตรงที่ไม่ต้องทนฟังคำด่าของพ่อแท้ๆ กับแม่เลี้ยง เพราะว่าบนภูเขาสูง นอกจากเธอแล้วไม่มีใครอยู่อาศัยอยู่เลย ทุกอย่างรอบกายเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว ชีวิตของเธอสี่ปีมานี้ มีชีวิตอยู่ก็เหมือนว่าไม่มี
คนคนเดียวที่เธอเห็นมาตลอดสี่ปีก็คือหญิงวัยกลางคนที่เป็นใบ้คนหนึ่ง การพูดคุยสื่อสารกันในช่วงแรกลำบากไม่น้อย ช่วงหลังๆ เธอก็เริ่มเรียนรู้ที่จะคุยภาษามือกับอีกฝ่าย จึงได้พันธุ์ผัก พันธุ์ผลไม้มาปลูกหลากหลายอย่าง ตอนนี้ผักผลไม้ที่ปลูกไว้ก็เติบโตขึ้นมากแล้ว บางต้นออกดอกผลให้เก็บเกี่ยวกิน ดูเหมือนช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ยกเว้นก็แต่เจ้าหนี้ของเธอคนนั้น คนที่จับเธอมาขังแต่ก็ไม่เคยแวะเวียนโผล่มาให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว และที่สำคัญในหัวของเธอไม่มีข้อมูลของเขา แม้แต่ชื่อก็ไม่มี
วันนี้ป้าใบ้มาแต่เช้าตรู่ ตะกร้ามื้อเช้าที่หิ้วมานั้นดูแปลกกว่าทุกวัน
“ทำไมวันนี้มีกับข้าวเยอะจังเลยจ้ะ” เธอยิ้มถาม ป้าใบ้ไม่ตอบทำเพียงยกของออกมา ในนั้นมีปิ่นโตข้าวสวย มีกับข้าวเป็นพะแนงหมู ผัดผักรวม แล้วก็ต้มจืดมะระยัดไส้ มีผลไม้จำพวกแอปเปิลกับองุ่น แถมยังมีวิตามินบำรุงร่างกายอีกสองกระปุก
“แปลกจังทำไมส่งของพวกนี้มาด้วย”
เห็นคิ้วเล็กๆ ที่ขยับไปมาอย่างไม่เข้าใจแล้ว ป้าใบ้ก็ได้แต่ตะโกนบอกอยู่ในใจ ‘ต่อไปนี้ นายมีคำสั่งลงมาว่า ให้บำรุงคุณให้ดี ขุนให้อ้วนๆ อีกสามเดือนนายจะมาเอาคุณไปทำเมีย ความจริงนายเคยแอบแวะมาดูคุณครั้งหนึ่งแล้ว อยากจะจับคุณทำเมียตั้งแต่ตอนนั้น แต่นายมองเห็นว่าคุณผอมเกินไปสักหน่อย อายุก็ยังน้อยอยู่ คุณทำให้นายหมดอารมณ์ นายก็เลยกลับไป แล้วสั่งให้ป้านำของพวกนี้มาให้’
แน่นอนว่ามนรดาไม่ได้รู้เรื่องนี้ หญิงสาวทำเพียงยิ้มรับของทั้งหมด กินมันเงียบๆ สีหน้าแววตาดูดีขึ้นกว่าวันวานเล็กน้อย หลังจากโบกมือลาป้าใบ้กลับไปแล้ว ก็ใช้ชีวิตอยู่กับผักผลไม้ที่ปลูกด้วยตัวเอง ความจริงก็อดคิดไม่ได้ว่า การอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มีข้าวให้กินสามมื้อ มีของบำรุงร่างกาย แถมยังไม่ต้องไปตรากตรำทำงานให้เหนื่อยยาก เจ้าหนี้ที่เธอไม่เคยเห็นก็ไม่แวะมาวุ่นวาย ถ้าได้ใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดชาติก็ถือว่าเวรกรรมที่ทำมากับพ่อแท้ๆ และแม่เลี้ยงได้จบสิ้นลงไปแล้ว
แต่นั่นเป็นเพียงความเงียบสงบเพียงสี่ปีที่มนรดาสัมผัสได้ สามเดือนสุดท้ายของปีสิ้นสุดลงพร้อมกับความเงียบสงัดที่คลี่คลุมไปทั้งผืนป่า บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงทำให้จิตใจของหญิงสาววัยยี่สิบกว่าปีเริ่มระส่ำระสายเป็นครั้งแรก ทว่าความจริงแล้วเธออาจจะรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนดูแล ป้าใบ้เมื่อสามเดือนก่อน นำของดีๆ มาให้เธอกิน เสื้อผ้า ครีมบำรุงผิว ทุกอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรมีควรใช้ ป้าใบ้ล้วนจัดหามาให้ ตอนนี้ตะวันจวนเจียนจะตกดินแล้ว แต่กลับไร้เงาของป้าใบ้ที่ควรจะนำมื้อเย็นมาส่งตั้งแต่หัววัน
จิตใจของมนรดาเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย ดวงตากลมโตหันไปมองพระอาทิตย์สีทองที่ลาลับหายไปทางเหลี่ยมเขา ทิ้งไว้เพียงแสงจางๆ ก็เผยให้เห็นความมืดคลี่คลุมรอบ จึงเดินไปจุดตะเกียงให้ส่องสว่างแล้วมองไปรอบๆ บ้านหลังเก่าซึ่งมีสัตว์ป่าร้องระงมดูน่ากลัวมากกว่าทุกวัน
ความรู้สึกของเธอตอนนี้ ช่างเหมือนกับคืนแรกที่ต้องมาอยู่ที่นี่ ความหวาดกลัวเกาะกุมหัวใจจนต้องถอยร่นชิดผนังไม้ นั่งกอดเข่า ดวงตากลมโตคอยมองไปรอบตัวด้วยความระแวดระวัง
เสียงสวบสาบที่ย่ำผ่านใบไม้แห้งดังกรอบแกรบทำให้หญิงสาวต้องขยับมือปิดปากของตัวเองไว้แน่น เธอกำลังสั่งตัวเองให้เงียบเสียงที่สุด กลั้นหายใจเพื่อบ่งบอกสัตว์ร้ายที่เข้ามาใกล้ว่า คนในบ้านหลังซอมซ่อนี้ได้ตายไปแล้ว