ณ หมู่บ้านซานฉี เมืองถิงฮวา แคว้นเจียงโจว
“ขนมจ้า…. แวะมาชิมแวะมาอุดหนุนกันก่อนสิจ๊ะ ขนมของยายข้านั้นรสหวานอร่อยหาผู้ใดในเมืองนี้เทียบเคียงมิได้เลยเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกำลังร้องเรียกลูกค้าที่กำลังเดินเลือกซื้อสินค้าในตลาดซานฉี ให้แวะเวียนมาซื้อขนมหวานในร้านเล็กๆ ของท่านยาย
เด็กหญิงวัยสิบปีที่กำพร้าทั้งบิดามารดาตั้งแต่นางยังเยาว์วัย นางอาศัยอยู่กับยายที่มีอาชีพทำขนมขายในตลาดเมืองถิงฮวา แม้จะอยู่กันเพียงสองยายหลาน ซุนฉีก็ไม่เคยปล่อยให้หลานสาวเพียงคนเดียวอย่างชิงเหมยอดอยาก แม้นว่านางยังเยาว์วัยแต่ก็รู้ความนัก คอยช่วยเหลือผู้เป็นยายขายขนมทุกวัน
“เหมยเอ๋อร์… มาดื่มน้ำสักนิดเถิดลูก เสียงของเจ้าแหบแห้งหมดแล้ว”
ซุนฉีบอกหลานสาวเพียงคนเดียว ชิงเหมยหันกลับไปมองใบหน้าของท่านยายแล้วส่งยิ้มให้ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปภายในร้านขนม มือเล็กหยิบถ้วยน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย
ลูกค้าเริ่มแวะเวียนกันเข้ามาเลือกซื้อขนมของซุนฉีที่มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมเซาปิ่ง ขนมกุ้ยฮวา และหมั่นโถวอุ่นร้อน ร้านของซุนฉีแม้จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ก็เป็นที่รู้จักของชาวบ้านซานฉีแห่งนี้ ลูกค้าหลายคนต่างรู้สึกเอ็นดูสงสารหลานสาวของนางที่ต้องอาภัพตั้งแต่เยาว์วัย หากบิดาที่เป็นขุนนางยังมีชีวิตอยู่ เด็กหญิงก็คงกลายเป็นคุณหนูของตระกูลนั้น ตระกูลที่ร่ำรวยไม่แพ้ตระกูลใดในเมืองถิงฮวา
“ชิงเหมย ไปเล่นกับข้าเถิด” เด็กชายตัวน้อยวิ่งมาจากร้านขายผ้าไหมของบิดาเพื่อชวนเด็กหญิงไปเล่นด้วยกัน
“ไม่ล่ะ วันนี้ข้าต้องช่วยท่านยายขายขนมให้หมดก่อน”
ชิงเหมยปฏิเสธ วันนี้นางรู้สึกว่าตนเองไม่มีพละกำลังจะไปให้สหายที่ร่ำรวยกว่าเช่นเจ้าพวกนี้รังแก นางรู้สึกอ่อนเพลียอย่างบอกไม่ถูก
“ชิ!!! ข้าอุตส่าห์มาชวน แต่ก็ช่างเถิด… เพราะวันนี้ข้ามีสหายใหม่ที่เพิ่งย้ายมา พวกข้าจะไปเล่นกับนางแทน”
หวงซู่กล่าวออกมาก่อนที่จะเดินจากไปด้วยท่าทางขุ่นเคือง เพราะชิงเหมยนั้นมีสถานะต่ำต้อยกว่าผู้ใด เขากับสหายหลายคนในเมืองถิงฮวาจึงกลั่นแกล้งนางได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเล่นกับคุณชายหวงล่ะเหมยเอ๋อร์ ขนมก็ใกล้จะหมดแล้ว… ยายไม่ดุด่าเจ้าหรอกหนา” ซุนฉีถามหลานสาว หลังจากได้เห็นว่าบุตรชายของเจ้าของร้านผ้าไหมที่อยู่ติดกับโรงเตี๊ยมหงอวี้แวะมาหานาง
“หลานไม่อยากไปเป็นคนรับใช้ให้เจ้าพวกนั้นหรอกเจ้าค่ะท่านยาย พวกนั้นบอกว่าข้าน่ะต่ำต้อย เหมาะแก่การเป็นคนรับใช้มากกว่าสหายของพวกเขา”
เพราะเคยออกไปด้วยความดีใจว่าจะมีสหายเช่นผู้อื่น ทว่าพอไปแล้วกลับกลายเป็นนางต้องคอยรับใช้คุณชายคุณหนูเหล่านั้น ทุกคนก็เอาแต่กลั่นแกล้งรังแกนาง
“โถ่!! หลานยาย เจ้ามิได้ต่ำต้อยไปกว่าผู้ใดหรอกหนา ท่านพ่อของเจ้าเป็นถึงวีรบุรุษสงคราม หากท่านย่าของเจ้ายอมรับเจ้าเพียงสักนิด เจ้าคงมิต้องมาอยู่ในที่เช่นนี้ คงจะได้ไปสำนักศึกษาเฉกเช่นคุณชายและคุณหนูตระกูลนั้น”
ซุนฉีดึงหลานสาวเข้ามากอดด้วยความสงสาร ครั้นได้รู้ถึงเหตุผลที่หลานสาวไม่อยากออกไปเล่นกับพวกบุตรชายร้านขายผ้าไหม
“ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะท่านยาย ขอเพียงข้าได้รับความรักความเอ็นดูจากท่านยายก็เพียงพอแล้ว”
ชิงเหมยกอดท่านยายของนางเช่นกัน หากท่านพ่อของนางยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของนางจะเปลี่ยนไปจากยามนี้หรือไม่ นางก็มิอาจจะจินตนาการได้ แต่ในเมื่อตระกูลนั้นมิได้ต้องการหลานที่เกิดจากหญิงสาวชาวบ้านเช่นมารดา นางก็มิมีเหตุผลที่จะต้องเสียดายที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลนั้น
“เหมยเอ๋อร์… เหตุใดร่างกายของเจ้าถึงได้ร้อนรุ่มนัก” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยน้ำเสียงตระหนกตกใจพลางยกมือขึ้นมาใช้หลังมือสัมผัสหน้าผากเล็กดู
“ท่านยาย… ข้ารู้สึกไร้เรี่ยวแรงเหลือเกินเจ้าค่ะ"
เสียงเล็กแผ่วเบาลงพร้อมกับเปลือกตาของนางที่ค่อยๆ ปิดลง ร่างกายก็อ่อนเปลี้ยจนซุนฉีต้องโอบประคอง และตะโกนร้องเรียกหลานสาวออกมาราวกับว่ากำลังเสียสติ
“เหมยเอ๋อร์!!! เจ้าเป็นอันใดไป เหมยเอ๋อร์!!! หลานยาย ฟื้นขึ้นมาสิลูก” นางรีบอุ้มชิงเหมยไปโรงหมอที่อยู่ไม่ไกลจากร้านขายขนมของนางทันที
ท่านหมอสวีที่รู้จักกับสองยายหลานมานานรีบให้การช่วยเหลือเด็กหญิงผู้น่าสงสารทันที ชีพจรของนางนั้นแผ่วลงจนน่าประหลาดใจ เขาไม่เคยพบเจออาการเช่นนี้มาก่อน สีหน้าของเขาแสดงความเคร่งเครียดออกมาทันที ก่อนที่จะสั่งให้คนงานในร้านไปต้มยา
“ท่านหมอสวี… เหมยเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง” ซุนฉีเอ่ยถามท่านหมอออกมาด้วยความร้อนใจ
“ช่วงนี้นางได้มีอาการแปลกๆ หรือไม่”
ซุนฉีส่ายหน้าไปมาน้ำตาคลอ หากนางต้องสูญเสียหลานสาวอันเป็นที่รักผู้เป็นตัวแทนลูกสาวเพียงคนเดียวของนางไป นางก็คงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นกัน
“อาการของนางนั้นช่างประหลาดนัก ข้ารักษาผู้คนมาตั้งมากมายยังมิเคยพบเจอผู้ใดมีชีพจรเช่นนางมาก่อนเลย” เขาบอกถึงอาการของชิงเหมยอย่างไม่ปิดบัง และนั่นยิ่งทำให้ซุนฉีร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“ฮือๆๆ เหมยเอ๋อร์… เจ้าต้องฟื้นนะหลานยาย ยายมีเจ้าเป็นดั่งดวงใจ หากยายสูญเสียเจ้าไปอีกคนยายคงมีชีวิตต่อไปอีกไม่ได้”
“ทำจิตใจให้เข้มแข็งเข้าไว้เถิด ถึงเยี่ยงไรข้าก็จะรักษานางให้สุดความสามารถของข้า” ท่านหมอสวีบอกแก่ซุนฉีด้วยน้ำเสียงจริงจังแม้ภายในใจจะไม่มั่นใจก็ตามที ทำให้หญิงวัยกลางคนมองหน้าเขาอย่างมีความหวัง
“ให้นางนอนพักที่โรงหมอของข้าก่อนเถิด ให้ข้าดูอาการนางให้แน่ชัดเสียก่อน” ซุนฉีพยักหน้าพลางใช้ผ้าเช็ดน้ำตาของตน
“นางถึงมือข้าแล้ว เจ้ามิต้องเป็นห่วง กลับไปเก็บร้านก่อนแล้วค่อยกลับมาที่นี่เถิด”
เขาบอกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซุนฉีเป็นสหายเก่าของเขาและถึงยามนี้ก็ยังเป็นอยู่ มีหรือที่นางมีเรื่องลำบากแล้วเขาจะไม่ยื่นมือไปช่วย
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอฝากเหมยเอ๋อร์ไว้กับท่านที่นี่สักหนึ่งชั่วยาม แล้วข้าจะขอพานางกลับไปที่เรือน” ท่านหมอสวีพยักหน้า ซุนฉีจึงออกจากเรือนพักคนไข้ของโรงหมอสวีกลับไปเก็บของและปิดร้านของตน
หมอสวีหันกลับไปมองเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนเตียง ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนางแล้ว ว่านางจะพ้นวิบากกรรมในครานี้ไปได้หรือไม่ เพราะเขาเองก็จนปัญญาที่จะรักษานาง ที่เขาทำได้แค่เพียงต้มยาให้แก่นางเพื่อรักษาสัญญาณชีพของนางเอาไว้เพียงเท่านั้น
หนึ่งคืนกับการนอนที่โรงหมอของท่านหมอสวี ซุนฉีจึงขอพาหลานสาวกลับไปพักที่เรือนของนาง ร่างเล็กถูกเคลื่อนย้ายไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก ชาวบ้านฉีซานต่างมองมาที่สองยายหลานด้วยแววตาเวทนา บ้างก็ตำหนิญาติฝั่งบิดาของชิงเหมยที่ทอดทิ้งหลานแท้ๆ ให้มาตกระกำลำบากกับสตรีที่เป็นแม่หม้ายตั้งแต่ยังสาวเช่นนางซุนฉี แม้นางจะขยันขันแข็งแต่ก็มิอาจทำให้ชีวิตของหลานสาวดีขึ้นได้
“วันนี้ยายจะทำน้ำแกงที่เจ้าชอบ ตื่นขึ้นมาเถิดหลานยาย เจ้านอนไปสองวันหนึ่งคืนแล้วหนา” มือหยาบกร้านที่ทำงานหนักมาตั้งแต่ยังสาวกุมมือเล็กของหลานสาววัยเจ็ดปีเอาไว้พลางกล่าวออกมาทั้งน้ำตา
“เคราะห์กรรมอันใดกัน เหตุใดถึงได้เลือกเจ้า เหตุใดถึงมิไปเลือกพวกคนใจดำตระกูลซิ่ว”
ซุนฉีพึมพำออกมาทั้งน้ำตา หากโชคชะตาจะเลือกผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เหตุใดถึงมิใช่พวกฝั่งพ่อของหลานสาว เหตุใดถึงให้ชีวิตของนางต้องเกิดมาอาภัพเช่นนี้ ซุนฉีบีบมือหลานสาวเบาสลับแรงเพื่อสังเกตการตอบสนอง แต่ทว่าร่างเล็กก็ยังคงนอนแน่นิ่ง ลมหายใจแม้จะแผ่วเบาแต่ก็มิได้ดับไป
หลังจากคืนแรกผ่านไป ซุนฉีก็ได้ไปตามหาท่านหมอจากหลายหมู่บ้านมาช่วยรักษา หมดเงินที่นางสะสมมาเนิ่นนานไปไม่น้อย แต่ก็มิมีหมอใดรักษาหลานสาวให้ฟื้นคืนกลับมาได้ เด็กหญิงนอนแน่นิ่งราวกับว่ากำลังติดอยู่ในห้วงของนิทรารมณ์ ซุนฉีถอดถอนใจคิดจะยอมแพ้ แต่แล้วกลางดึกของคืนที่สามที่หลานสาวนอนหลับใหลไป เด็กหญิงก็ได้ตื่นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์
“แค่กๆ” ร่างเล็กส่งเสียงไอออกมาก่อนที่เปลือกตาของนางจะค่อยๆ เปิดออก
แสงสว่างจากตะเกียงที่หัวเตียงภายในห้องซอมซ่อทำให้ผู้ที่เพิ่งฟื้นคืนมาตระหนกตกใจ นางมองไปรอบๆ ก็พบว่าที่แห่งนี้มิใช่เรือนชานของนางในหมู่บ้านบางระกำที่อาศัยมาตั้งแต่เกิด นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้นางกำลังสู้กับพวกพม่าที่มาล้อมหมู่บ้านที่นางและสหายร่วมรบไปหาเสบียง
หรือว่ามีสหายมาช่วยพวกนางและพากลับมายังหมู่บ้าน แต่พอสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่ามิใช่เรือนชานที่นางคุ้นเคย มันแปลกตาไปหมด ดูเครื่องเรือนที่เก่าแก่และเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ก็พอจะรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ชุดที่ชาวสยามสวมใส่ หรือนางถูกพวกพม่าจับมาเป็นเชลย แต่สิ่งที่นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าคือความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนสติดับวูบไป ยามนี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด
“แผล.. แผลข้าล่ะ เหตุใดข้ามิเจ็บปวดเลยสักนิด”
นางสำรวจร่างกายตนเองก่อนที่จะต้องตกใจเพราะร่างกายของนางในวัยสิบแปดปีนั้นเคยมีหน้าอกที่นูนออกมาตามวัย แต่ทว่ายามนี้กลับแบนราบและแขนของนางก็เรียวเล็กราวกับตะเกียบ ต่างจากร่างกายของนาง จู่ๆ นางก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาจึงล้มตัวลงนอนไปอีกครา ภาพที่ไม่เคยได้เห็นผุดขึ้นมาในสมองเป็นฉากๆ ราวกับว่าได้เห็นเรื่องราวของใครสักคน
“โอ๊ย!! ปวดหัว” นางร้องอุทานออกมา
‘แอ๊ด!!!’ เสียงประตูหน้าห้องที่เปิดออกพร้อมกับร่างอวบอิ่มของสตรีในชุดประหลาดตา เป็นภาพเดียวกับที่คำเอื้อยได้เห็นในความนึกคิดของนาง
“ชิงเหมย!!! ตื่นแล้วหรือหลานยาย เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
เสียงหวานสั่นเครือของซุนฉีดังขึ้นตามมาทันที คำเอื้อยที่ยังไม่รู้ตัวว่านางเองได้กลับมาเกิดใหม่ถึงกับตระหนกตกใจ แต่พอมองใบหน้าของสตรีสูงวัยตรงหน้าก็ดูคุ้นตา เพราะดูเหมือนภาพที่นางเห็นในความนึกคิดยามที่นางปวดศีรษะไม่มีผิด แต่ที่นางประหลาดใจนั่นก็คือนางสามารถฟังภาษาของหญิงสูงวัยตรงหน้านี้เข้าใจ ทั้งที่ไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดจาด้วยภาษานี้กับนางมาก่อน
“ชิงเหมย!!!”
นางทวนชื่อที่อีกฝ่ายเรียกขานนางออกมา ร่างเล็กค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นนั่ง พลางสำรวจสตรีตรงหน้าที่เรียกขานตนเองว่ายาย
“หลานยาย เจ้ารู้หรือไม่ว่ายายเป็นห่วงเจ้าถึงเพียงใด ยายนึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอหลานอีกแล้ว ฮึก…..” ซุนฉีดึงรั้งร่างหลานสาวเข้ามาในอ้อมกอด น้ำตาไหลพรากออกมาจนเปียกชุ่มเรือนผมของหลานสาว
คำเอื้อยพอจะมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยามนี้ออก เพราะนางเองก็ไม่ใช่คนโง่งม นางคงไม่ได้ถูกพวกข้าศึกจับมาเป็นเชลยที่เมืองประหลาดนี้ แต่ทว่านางคงจะตายแล้วมาเกิดใหม่ในโลกนี้เสียแล้ว มาเกิดในร่างของเด็กหญิงที่อ่อนแอและมีชีวิตสุดแสนอาภัพผู้นี้
เป็นเพราะภาพต่างๆ ที่ผุดเข้ามาในความนึกคิดของนางระหว่างที่ปวดศีรษะ ทำให้นางได้เห็นการใช้ชีวิตของเจ้าของร่าง เด็กหญิงผู้น่าสงสารที่สูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เยาว์วัย อาศัยอยู่กับท่านยายเพียงสองคน ถูกกลั่นแกล้งรังแกจากเด็กวัยเดียวกัน ถูกญาติฝ่ายพ่อทอดทิ้งเพียงเพราะเป็นลูกที่เกิดจากหญิงสาวชาวบ้าน
‘โชคชะตาเล่นตลกอันใดกับข้ารึ เหตุใดถึงให้ข้ามาเกิดที่นี่มิใช่แผ่นดินสยามเล่า’
คำเอื้อยได้แต่คิดในใจ นางสวมกอดท่านยายของเด็กหญิงทั้งน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้เพราะดีใจที่ได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้ แต่ที่ร้องไห้คือนางคิดว่านางจะมีชีวิตในโลกใหม่ ชีวิตที่ได้รับมาใหม่นี้ได้เยี่ยงไรกัน