Episode 10 "เมื่อหลายปีก่อน"

1414 คำ
Episode 10 หลายสัปดาห์ต่อมา Talk คลาส “ชาเขียวไหม? หรือว่าชามะนาวดี?” ผมถามร่างบางที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ พวกเราก็มานั่งตกปลากันริมคลองตามเคย “หิวน้ำไหม?” “อยากกินขนม” เธอตอบ จากนั้นผมจึงหันไปหยิบถุงขนมที่ซื้อมายื่นให้เธอ “ฉันกินนะคะ” “อืม กินได้เลย” ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นการอนุญาต และหันกลับไปสนใจเบ็ดตกปลาของตัวเองต่อ “แต่อย่ากินเยอะนะ เดี๋ยวท้องจะไม่มีพื้นที่เอาไว้กินปลาย่าง” “ตกให้ได้สักตัวก่อนเถอะค่ะ อย่าพูดเยอะ! เวลาหน้าแตกเนี่ย…ไม่มีใครมาช่วยเก็บเศษนะ” “ดูถูกกันจังเลยนะ ชิ!” ผมกลอกตามองบน และดึงเบ็ดตกปลาขึ้นมาเช็ก ซึ่งก็ยังคงว่างเปล่า ยังไม่มีอะไรมาติดกับ หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ดีขึ้นกว่าเก่า ลียาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม กลับมาขายขำให้ผมดูเหมือนเดิม แล้วก็ไม่ได้คิดมากหรือรู้สึกผิดกับเรื่องในคืนนั้น ผมไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าอะไร แต่ผมรู้สึกดีที่มีเธออยู่ข้างๆ อยู่กับผมในวันที่ผมไม่เหลือใคร เข้าใจกัน เคารพซึ่งกันและกัน และคอยซัพพอร์ตกันตลอดในทุกๆ เรื่อง ผมไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะคนที่จะคอนเฟิร์มได้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นตัวลียาเองมากกว่า ถ้าเธออยากร่วมเดินทางไปกับผมในสถานะอื่น ผมก็พร้อมที่จะไปกับเธอ ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับลียา ชีวิตของผมสดใสขึ้นมากจริงๆ เมื่อก่อนมีแต่เรื่องเครียด เรื่องตลกๆ ขายขำแทบไม่มีในหัวเลย แต่พอลียาเข้ามา ผมก็ได้ผ่อนคลายมากขึ้น ได้หัวเราะมากขึ้น เพราะยัยนั่นชอบขายขำ เธอขายขำตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเลยด้วยซ้ำ ถ้าให้เลือกระหว่างแฟนกับลียา ผมคิดว่าผมคงจะเลือกลียา เพราะลียาอยู่กับผมมาตั้งแต่วันแรกที่ไม่มีอะไร จนมาถึงทุกวันนี้ แล้วพวกเราเป็นยังไง ก็ยังเป็นเหมือนเดิม อกหักก็เมาหัวราน้ำด้วยกันเหมือนเดิม สลับกันห้าม สลับกันแบกอีกฝ่ายกลับบ้านตลอด เขาเป็น…เพื่อนคนเดียวในชีวิตของผม ที่เหลืออยู่ในตอนนี้ เพื่อนแบบลียาผมก็เคยมีนะครับ มีหลายคนเลยด้วยซ้ำ แต่เขาอายุสั้นไปหน่อย ก็เลยไม่ได้เจอกันแล้ว หรือผมแก่วะ? ไม่หรอก! ก็แค่สามกว่าๆ เอง ยังไม่แก่ขนาดนั้นนะ หรือเปล่า (?) ไม่ๆ ผมยังไม่แก่ เข้าข้างตัวเองสุดๆ พรึบ! [ดึงเบ็ดขึ้นมา] “อย่างน้อยๆ คราวนี้ก็ได้ถุงเท้ามาข้างนึงนะ” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ จากนั้นจึงดึงถุงเท้าออก และทำการใส่เหยื่อใหม่อีกครั้ง “ถือว่าพัฒนาขึ้นนะคะ 555” ให้กำลังใจกันดีมากจริงๆ เหอะ! “น้องน่ะเป็นคนอีสาน น้องมาหางานสิโตนน้องแน ให้อ้ายไปบอกอีแม่ เด้อ ให้อ้ายไปบอกอีแม่ บอกพ่อนำแน น้องมาสี่คน~” เอ่อ… อันนี้ไม่ต้องงงนะครับ พอดีเธอกำลังร้องเพลงอยู่น่ะ เป็นเพลงที่ผมไม่ได้ยินมาหลายปีแล้วล่ะ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่ามันหมายความว่าอะไร ลียาบอกว่าเป็นเพลงอีสาน ชื่อเพลงว่าอ้ายมาสี่คน แต่เธอเอามาแปลงเนื้อร้องใหม่ ให้เป็นน้องมาสี่คนแทน และถ้าถามว่าผมรู้จักเพลงนี้ได้ยังไง เหอะ! ~~~~~~~~~~~~~~~~~ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน “สวัสดีค่ะ ลียา ปราณปรียา เปรมปรียาค่ะ อายุเป็นเพียงตัวเอง ซึ่งเราไม่ต้องไปสนใจตรงนั้น สนใจแค่ตัวเลขของเงินเดือนที่ฉันอยากได้ก็พอ อยากจะได้เงินเดือนสักห้าหมื่นค่ะ” และนี่ก็คือลียาเมื่อหลายปีก่อน วันแรกที่เราสองคนได้เจอกัน ณ ตอนนั้นบริษัทไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก น้องใหม่อยู่เลย “มาสมัครงานในตำแหน่งเลขาค่ะ” “โทษนะ ทุกวันนี้เงินเดือนหมื่นห้าฉันยังไม่พอจะจ่ายเลย” และนี่ก็คือตัวผมเองเมื่อหลายปีก่อน “อยากได้มากขนาดนั้น เธอมีประสบการณ์การทำงานมากี่ปีกัน?” “เพิ่งเรียนจบค่ะ” “…” “หน่านะ~ ฉันไม่ได้เกิดมารวยนี่คะ แถมยังเป็นคนต่างจังหวัดอีก ดิ้นรนกันสุดๆ พ่อแม่ของฉันมีลูกตั้งเก้าคนเลยนะคะ ฉันก็เหมือนกับเป็นเสาหลักของบ้าน ห้าหมื่นที่ขอไป ฉันคิดว่าไม่น่าจะพอด้วยซ้ำค่ะ” เธอกล่าว “ห้าหมื่นที่ว่าเนี่ย…ส่งกลับบ้านมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะคะ” “ส่งไปให้พ่อกับแม่?” เลิกคิ้วถาม “เปล่า ส่งไปซื้อหวย เผื่อถูกรางวัลที่หนึ่ง แฮร่! ไม่ใช่แล้ว! ส่งไปให้พ่อกับแม่และพี่ๆ น้องๆ รวมถึงหลานๆ อีกนับสิบชีวิตค่ะ” ขำแห้ง “เข้าใจฉันหน่อยนะคะ ครอบครัวฉันสมาชิกเยอะมากจริงๆ” “เก้าคนนี่มีใครบ้าง ไหนลองพูดมาสิ” “ก็…เก้าคนที่ว่าก็คือพี่กับน้องของฉันเองค่ะ ไม่นับรวมพ่อกับแม่ แล้วก็ไม่นับรวมหลานๆ ที่เกิดจากพี่น้องในเก้าคนอีก ฉันเป็นลูกคนที่ห้าค่ะ ก็จะมี…ส้มโอ สาทร อมร อากร ลียา ซึ่งก็คือตัวฉันเอง สิตา สร้อยทอง ลินดา มาลาค่ะ” “ฟังไม่ถนัดเลย ขออีกทีจะได้ไหม?” “เกรงว่าจะไม่เหมือนเดิมน่ะสิคะ” “…” ก็นั่นล่ะครับ ลียาก็คือลียา “555 ก็…ประมาณนี้ค่ะ หรือจะเอาชื่อหลานด้วยไหมคะ?” “พอๆ แค่เก้าคนฉันก็ฟังจนจะอ้วกแล้ว” “แล้วตกลง…รับฉันเข้าทำงานไหมคะ? แลกกับเงินเดือนห้าหมื่น?” ตอนนั้นผมคิดว่าเธอหน้าเลือดมากครับ ซึ่งก็หน้าเลือดจริงๆ แหละ แต่เหตุผลก็พอให้อภัยได้อยู่ “มีความสามารถพิเศษอะไรไหม? โชว์ให้ดูหน่อย” “แหมะ…สมัครเป็นเลขาหรือประกวดไทยแลนด์ก็อตทาเลนจ์คะเนี่ย 555 แต่ไม่เป็นไรค่ะ ฉันร้องเพลงได้ แล้วก็เต้นได้ด้วยค่ะ” “Cover เพลงเกาหลีน่ะเหรอ?” เธอไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหัวเบาๆ “ถ้างั้นอะไรล่ะ โชว์ให้ดูหน่อยสิ” “ได้ค่ะ แฮ่มๆ!” บิดตัวไปมาเล็กน้อย และวอร์มเสียงอีกนิด “น้องน่ะเป็นคนอีสาน น้องมาหางานสิโตนน้องแน ให้อ้ายไปบอกอีแม่ เด้อ ให้อ้ายไปบอกอีแม่ บอกพ่อนำแน น้องมาสี่คน~” และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักเพลงนี้ครับ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของมันสักเท่าไหร่ ภาษาเหนือ อีสาน ใต้ ผมยังไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่ครับ “สี่คน สี่คน สี่คน น้องมาสี่คน สี่คน สี่คน สี่คน น้องมาสี่คน อ้ายหน้ามนละสนใจน้องแน ให้อ้ายไปบอกอีแม่ บอกพ่อนำแน น้องมาสี่คน~” ~~~~~~~~~~~~~~~~~ และหลังจากวันนั้นมา ผมก็ไม่สามารถหยุดขำได้อีกเลย เพราะเธอเป็นแบบที่เห็นเนี่ยแหละครับ เฮ้อ~ แต่ก็เป็นสีสันในชีวิตของผมได้ดีมากจริงๆ 55555 “มองหน้าฉันแล้วก็ยิ้ม คุณเป็นอะไรคะ?” เธอหันมาถามผม โดยที่ยังคงหยิบขนมเข้าปาก กินเลอะเทอะเหมือนเด็กสามขวบ “หรือว่าวางแผนจะแกล้งอะไรฉัน!” “เปล่า ไม่มีอะไร” ผมส่ายหัวปฏิเสธ และทำการเหวี่ยงเบ็ดตกปลาลงไปใหม่ “ฉันแค่คิดมุกตลกได้น่ะ” “แล้วไปค่ะ อย่าให้ฉันรู้นะว่าคุณวางแผนจะแกล้งฉันน่ะ!” จ้องหน้าผมเขม็ง “ไม่งั้นล่ะก็…เจอดีแน่!” “เออ~ ไม่มีอะไร มุกตลกก็คือมุกตลกหน่า หัดมองฉันในแง่ดีบ้างสิ” มุกตลกที่ตลกในตัวเธอน่ะ 5555 “ก็มันไม่มีไงคะ!” “เอ้า! ใส่ร้ายกันชัดๆ” “มันคือความจริง” “วู้ว! ไม่คุยกับเธอแล้ว ฉันตกปลาดีกว่า”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม