@บ้านบุญทรัพย์
"เป็นยังไงบ้างวันพระเอ้ย ยายใจไม่ดีตั้งแต่พ่อเกมโทรมาบอกแล้ว หมอว่ายังไงบ้างลูกพ่อเกม" ยายบัวลอยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขณะที่กรวรรธเปิดประตูรถและประคองคนตัวเล็กไปเข้าไปในบ้าน
"น้องเลือดซีด แล้วพักผ่อนน้อยเลยเป็นลมน่ะครับ เดียวให้ห้องกินข้าว กินยา แล้วก็นอนเลยนะครับ คืนนี้ไม่ต้องไปทำงาน ผมขอใบรับรองแพทย์มาแล้วครับ ให้พักไปเลย แล้วถ้าไปรับจ๊อบมัคคุเทศก์อีกนะครับ ให้หยุดก่อน" กรวรรธเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ขณะที่ประคองคนตัวเล็กมานั่งที่โซฟากลางบ้าน
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับพี่เกม วันนี้วันเสาร์โรงเรียนหยุด ผมจะนอนเฝ้าทั้งวันไม่ให้ออกไปไหนได้เลย พี่เกมไปพักผ่อนเถอะครับ" เพิ่มบุรุษเอ่ยอย่างจริงจัง
"วันนี้วันเสาร์ออฟฟิศหยุดเสาร์-อาทิตย์" พี่ไม่ต้องไปทำงาน พี่จะเฝ้าพี่สาวเราเอง ส่วนเราไปหาหนังสืออ่านไป ไม่เข้าใจก็มาถามพี่จะช่วยดูให้
"ได้ครับ" หลังจากรับคำว่าที่พี่เขยแล้วเด็กหนุ่มก็หันหลังกลับไปตรงไปที่ห้องนอนของตัวเองทันที
อีกด้านของคนที่มาใหม่
"กินข้าวต้มปลาแล้วกันเน๊าะ ตาผลทำมาให้เลยเชียวนะ เรื่องข้าวต้มปลาต้องยอมเค้า เค้าทำไม่คาว" ยายบัวลอยพยักเพยิดบอกยิ้ม ๆ
"ผมช่วยครับยาย เดี๋ยวผมดูวันพระเองครับ" กรวรรธเอ่ยกับยายบัวลอยยิ้ม ๆ พร้อมกับรับชามข้าวต้มปลามาวางตรงหน้าตัวเองและทำท่าจะป้อนให้
"ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูกินเอง แค่่อ่อนเพลีย ไม่ได้ง่อย" เพ็ญสุดาเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองคนตัวโตตาเขียวปั่ด
"เหรอ ตามใจ อ่ะกินเข้าไปให้หมดนี่แหละ สักพักจะได้กินยา แล้วก็นอนยาวไปเลย" กรวรรธเอ่ยยิ้ม ๆ
"อือ หอมจัง กินเลยนะ" เพ็ญสุดาจ้วงข้าวต้มจนพร่องไปค่อนชามเพราะรู้สึกอิ่มจริง ๆ
"อิ่มแล้วเหรอ ไม่กินให้หมดล่ะ เสียดาย" กรวรรธคะยั้นคะยอเพราะอยากให้คนตัวเล็กกินอีกหน่อย
"ไม่ล่ะ อิ่ม ง่วง อยากนอนมากกว่า ไหนยาล่ะจะได้กินแล้วนอนเลย" เพ็ญสุดาแบมือเพื่อขอยากับคนตัวโต
แปะ!! (เสียงตีมือไม่หนักไม่เบาจนเกินไป) "ยาอะไรเล่า ข้าวยังไม่ทันเรียงเม็ดเลยจะกินยาแล้ว สักพักก็ได้ กินแล้วนอนเดี๋ยวก็กรดไหลย้อนอีก" กรวรรธบ่นกลั้วหัวเราะ
อีกด้านของผู้ชราทั้งสองที่แอบมองได้แต่กลั้นหัวเราะขำไปตาม ๆ กัน เพราะไม่เคยมีใครกล้าดุกล้าแตะหลานสาวคนนี้ได้นอกจากคนที่กำลังนั่งคุมเข้มอยู่โซฟากลางบ้านในเวลานี้
กรวรรธจัดทางจัดทางให้คนตัวเล็กนั่งเอน ๆ เหยียดแข้งเหยียดขาสักพักผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงจึงนำยาบำรุงเลือดมาให้กินและบังคับให้คนตัวเล็กไปอาบน้ำเพื่อจะได้นอนยาว หลังจากจัดการคนตัวเล็กเสร็จเขาจึงออกมาคุยกับตาผลและยายบัวที่หน้ามุกของบ้าน
"ตาครับ ยายครับ ผมมีอะไรจะเล่าให้ฟัง" กรวรรธเอ่ยขึ้นขณะนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ข้าง ๆ
"ว่ามาซิพ่อเกม" ตาผลเอ่ยยิ้ม ๆ
"เมื่อเช้านี้ผมทันช็อตเด็ดที่วันพระเป็นลมเพราะมีคนมากระตุกขาผมครับ" กรวรรธเอ่ยราบเรียบ
"เค้าคงเป็นห่วงน้องสาวของเค้าแหละ ได้ข่าวว่าตามไปวุ่นวายที่ห้องพ่อเกมมิใช่รึ๊ นี่ก็น้องเค้าป่วยทั้งคน คงช่วยบอกแหละ" ตาผลกล่าวยิ้ม ๆ
"แสดงว่าเค้าตามวันพระไปหรือครับ ก็เลยแวะเล่นที่ห้องผมรอน้องไปพลาง ๆ งั้นหรือครับ" กรวรรธพูดกลั้วหัวเราะ
"เออ…ก็คงงั้นแหละพ่อเกม" ตาผลตอบกลั้วหัวเราะด้วยเช่นกัน
"เฮ๊อ อบอุ่นดีนะครับ…..ตาครับ..ยายครับผมมีอีกเรื่องนึงอยากจะขออนุญาตตากับยายครับ" กรวรรธเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งไปพักใหญ่
"จะขออะไรอีกล่ะ" ตามผลเอ่ยถามแล้วหันไปสบตาคู่สนทนาเพียงชั่วครู่
"ผมอยากจะขอดูแลวันพระในฐานะสามีที่ถูกต้องตามประเพณีและตามกฎหมายครับ ตากับยายจะว่ายังไง" กรวรรธตัดสินใจเอ่ยมันออกมาจนได้
"พ่อเกมมั่นใจในตัวเองแล้วรึ๊" ตาผลหยั่งถาม
"มั่นใจที่สุดครับตา ผมมั่นใจตัวเองตั้งแต่วันที่ได้รู้จักกับวันพระแล้วครับ" กรวรรธตอบอย่างซื่อสัตย์
“ถ้ามั่นใจขนาดนั้นก็เอาชนะใจหลานสาวตาให้ได้แล้วกัน” ตาผลเอ่ยยิ้ม ๆ
“ได้เลยครับ ผมจะพยายามจนสุดความสามารถเลยครับ ว่าแต่ตาทำไมถึงยอมง่าย ๆ แบบนี้ล่ะครับ ทั้งที่ผมไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากองเหมือนอย่างเจ้านายหรือใครเขา” กรวรรธหยั่งถาม เพราะเขาให้ข้อมูลไปว่ารถยนต์ ห้องพัก หรือแม้แต่คอนโดเป็นของเจ้านายให้ทั้งหมด
“ก็ทรัพย์สินพวกนั้นมันแลกกับความรักและความจริงใจไม่ได้หรอกพ่อเกม” ตาผลเอ่ยยิ้ม ทำเอากรวรรธถึงกับร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะไปโกหกเรื่องสถานะที่แท้จริงของตัวเองให้คนบ้านนี้ฟังอย่างน่าสงสาร
"เอ่อ ตาครับยายครับ ผมมีอะไรจะสารภาพครับ แต่ตากับยายต้องฟังผมให้จบก่อนนะครับ"
"อืม ว่ามาซิ"
"คือผมเป็นทายาทของวีกรุ๊ปครับ พ่อแม่ผมเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสิ่งก่อสร้างที่เสียชีวิตไปแล้วน่ะครับ"
"……" ตาผลเงียบ
"งั้นหรอกเร๊อะ แล้วทำไมถึงมาติดพันกับหลานสาวยายล่ะ หลานยายไม่ใช่ดอกไม้ริมทางหรอกนะจะบอกให้" ยายบัวลอยเอ่ยออกมาบ้างหลังจากที่เงียบอยู่นาน
"ยายบัว เงียบเถอะ ฟังเค้าก่อน" ตาผลเอ่ยปรามภรรยา
"พ่อของผมเป็นเพื่อนกับป๊าเขตแดนครับ หลังจากพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถเสียชีวิตด้วยกันทั้งคู่ ป๊าจึงรับผมมาเป็นบุตรบุญธรรม และเข้าดูแลกิจการของพ่อแม่แทนผม เพราะตอนนั้นผมยังเรียนอยู่และยังไม่บรรลุนิติภาวะครับ หลังจากผมเรียนจบเกิดกลัวว่าจะรักษาธุรกิจของพ่อแม่ไว้ไม่ได้จึงปล่อยให้ป๊าดูแลไปเรื่อย ๆ และตัวเองก็ผันมาเป็นบอดีการ์ดและผู้ช่วยให้คุณดามลูกชายคนเล็กของป๊าเขตแดนครับ เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละครับ" กรวรรธอธิบายยืดยาวแต่แฝงไปด้วยความจริงใจทั้งหมดที่มี