“เราจะไปคุยกันที่ไหนคะ” เดินออกมาไกลจากโรงอาหารของคณะบริหารแล้วนะ นี่ต้องไปไกลแค่ไหนกัน
แต่ทำไมฉันต้องเดินตามเขาล่ะ ฉันไม่ได้รู้จักเขาสักหน่อย
“รู้จักพี่ไหม” หนุ่มคณะวิศวะหยุดเดิน หันมาพูดกับฉัน
“เหมือนจะเคยเห็นนะคะ แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน”
“แล้วรู้จักไอ้เซ้นต์ไหม”
“อ้อ รู้จักค่ะ”
“เป็นอะไรกับมัน”
“...”
“ว่าไง”
“ก็คุย ๆ กันอยู่ค่ะ”
“คนคุย?”
“ทำไมคะ”
“ถ้าเป็นคนคุยงั้นก็คุยกับมันหน่อยสิ”
“หืม?”
“มันนั่งรออยู่ในรถ” หนุ่มวิศวะชี้ไปที่รถเก๋งสีดำเงาที่จอดอยู่ตรงลานจอดรถ “ไปดิ”
“ค่ะ” เพราะท่าทางน่ากลัวของคนพูด ทำให้ฉันต้องเดินมาที่ลานจอดรถ เดินใกล้เข้ามาถึงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ติดอยู่ ฉันเคาะที่กระจกฝั่งคนขับ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนี้ไหม เพราะว่ามันมืด มองไม่เห็นด้านในของรถ
ประตูจากเบาะหลังเปิดออก ฉันชะโงกหน้ามองจึงเห็นว่าพี่เซ้นต์นั่งอยู่เบาะหลัง สีหน้าที่เรียบนิ่งผลักให้ฉันเดินเข้ามานั่งในรถข้างเขา
“ผู้ชายคนนั้นเพื่อนพี่เซ้นต์เหรอคะ” ฉันถามพลางมองไปที่หนุ่มวิศวะคนนั้นซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ไม่ได้ใกล้มาก
พี่เซ้นต์เอื้อมมือปิดประตูโดยการขยับตัวมาใกล้ฉันมาก ๆ ฉันก็เลยพยายามลีบตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่ต้องโดนตัวเขา แต่คนจะลีบตัวได้ยังไงใช่ไหมล่ะ แมวก็ว่าไปอย่าง แมวทำตัวใหญ่ได้ ทำตัวเล็กได้
“จำเป็นต้องรังเกียจพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก คล้ายว่าฉันรังเกียจเขา
ฉันไปรังเกียจเขาเมื่อไหร่กัน หรือหมายถึงเมื่อกี๊เหรอ
“เปล่านะคะ เพ้นท์แค่หลบ กลัวเกะกะพี่”
“หายดีแล้วเหรอ”
“ค่ะ” ไม่ได้ป่วยกาย ฉันน่ะป่วยใจ แต่จะพูดกับเขาเพื่ออะไรล่ะ ไม่ได้สำคัญสักหน่อย
“พี่ทำอะไรให้เพ้นท์ไม่พอใจหรือเปล่า”
“เปล่านะคะ” เราเพิ่งทำความคุ้นเคยกัน เขายังไม่เคยล้ำเส้น จะมาทำอะไรให้ฉันไม่พอใจได้ “ทำไมถึงถามแบบนี้คะ”
“แล้วทำไมเพ้นท์ถึงทำแบบนี้”
“...ทำ ทำอะไรคะ” เขาจับได้แล้วเหรอว่าฉันดึงเขาเข้ามาเพื่อต้องการลืมออยล์
“อ้างว่าป่วยเพื่อปฏิเสธไม่มาเรียนพร้อมพี่ จากนั้นก็ไม่ติดต่อมาหา พี่ติดต่อไปก็ติดต่อไม่ได้ วันนั้นที่เราแยกกันพี่ก็คิดว่าทุกอย่างดีมากเลยนะ ตกลงพี่ทำอะไรผิด ทำไมเพ้นท์ถึงไม่คุยกับพี่แล้ว”
“...” อ้อ เหตุผลนี้เหรอ ฉันก็นึกว่าเขารู้เรื่องฉันกับออยล์ ก็งงอยู่ว่าเขาจะรู้ได้ยังไง
“ว่าไง พูดให้พี่หายสงสัยที”
“เพ้นท์ไม่สบาย กินยาแล้วก็นอนยาว ๆ ไม่ได้คุยกับใครเลย โทรศัพท์ก็ไม่ได้จับ ก็เลยไม่รู้ว่าแบตหมด วันนี้ก็ลืมพกมา”
เพราะสามวันที่ผ่านมาอยู่ในช่วงจำศีล ไม่ติดต่อใครสักคน แม่ฉันก็ไม่ได้ติดต่อ แบตที่มีน้อยนิดของคืนนั้นที่เกิดเรื่องก็เลยหมดไปเอง ซึ่งฉันที่เมาก็ไม่ได้สนใจเครื่องมือสื่อสาร บวกกับอยากยู่คนเดียว ทบทวนตัวเอง ฉันก็เลยปล่อยให้มันหมดไป หลังจากเมาเต็มที่ วันนี้มีสอบก็เลยต้องตั้งสติและแบกสังขารมาเรียน โทรศัพท์ถูกหยิบมาชาร์จแบตโดยที่ไม่ได้เปิดเครื่อง เมื่อเช้ามองนาฬิกาแล้วเห็นว่าสายก็เลยรีบออกมา นึกขึ้นได้ว่าลืมก็ไม่ทันแล้ว ขี้เกียจเสียเวลากลับไปเอา
“สามวันกินยาแล้วนอน กินยาแล้วนอนตลอดเลยเหรอ”
“ค่ะ” กินเหล้าก็เหมือนกินยาแหละ ยาใจ ช่วยให้จิตใจฟื้นฟู เหล้านี่เป็นเพื่อนที่ดีเลยล่ะ เหล้ากินแล้วต้องเมา เหล้าไม่เคยหลอกเรา กินทีไรก็เมาตลอด
“...” หน้าพี่เซ้นต์เหมือนจะไม่เชื่อฉันเลย เหตุผลฉันฟังไม่ขึ้นเหรอ