“ไม่ต้องกลัว พี่รักเด็ก...”
“พี่จะพาหนูไปไหน!?”
“พาไปกินไอติมห้องพี่” คำตอบกำกวมยิ่งทำฉันพยายามดิ้นสะบัดตัวอย่างแรงพลางทุบมือตีไปตามแผ่นหลังคนตัวใหญ่กว่าอย่างไม่ยั้งแรงและไม่ทับที แต่ดูเหมือนว่าการทำเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้อีกฝ่ายหยุดการจ้ำเท้าลงได้เลย ที่บ้าที่สุดเขายังตีบทนิ่งเหมือนตั้งแต่ต้น กระทำทุกอย่างอย่างสบายอารมณ์เสมือนว่ามันคือเรื่องปกติที่คนทั่วๆไปทำกัน
แม้ว่าฉันจะตะโกนและดิ้นอยู่ตลอดเวลาที่เขากระทำการเช่นนั้น
“ปล่อยหนูซี่!”
‘โลกกลม’ ฉันจะขอใช้คำนี้ก็แล้วกัน หลังจากถูกเขาลักพาตัวออกมาจากหน้าโรงเรียนได้ไม่นานนัก แรงดิ้นขัดขืนรวมถึงเสียงร้องของฉันก็ต้องเป็นอันหยุดลงโดยฉับพลัน เปล่าหรอก เขาไม่ได้ทำร้ายฉัน แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะฉันกำลังให้ตกใจอยู่ต่างหาก ซึ่งใช่ อาคารที่เขาแบกตัวฉันเดินเข้าไปมันก็คืออพาร์ทเม้นต์เดียวกันที่ฉันพักอาศัยอยู่ยังไงล่ะ!
“ปล่อยหนูนะ หนูอยากกลับบ้านแล้ว!” ยิ่งพบว่าสถานที่ที่เขาพาตัวฉันมาดันเป็นที่พักของตัวเองด้วยแล้ว วินาทีนั้นฉันยิ่งพยายามดิ้นขลุกขลักด้วยแรงที่มากกว่าเดิม แต่ว่าเขาฟังไหม ก็ไม่!
“กินติมเสร็จ พี่จะพากลับบ้าน” นายอสุราบอกเพียงแค่นั้นพลางเอื้อมมือกดชั้นลิฟท์ ซึ่งฉันมองไม่เห็นหรอกว่าเขากดเลขชั้นไหน ได้แต่อาศัยฟังแค่เสียงเตือนภายในลิฟท์เท่านั้นและภาวนาว่าโลกมันคงจะไม่กลมเกินไป
ทั้งที่ภาวนาแต่พระเจ้าก็ดูจะไม่เข้าข้างหรือรับฟังอยู่ดี เพราะวินาทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกฉันซึ่งถูกเขาแบกเดินไปตามระเบียงโถงทางเดินก็ได้แต่ช็อก เพราะข้าวข้องตกแต่งหน้าลิฟท์จะดูยังไงก็เหมือนกับของชั้น 4 ที่ฉันพักอยู่ไม่มีผิด ที่ตอกย้ำกันอย่างสุดก็คงไม่พ้น ตัวเลข 4 ขนาดใหญ่บนผนังข้างลิฟท์นั่นไง
ไม่ว่าจะพยายามช้อนตามอง หรือใช้มือดันหลังเพื่อมองทุกอย่างให้ชัดขึ้นยิ่งกว่าเก่า คำตอบที่ฉันรับรู้ได้โดยไม่ต้องให้ใครบอกก็คงจะเป็นความจริงที่ถูกซ่อนไว้ว่า ผู้ชายคนนี้นอกจากจะพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นต์เดียวกันแล้ว เขายังพักอยู่ชั้นเดียวกับฉันด้วย!!
กึก!
ความช็อกและความตกใจแรกยังไม่ทันหาย ความช็อกลูกใหม่ก็เริ่มถาโถมเข้าใส่ เมื่อนายอสุราหยุดเท้าลงที่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง ทว่า ในมุมมองของคนถูกจับพาดบ่าอย่างฉันกลับมองเห็นบานประตูห้องพักสีขาวสะอาดอีกฝั่งได้อย่างถนัดเต็มตา
บานประตูห้องที่ฉันมักใช้เปิดเข้าออกอยู่เป็นประประจำอย่างห้องพักฉันเอง!
แกร๊ก!
เสียงไขประตูดังแทรกเข้ามาในความคิด พานให้ต้องเอี้ยวตัวมองหลังเล็กน้อยและพบว่าห้องที่ฉันถูกพาตัวมามันไม่ได้ไกลห่างจากหน้าประตูห้องฉันไปเลยแม้แต่นิด
“ถึงแล้ว...” แถมเขายังเอ่ยขึ้นราวกับจะตอกย้ำให้ฉันเซอร์ไพรส์หนักยิ่งเข้าไปอีกว่าห้องพักของเราสองคนอยู่ตรงกันข้ามกัน!
ตุบ!
“อ๊ะ!” ไม่ทันได้เตรียมตัวเหมือนอย่างตอนแรกที่ถูกลักพาตัวมาที่นี่ นายอสุราก็ปล่อยฉันลงจากบ่าของตัวเองทันทีที่เขาจัดการปิดประตูใส่กลอนห้องพักอย่างแน่นหนา
ทันทีที่เป็นอิสระ ฉันก็ไม่รอช้ารีบก้าวถอยหลังเพื่อทิ้งระยะห่างระหว่างในทันที สายตาจับจ้องทุกอิริยาบถที่ฝั่งตรงกันข้ามแสดงออกเพื่อดูท่าที ตั้งแต่เกิดมาฉันเคยทำคดีมาตั้งเยอะแยะ แต่ว่าการถูกลักพาตัว อุ้มมาแบบนี้เรียกว่ามันคือครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ยิ่งตอนนี้ฉันมีสถานะเป็นเพียงเด็กประถมคนหนึ่งด้วยแล้ว ทุกอย่างก็ยิ่งยากไปหมด
ไม่มีปืน ไม่มีตราแสดงตัวของตำรวจ มีแต่หนังสือวิชา ส.ป.ช. กับ ก.พ.อ. คิดจะใช้หนังสือเรียนพวกนั้นฟาดหน้าคนร้ายให้สลบแล้วโทรเรียกหมวดยูเข้ามาช่วยเคลียร์พื้นที่ แค่มโนภาพยังรู้สึกว่ามันยากลำบากเลย!
“เฮือก!” ฉันสะดุ้งเฮือกไปพร้อมกับความคิดร้อนรนเอาตัวรอดในหัวที่ถูกทำให้หยุดลง เมื่อชายตัวสูงผู้เป็นเจ้าของห้อง ผละตัวออกจากบานประตูหันกลับมามองฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาเรียวคมคู่นั้นไม่บอกค่าความคิดใดยามที่เผลอสบเข้าแบบตรงๆ ระหว่างเราตอนนี้มีเพียงแค่ความเงียบ...
แต่แล้วจู่ๆ ผู้ชายตรงหน้าก็เริ่มทำเรื่องไม่คาดฝันกระตุกใจคนมองให้ตกไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อเขาเริ่มใช้มือถอดหมวกแก๊ปของตัวเองออกแล้วเหวี่ยงมันไปมุมใดมุมหนึ่งของห้อง จากนั้นก็เลื่อนลงต่ำมายังชายเสื้อยืดของตัวเองแล้วเลิกขึ้นอย่าช้าๆ และถอดมันออกเผยให้เห็นเรือนร่างกำยำเปลือยเปล่ากับรอยสักสวยๆ ใต้ร่มผ้า
“พร้อมยังคะ?” คำถามสั้นๆ ถูกเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ซึ่งนั่นมาพร้อมกับสายตาน่ากลัวดูขัดจากรูปลักษณ์และน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ถามอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ค่ะ! หนูอยากกลับบ้าน!” ฉันสวนความต้องการของตัวเองออกไปแอย่างไม่ต้องคิด และหวังว่าเขาจะไม่คิดทำผิดกฎหมายบ้านเมืองทั้งที่อยู่ในสภาพนักศึกษาอย่างนี้ แต่ก็เปล่า เมื่อคำพูดดังกล่าวทำให้คนฟังตัดสินใจก้าวเท้าเดินตรงปรี่เข้ามาหาอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน จนต้องเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังหลบหนีเขาเสียเอง
“มาถึงนี่แล้วนะ จะรีบกลับไปไหนคะ?” ฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างห้ามไม่ได้ถูกได้ยินคำถาม ก่อนเริ่มรู้สึกหวั่นใจเมื่อขาที่ก้าวถอยหลังอยู่นั้นชนเข้ากับอะไรบางอย่างจนเสียหลัก หงายหลังล้มตึงลงใส่ของสิ่งนั้นอย่างเต็มแรงและถูกความนุ่มยุ่นของมันรับแรงกระแทกเอาไว้ ของสิ่งนั้นคือโซฟาตัวยาวซึ่งดูไม่เก่าและไม่ใหม่มากนัก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น!
เพราะการพลาดท่าเสียทีมันก็ทำให้ช่องว่างระยะห่างของเราถูกอีกฝ่ายทำให้ลดลงอีกครั้ง จนผู้เป็นเจ้าของห้องพุ่งเข้าประชิดตัวฉันได้เป็นหนที่สอง เขาไม่รอช้ารีบทาบมือข้างหนึ่งลงกับพนักโซฟาอย่างรวดเร็วโดยใช้ร่างกายเปล่าเปลือยเป็นตัวเสริม และนัยน์ตาคมกลอกมองสำรวจไปทั่วหน้าฉันอย่างถือวิสาสะยามต้องอยู่ใกล้กันในระยะประชิด
ฉันสังเกตเห็นเขาใช้มือข้างที่เหลือลดต่ำลงไปยังกระดุมกางเกงยีนของตัวเอง หากว่าการกระทำเช่นกระตุกใจฉันได้มากพอแล้วล่ะก็ บอกเลยว่ามันเทียบไม่ได้เท่ากับคำถามสั้นๆ ที่ตามมาหลังจากนั้น
“เราพร้อมจะกินไอติมของพี่ยังคะ?”
สิ้นเสียงถามปลายนิ้วของผู้ชายตรงหน้าก็จัดการปลดกระดุมกางเกงยีนของตัวเองได้สำเร็จ และดูท่าเขาไม่ได้ต้องการคำตอบจากคำถามที่เอ่ยออกมาเท่าไหร่นัก
นายอสุราทิ้งน้ำหนักลงไปยังฝ่ามือซึ่งทาบกับพนักโซฟาจากนั้นก็ค่อยๆ โน้มกายลงมาหาอย่างช้าๆ ที่แย่ที่สุดก็คือ สายตาฉันดันเหมือนถูกมนต์สะกดให้จับจ้องหน้าผู้ร้ายตรงหน้าแบบไม่สามารถละสายตา ที่ทำได้ท่ามกลางสถานการณ์คับขันเวลานี้ก็คงเป็นการเอี้ยวตัวหลบการเข้าหาของเขาจนกระทั่งหมดทางหลบหนีชนเข้ากับวงแขนแกร่งที่เขาใช้กักขังไว้
ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายซึ่งยังสามารถโน้มกายลงมาหาได้อย่างต่อเนื่องปลุกอัตราการเต้นของหัวใจให้รัวถี่และสั่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย ความรู้สึกคงเหมือนกับพวกเหยื่อตามคดีต่างๆขณะถูกคนร้ายทำร้ายนั่นล่ะ ทุกวินาทีรับรู้ถึงน้ำหนักกายที่อีกฝ่ายถมทับเข้าใส่เพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละนิด ทว่า นายอสุรากลับไม่ได้เอี้ยวตัวตามการหลบหนีของฉัน เพราะที่เขาทำคือการเอนกายไปยังพนักโซฟาด้านหลังและทิ้งน้ำหนักตัวกดทับพาดลำตัวฉันไปเพียงเท่านั้น
ฟึ่บ! กึก!
“เฮือก!” ร่างกายถูกทำให้สะดุ้งเมื่อคนตัวใหญ่ขยับลำตัวเล็กน้อยบดเบียดกายฉันให้รู้สึกอึดอัด แต่นั่นก็แค่ครู่เดียว เมื่อจู่ๆ เขาผละตัวออกห่างจากไปอย่างรวดเร็วไปพร้อมกับแขนที่เคยใช้กักขังเอาไว้ และเปลี่ยนความน่าใจหาย ลุ้นระทึกเมื่อครู่ให้เป็นความงุนงงเมื่อ สิ่งที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้หลังจากนั้นมันคือไอศกรีมทำเองแท่งหนึ่งในหลอดพลาสติกลายน่ารักจากตู้แช่แข็งขนาดเล็กซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหลังโซฟา
“...”
“…” ความงงงวยและความสับสนทำเอาฉันนิ่งไปเหมือนอย่างที่เขาเงียบเอาแต่ยัดเยียดไอศกรีมแท่งในมือส่งให้นั่นล่ะ
ถึงจะเงียบแต่เราก็ยังมองหน้ากัน ฉันทำตาปริบๆไล่ความงุนงงที่มีให้หมดไป ส่วนเขาเองก็พยายามเบี่ยงสายตาไปทางอื่นสลับกับมองฉันเมื่อเห็นว่าไอศกรีมในมือไม่ถูกรับไปสักที
“ไม่...กินเหรอ อร่อยนะ...” อีกทั้งยังถามเสียงอ้อมแอ้มคล้ายกับว่าเขากำลังลังเลอะไรบางอย่างขึ้นมา
“อะ...ไอติมเหรอคะ?” ฉันเองก็บ้าที่ดันทวนคำถามใส่เขาไปแบบนั้น
“ใช่ พี่ทำเอง” ว่าแล้วจบก็รีบจัดการดึงไอศกรีมผลไม้ในหลอดออกอย่างรีบร้อนก่อนยัดเยียดส่งมาให้ฉันเป็นหนที่สอง “ลองกินสิ อร่อยนะ”
จากสภาพการณ์ทั้งที่ผ่านมามันทำให้ฉันรู้ว่าการยอมรับไอศกรีมมาจากมือเขาคงเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะยัดเยียดมาให้อยู่อย่างนี้จนกว่าฉันจะยินยอมรับรับมาไว้กับตัวแน่ๆ
“ขะ ขอบคุณค่ะ...”
ทันทีที่ไอติมแท่งดังกล่าวถูกรับมาไว้กับตัว คำสั่งสั้นๆ ฟังคล้ายการร้องขอก็เอ่ยขึ้นแทบจะทันที
“กินสิ”
ฉันเหลือบมองเจ้าของคำขอเล็กน้อย และพบว่านายอสุรากำลังมองอยู่ราวกับจะกดดันให้กินสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้เข้าไป เมือไม่มีทางเลือกฉันจึงตัดสินใจใช้ปากกัดไอ้ศกรีมที่ถืออยู่ในมือคำเล็กๆ เพื่อจบทุกแรงกดดันทั้งหมดที่มีให้หมดลง แต่ว่า การทำเช่นนั้นก็ยังมีคำถามตามมา
“อร่อยป่ะ?”
ฉันพยักหน้าเล็กน้อย แม้จะไม่รับรู้ถึงรสชาติไอศกรีมที่อยู่ในปากเลยแม้แต่นิดก็ตาม
“ไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อน...” ฉันผงะไปเล็กน้อยเมื่อผู้ชายท่าทางน่ากลัวพูดขึ้นอีกหนพร้อมด้วยรอยยิ้มคล้ายกับกำลังดีอกดีใจอะไรพร้อมทิ้งตัวลงนั่งบนที่วางของโซฟาตัวยาวห่างไปเล็กน้อย “เราคือคนแรกของพี่เลยรู้ไหม?”
“คะ คนแรกเหรอคะ?” ท่าทางซึ่งดูขัดกับรูปลักษณ์ทำฉันอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างไม่เข้าใจโดยที่ลึกๆ ยังคงหวาดระแวงกับทุกการกระทำที่ไม่สามารถคาดเดาได้ของอีกฝ่ายไปด้วย
“ใช่...” เพราะเขาอาจกำลังรู้สึกดี แต่ฉันตอนนี้ยังรู้สึกใจหายไม่หยุด!
นายอสุราพาดแนบไปตามความยาวของผนักโซฟา บนใบหน้าดุดันแต่ดูดีก็ยังปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ซึ่งเขาพยายามซ่อนมันด้วยการกัดริมฝีปากล่างไว้ตลอดเวลา ก่อนเอ่ยถ้อยคำปิดท้ายประโยคจนจบ
“เพราะเราคือเด็กคนแรกที่พี่เห็นแล้วอยากได้...”