บทที่ 14

1711 คำ
เวลาต่อมา... หลังจากเจอเรื่องน่าอารมณ์เสียแต่เช้า การมาถึงโรงเรียนก็ดูไม่ได้ทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น เมื่อพื้นที่หน้าทางเข้าโรงเรียนวันนี้ดูครึกครื้นกว่าปกติและเต็มไปด้วยกลุ่มคนมากมายที่พากันมายืนออคล้ายกับกำลังเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่าง พวกเขามารอถ่ายดาราเด็กอย่างโบฟางกันหรือไงนะ? แต่ไม่ว่าคนพวกนี้จะมาออด้วยเหตุผลอะไร สุดท้ายฉันก็ต้องเดินผ่านพวกเขาเข้าไปในตัวโรงเรียนอยู่ดี ทว่า ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนได้ดั่งที่ใจต้องการ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดันดังขึ้นมาเสียก่อน พานให้ต้องหยุดเท้าลงแล้วหยิบขึ้นมากดรับสายแล้วกรอกเสียงผ่านปลายสายเหมือนปกติ “ว่าไง?” [หมวดรีบถอยออกมาจากหน้าโรงเรียนประถมเดี๋ยวนี้เลย] เสียงเข้มจากปลายสายทำฉันขมวดคิ้วพร้อมทั้งรีบหันซ้ายแลขวาทันทีเพื่อมองหาหมวดยูผู้เป็นเจ้าของสายเรียกเข้าในครั้งนี้ ก่อนพบเข้ากับรถตำรวจสีขาวบริสุทธิ์ที่ยามนี้กระจกรถถูกเลื่อนลงเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าเขาอยู่ในรถคันนั้น “ฉันเห็นนายแล้ว” [ถอยออกมาก่อนครับหมวด แล้วค่อยพูด] อีกครั้งที่หมวดยูเอ่ยสั่งผ่านสาย แม้จะไม่เข้าใจแต่ฉันก็ยังยอมทำตามด้วยการก้าวเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ดูเหมือนมันจะไม่มากพอ หมวดยูที่เฝ้าจับตามองอยู่ภายในรถจึงออกปากสั่งอีก [ถอยออกมาอีกครั้ง ถอยออกมาอีกหลายๆ ก้าวเลย] “ถอยทำไมอ่ะ มันมีอะไรงั้นเหรอ?” ปากน่ะถามเขาก็จริง แต่เท้าก็ยอมก้าวถอยหลังอย่างที่อีกฝ่ายว่าไปด้วย [ก็เรื่องที่หมวดทำเมื่อวานในห้างยังไงล่ะครับ จำไม่ได้เหรอ?] “เรื่องจับโจรปล้นธนาคารน่ะเหรอ?” ฉันย้อน [ครับใช่ พวกที่มายืนออหน้าโรงเรียนหมวดตอนนี้น่ะมันคือ...] “นั่นไงหนูน้อยมหัศจรรย์คนนั้น!” สายตาและความสนใจของฉันถูกเสียงหวีดร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกให้หันไปมอง ก่อนต้องรู้สึกสะพรึงเมื่อกลุ่มคนที่พากันมายืนอออยู่ที่หน้ารั้วโรงเรียนในยามนี้กำลังพากันวิ่งกรูเข้ามาประหนึ่งซอมบี้ที่พุ่งจะเข้ามาเขมือบเหยื่อ [นั่นแหละที่ผมพยายามจะบอก พวกนั้นคือนักข่าวที่ต้องการทำข่าวของเด็กมหัศจรรย์จับโจรเมื่อวานนี้...] ซึ่งหมวดยูเองก็จะเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากในรถ ถึงได้พูดแทรกขึ้นผ่านสาย “ละ แล้วทำไมไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้ล่ะ!?” ฉันตะคอกเสียงดุโดยยังคงปั้นสีหน้ายิ้มแย้มแบเด็กเอ๋อๆ งุนงงไม่เข้าใจใส่บรรดานักข่าวที่กรูกันเข้ามาจนเกือบประชิดตัว แต่เชื่อไหมหมวดยูไม่ยอมตอบสิ่งที่ฉันถาม เขาได้แต่พูดถ้อยคำที่ไม่สั้นหรือยาวเกินไปราวกับจะตอกย้ำชีวิตบัดซบในสายงานของเจ้าหน้าที่สันติบานยิ่งขึ้นกว่าเก่าว่า [ผมว่าคุณอยู่ยากแล้วล่ะหมวดเทียร์ หนีชีวิตบัดซบไปก็เท่านั้น รอดยาก...] “หนูจ๋า พี่ๆรบกวนขอสัมภาษณ์นิดหนึ่งได้ไหมจ๊ะ?” “เอ๋~ คะ?” ทำแสร้งทำหน้าบ้องแบ้วเอียงคอนิดด้วยสีหน้าสงสัย พลางค่อยๆลดโทรศัพท์นมือลงอย่างช้าๆ ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตที่สุด “หนูคือฮีโร่เลยนะรู้ตัวหรือเปล่า ไม่ทราบว่าหนูชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?” หนึ่งในบรรดานักข่าวที่พากันมายืนล้อมหน้าล้อมหลังยื่นไมโครโฟนขนาดเล็กส่งมาจ่อให้ที่ปากแบบไม่คิดจะส่งบท นึกอยากจะทำก็ทำ “หนะ หนูชื่อเทียนค่ะ” เมื่อไม่มีทางหนี สิ่งที่ควรทำก็คือเดินหน้าชนกับมันไป “หนูเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้เหรอจ๊ะ?” “ค่า หนูเรียนที่นี่ อยู่ป.6 ห้อง A ค่ะ คุณครูประจำชั้นชื่อคุณรุ่งนภาค่า!” น้ำเสียงสดใจแบบเด็กยามตอบคำถาม ทำเอาน้องๆ นักข่าวตรงหน้าหลุดหัวเราะให้กับท่าทางน่ารักแบบเด็กๆ ที่ฉันจงใจแสดงออกไป “หนูรู้สึกยังไงบ้างคะ ที่ตอนนี้คนในเมืองต่างเรียกหนูเทียนว่าหนูน้อยมหัศจรรย์แบบนี้” “เอ่อ...หนู...” ยังไงดีล่ะ ฉันควรจะดีใจใช่ไหม ที่คนทั้งเมืองเห็นหน้าแล้วพร้อมใจกันเรียกแบบนี้ “หนูไม่ใช่เด็กมหัศจรรย์สักหน่อย” ว่าแล้วฉันก็ให้คำตอบซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองส่วนหนึ่งออกไป โดยยังคงสร้างภาพด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง ทำเป็นยู่ปากแสดงความรู้สึกปฏิเสธ “อ้าวทำไมล่ะจ๊ะ? ก็หนูเป็นฮีโร่นี่นา” “หนูเป็นเซเลอร์มูนต่างหาก” ฉันตอบแบบเด็กไม่รู้ประสาและหวังว่าพวกเขาน่าจะหยุดสัมภาษณ์บ้าๆ นี่สักที แต่ก็เปล่า พวกเขายังใช้ถ้อยคำแกมแซวชวนฉันพูดคุยเพื่อเอาไปทำข่าวไม่หยุด “เซเลอร์มูนก็เป็นเด็กมหัศจรรย์นะจ๊ะ....อะ” ทว่า มันก็คงเป็นโชคดีของฉันที่ดันมีคู่หูที่รู้ใจอย่างหมวดยูคอยให้ความช่วยเหลือ เขาที่มองฉันอยู่ภายในรถมาได้สักพัก คงน่าจะได้ยินการตอบสัมภาษณ์ผ่านหูโทรศัพท์ล่ะมั้ง ถึงได้รับรู้ว่าฉันพยายามจะพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ “ขอโทษนะครับ ผมเป็นตำรวจ...” ถึงได้เดินตรงเข้ามาหาแล้วโชว์ตราตำรวแก่พวกนักข่าวตรงหน้า “พอดีทางสถานีตำรวจต้องการให้เด็กคนนี้ไปให้ปากคำน่ะครับ ถ้าพวกคุณไม่ว่าอะไร ผมขออนุญาตพาเด็กคนนี้ไปให้ปากคำที่กรมตำรวจก่อน จะได้หรือเปล่า?” “อะ...ดะ ได้สิคะคุณตำรวจ” เธอตอบหมวดยูเสียงลังเล “ก็หนูน้อยคนนี้เป็นเด็กมหัศจรรย์นี่เนอะ ใครๆ ก็ต้องการตัว คิกๆ” ฉันแอบเบือนหน้าหลบเสียงชื่นชมของนักข่าวอย่างนึกเอือมระอาในความที่ตัวเองมีสภาพแบบนี้ ก่อนต้องสะดุ้งเมื่อถูกฝ่ามือของหมวดยูเอื้อมมากุมมือไว้ โดยให้การตอบโต้กลับไปสั้นๆ “ครับ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อน” เขาทิ้งท้ายใส่พวกนักข่าวเพียงแค่นั้นพร้อมทั้งออกแรงดึงมือฉันให้เดินตามไป ซึ่งเป้าหมายก็ดูจะไม่พ้นรถตำรวจนอกซึ่งจอดรออยู่อีกฟากของถนนหน้าทางเข้าโรงเรียนนั่นแหละ และทันทีที่เราเข้ามานั่งอยู่ภายในรถตำรวจได้สำเร็จ หมวดยูก็ว่าขึ้น “คุณนั่งอยู่ในนี้จนกว่านักข่าวพวกนั้นจะกลับไปหมดจะดีกว่า” “แต่เมื่อกี้นายบอกนักข่วพวกนั้นว่าจะพาฉันไปสอบปากคำนะ…” ฉันพูดพลางเหลือบหางตาเหล่ไปยังจุดที่นักข่าวกลุ่มเดิมยืนอยู่ และดูเหมือนคนพวกนั้นยังคงมองมายังรถตำรวจที่ฉันกับหมวดยูกำลังนั่งอยู่เสียด้วยสิ “ฉันว่านายขับรถออกจากตรงนี้ ดื่มกาแฟสักแก้วแล้วย้อนกลับมาส่งฉันที่หน้าโรงเรียนอีกรอบน่าจะดีกว่า” “เอางั้นเหรอครับหมวดเทียร์…” ฉันพยักหน้าส่งๆ พลางเอนหลังแนบชิดไปกับเบาะข้างคนขับอย่างนึกเซ็งๆ ส่วนหมวดยูเองก็ดูจะเอาอกเอาใจใช่เล่น พอได้รับคำสั่งเขาก็รีบสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนหักเลี้ยวพวงมาลัยขับออกไปจากบริเวณหน้าโรงเรียนประถมทันที ครั้งนี้หมวดยูใช้เส้นทางตัดผ่านหน้าอพาร์ทเม้นต์ซึ่งโดยปกติ ผู้คนมักใช้เป็นทางลัดตรงสู่ถนนหลักเข้าเมือง ความเงียบภายในรถเหมือนทุกครั้งที่เราสองคนพากันขับรถออกตรวจตราไปรอบเมือง ซึ่งเขามักมีหน้าที่ขับส่วนฉันก็นั่งชมวิวรอบๆ ด้วยความที่ชินในสภาพแบบนั้น สายตาจึงเหลือบมองไปยังวิวนอกกระจก ทันทีที่รถเคลื่อนมาจนใกล้ถึงหน้าอพาร์ทเม้นต์ของตัวเอง และตอนนั้นสิ่งที่ฉันได้เห็นก็คือ ร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งพรวดพราดออกจากทางเข้าหอพักในสภาพไม่สวมเสื้อท่อนบนและด้านล่างสวมเพียงกางเกงยีนขาดๆ ตัวเดียว แม้จะวูบเดียวที่เห็นเขาวิ่งสวนผ่านรถตำรวจไป แต่ฉันก็สามารถมองเห็นหน้าเขาได้ชัดพอดู เขาดูมีท่าทางตกใจแถมยังดูรีบร้อนมาก เสียจนฉันเผลอขยับตัวชะโงกมองไปยังกระจกหลังเพื่อมองชายคนดังกล่าวอีกครั้ง “นั่นน่ะ ใช่นายอสุราหรือเปล่าครับหมวด?” หมวดยูเองก็คงเห็นเหมือนกัน ถึงได้เอ่ยถามขึ้นจังหวะเดียวกับที่ฉันขยับตัวกลับมานั่งเรียบร้อยบนเบาะข้างคนขับ “ใช่ เขาดูรีบร้อนนะ” “นั่นสิครับ แถมยังวิ่งไปทางโรงเรียนประถมเสียด้วย” “...” “ดูไม่น่าไว้ใจเลยนะครับ” “ถ้าคิดแบบนั้น ฉันก็ฝากนายจับตาดูหมอนั่นให้ด้วยก็แล้วกัน...” พอได้เริ่มพูดประเด็นของนายอสุราขึ้นมา มันก็อดพูดสิ่งที่อยู่ในความที่มีมาตั้งแต่เมื่อคืนไม่ได้ “เด็กนั่นเหมือนพยายาทจับผิดฉันอยู่” “เรื่องในห้างสินะครับ” “ใช่ ฉันคิดว่าเด็กคนนั้นไม่น่าจะโง่ เราต้องระวังตัวมากกว่านี้แล้วล่ะ...” ฉันเม้มปากลงเล็กน้อย เมื่อภาพของนายอสราและน้ำเสียงตกอกตกใจในช่วงเวลาที่เขาดันเปิดลิ้นชักอย่างถือวิสาสะจนเจอเข้ากับปืนแวบเข้ามาในความรู้สึก “ฉันจะให้แผนของหัวหน้าจบเห่ไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ลากคอฆาตกรลักพาตัวเด็กมาเข้าซังเต” “ครับ ผมจะช่วยคุณอีกแรง หมวดต้องการอะไรก็บอกผมได่ตลอดนะ...” เพราะรู้นิสัยของหมวดยู ความมีน้ำใจของเขาคือเรื่องหนึ่งที่คนทั้งกรมตำรวจรู้กันดี เพราะงั้นฉันก็เลยเอ่ยปากขอทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย “เทียนต้องการผู้ปกครอง...” “...” “นายย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นฉันแล้วทำตัวเป็นผู้ปกครองให้หน่อยได้ไหมยู?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม