“ข้าวไข่เจียวใส่หมูสับด้วยน้าา~”
อีผี!!!!
ไม่ต้องมีคำพูดจาใดใดให้ลึกซึ้ง เท้าที่เคยก้าวนำไปข้างหน้ารีบชักกลับหลังเคลื่อนตัวกลับเข้าห้องอย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องรอสัญญาณและไม่สนใจเรียกร้องเรียก
“เฮ้ย เดี๋ยวดิยัยจิ๋ว!” แต่ว่าในตอนที่ประตูห้องกำลังจะถูกปิดกระแทกลงมานั้น
กึก! ตึง!!
เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดของผู้ชายตัวใหญ่ก็ดังขึ้น เมื่อช่องว่างระหว่างประตูถูกแทนที่ด้วยนิ้วทั้งสี่ซึ่งรีบร้อนคว้าลงมาในจังหวะที่ประตูถูกปิดพอดี
“โอ๊ยยยย!” เสียงดังกล่าวทำฉันชะงักมือลงเล็กน้อยและเผลอพลั้งปากถามออกไปอย่างลืมตัวด้วยความตกใจพอๆกัน
“เป็นอะไรหรือเปล่านายอสุรา!?” ทว่า แทนที่ถามจบฉันจะได้คำตอบของอาการและความเจ็บที่อีกฝ่ายเป็นอยู่ ก็เปล่า! เมื่อคนถูกถามกระตุกยิ้มแล้วให้คำตอบกลับมาสั้นๆ
“นายอสุราปลอดภัยดีครับ!”
เขาไม่ได้ให้คำตอบเสียงทะเล้นคล้ายกับชอบใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้จังหวะในช่วงที่ฉันยังยืนนิ่งนิ่งอยู่ รีบวางข้าวของบนตักตัวเองลงกับพื้น ลุกพรวดพราดขึ้นโดยยังคงทิ้งมือเกาะคั่นไว้ระหว่างช่องว่างระหว่างบานประตู แล้วเอ่ยขึ้นออกมาอีก
“จิ๋วเป็นห่วงพี่เหรอ?”
ให้ตายสิ! น่าจะทับให้นิ้วขาดไปเลยก็ดี!
“ถอยไปนะคะ” ฉันขัดเพราะเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายชักจะพูดจาไม่รู้เรื่อง แต่ว่าดูเหมือนนายอสุราจะไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดจากปากฉันเลยสักนิด
“ยังไปไม่ได้ มีเรื่องจะถาม” มิหนำซ้ำยังแสดงเจตจำนงของตัวเองพลางใช้มือผลักบานประตูให้เปิดกว้างออกจนสามารถแทรกตัวบุกรุกเข้ามาในห้องคนอื่นอีกต่างหาก
“ออกไปนะคะ ไม่อย่างงั้นหนูจะร้องให้คนมาช่วย!”
“เดี๋ยวออก แต่จิ๋วต้องตอบคำถามพี่ก่อน”
“ตอบอะไรคะ?” ฉันทำหน้างอ มองเขาคิ้วขมวด และก้าวถอยหลังหนึ่งเพื่อเว้นระยะห่างของเราให้อยู่ในระยะที่เหมาะสม มันน่าเจ็บใจนะ ทั้งที่เป็นเจ้าของห้องแท้ๆ แต่สิ่งที่ทำได้คือการแสดงละครเป็นเด็ก มองผู้บุกรุกปิดประตูห้องขังเราทั้งคู่ไว้ด้วยกันแบบนี้
“เมื่อคืนพี่ถูกตำรวจลากออกไปจากห้อง ฝีมือจิ๋วเหรอคะ?”
“หนูไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อย!” ฉันขัดแบบข้างๆคูๆ
“แน่ใจ?” คนตัวสูงเลิกคิ้วถาม สีหน้าบ่งบอกชัดว่าเขาไม่เชื่อสักคำที่ฉันเพิ่งแก้ต่างให้ตัวเองออกไป แน่ล่ะ ถ้าฉันเป็นเขาฉันก็ไม่เชื่อ
“แน่ซี่! พี่ออกไปจากห้องหนูเดี๋ยวนี้เลยนะ!” แต่เพื่อความแนบเนียนมันก็ต้องแก้ต่าง ตามน้ำกันต่อไป
“อะไร!? นี่พี่เป็นแขกนะ ไม่คิดจะหาน้ำให้แขกกินหน่อยเหรอ?”
“แขกอะไรกันคะ หนูไม่ได้เชิญพี่เข้ามาสักหน่อย” ฉันแย้งและเริ่มข่มขู่เขาให้รู้จักกลัว “แบบนี้มันเข้าข่ายข้อหาบุกรุกนะคะ…”
“แล้วยังไงคะ?” ทว่า หลังจากฉันเป็นฝ่ายเอ่ยแย้ง เอ่ยขัดเขามาตลอดคราวนี้นายอสุรานั่นแหละที่เป็นฝ่ายแทรกเสียงขึ้นมาด้วยตัวเอง
นัยน์ตาเรียวรีเหมือนปีศาจหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกับกำลังมองสำรวจไปทั่วองค์ประกอบบนหน้าฉันอย่างพินิจพิจารณา ก่อนพ่นคำถามกลับมาสั้นๆราวกับกำลังจะจับผิด
“ถ้าไม่ออก คืนนี้พี่จะโดนหิ้วข้อหาบุกรุกหรือเปล่า...”
“…” โดยเฉพาะกับชื่อต่อท้ายที่เขาใช้เรียกฉัน
“ว่าไงแม่ตำรวจสาว...ตัวจิ๋ว”
บ้าเอ้ย! ทำไมผู้ชายคนนี้เขาถึงพูดออกเหมือนรู้อะไรเลยล่ะ
“ว่าไงล่ะ เงียบทำไม?” แถมยังพูดหน้าตาเฉย เหมือนกับว่ารู้อะไรมาจริงๆ อย่างงั้นแหละ
ไม่ได้การแล้ว ฉันควรจะทำอะไรสักอย่าง!
“นะ ในเมื่อนายรู้ความลับของฉัน ฉันคงจะปิดบังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!” ปากไปไวกว่าความคิดทุกครั้งยามถูกต้อน โพล่งเสียงออกไปราวกับตั้งใจจะข่มขู่ผู้รู้ทันตรงหน้า มือไม้เองก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวไปตามคำพูดอย่างห้ามไม่ได้
แม้จะอยู่ในสภาวะฉุกเฉินเกินจะกู้คืน แต่สายตายังคงจดจ้องไปยังร่างสูงที่ยามนี้เริ่มเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อยเมื่อเห็นฉันเริ่มขยับกายเคลื่อนไหว
ทันทีที่เห็นเหยื่อกำลังนิ่งและฟัง ปากเลยโพล่งกึ่งตวาดออกไปอีกครั้งแทนการปฏิเสธข้อครหาที่อีกฝ่ายตั้งข้อสงสัย
“ความจริงแล้ว...ฉันน่ะ ไม่ได้เป็นตำรวจหรอกนะ เพราะความจริงฉันน่ะ...” ปลายนิ้วพุ่งชี้ไปยังข้างหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น หน้าเชิดขึ้นแบบไม่ต้องรอให้ใครออกปากสั่ง ขณะปากยังคงโพล่งคำแก้ต่างออกไปไม่หยุด “เป็นนักสู้สาวน้อยน่ารักในชุดกะลาสีผู้พิทักษ์ความรักและยุติธรรม...เซเลอร์มูนต่างหาก!”
ฟึ่บ! กึก!
ว่าจบการหมุนตัวหนึ่งตลบตามท่าแปลงร่างของต้นแบบ เพื่อเพิ่มความแนบเนียนก็บังเกิดขึ้นไปพร้อมมือไม้ที่ยื่นออกไปเพียงนิ้วชี้ นิ้วก้อยและนิ้วโป้ง เท้าหยุดแตะลงกับพื้นในท่าที่มั่นใจที่สุด
สายตามุ่งมั่นมองจ้องหน้าคนตัวใหญ่ตรงหน้า โดยไม่ลืมกล่าวคำพูดบ่งบอกบทบาทเพื่อย้ำความจริงให้คนตรงหน้าได้ฟัง
“ตัวแทนแห่งดวงจันทร์...จะลงทัณฑ์แกเอง!”
เวรเอ้ย! อายุปูนนี้แล้วยังจำเป็นต้องมาทำท่าอะไรบ้าๆ แบบนี้ไหม ตอบ!
ทว่า ทันทีที่ว่าประโยคคลาสสิคจบ ผู้ชายตรงหน้าก็ทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยท่าทางคล้ายกับคนอ่อนเปลี้ยเสียแรง โชคดีที่ความมือไวของเขายังคว้าเข้ากับโต๊ะกระจกใกล้ตัวเอาไว้ได้ทัน ไม่หน้าคะมำคว่ำลงไปเสียก่อน
ใบหน้าคมคายซึ่งเคยแสดงสีหน้าจับผิดตอนนี้แดงจัด ถ้ามองไม่ผิดรู้สึกว่าคนฟังจะเริ่มสั่นไปทั้งตัว ท่าทางเขาดูป่วยซึ่ง เขาเองก็คงจะรู้ตัวถึงได้รีบใช้มือขึ้นปิดปากและจมูกของตัวเอง
สายตาของนายอสุราตอนนี้ไม่ได้มองฉันหรอกนะ เขาพยายามมองไปทางอื่นและตอนนั้นเองเสียงงึมงำแผ่วๆ ก็ดังลอดผ่านมือที่เขาใช้ปิดปากตัวเองเอาไว้
“หนะ...หนะ...น่ารัก...”
เสียงสั่นๆเคล้าความโรคจิตดังขึ้นพร้อมกับเลือดสดๆที่เริ่มไหลซึมแทรกฝ่ามือ จนเผลอผงะถอยห่างไปเล็กน้อยด้วยความสะพรึง เขาเองก็คงรู้ตัวแหละ ถึงได้ตวัดหางตามองมาทางฉันอีกครั้ง และตามมาด้วยเสียงร้องขออย่างคนอ่อนแรง
“ขะ ขอทิชชู่ให้พี่หน่อยค่ะ ซะ เซเลอร์มูน...”
เกือบๆ 10 นาทีเห็นจะได้
หลังจากการแสดงเสแสร้งแถมปัญญาอ่อนของฉันสิ้นสุดลง บริเวณหน้าโต๊ะกระจกที่ฉันเคยใช้นั่งทำงานตอนนี้เต็มไปด้วยกองทิชชู่เปื้อนเลือดถูกวางสุมอยู่ แม้ว่านายอสุรายังคงยืนอยู่ในห้องพักของฉันก็จริง แต่ว่าเราสองคนตอนนี้ยืนอยู่คนละมุมเลยก็ว่าได้
เขายืนอยู่หน้าตู้กระจก ส่วนฉันนั่งแทรกตัวหนีเข้าหลบเข้าไปกับความนุ่มของโซฟา จับจ้องทุกการกระทำแปลกของผู้ชายเบื้องหน้าอย่างไม่ละสายตา บอกตรงๆ ว่าเวลานี้ฉันไม่ได้กลัวอีกต่อไปแล้วว่าเขาจะรู้ความทางราชการที่ทำอยู่หรือเปล่า ที่ควรกลัวก็คือ หวังว่าเขาคงไม่สติแตกขึ้นมาแล้วทำอะไรแปลกๆ อย่างเช่นการโชว์เลือดกำเดาของตัวเองให้ฉันเห็นเป็นหนที่สองก็พอ...
กึก!
เพียงแค่เขาขยับตัวหันหน้ามองมาทางฉันในสภาพกระดาษทิชชู่อุดจมูกไว้ เท่านั้นมันก็พอแล้วที่จะทำให้ฉันรู้สึกหวาดระแวง แน่ล่ะ ฉันเป็นผู้หญิงแถมยังมีสถาพเหมือนเด็กประถมคนหนึ่ง หน้าที่การงานไม่เพียงพอที่จะคุ้มครองความปลอดภัยให้ฉันนักหรอก ถ้าคนโรคจิตอย่างเขาเกิดอาการคลุ้มคลั่งแล้วพุ่งเข้าโจมตีฉัน ให้ตกอยู่ในสภาพวะเหมือนเด็กคนอื่นบนหน้าหนังสือพิมพ์!
“คือ...ขอโทษที่ใช้ทิชชู่ไปซะเยอะเลย…” นายอสุรากล่าวขึ้นหลังจากที่เราต่างคนต่างเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งฉันก็ทำได้แค่พยักหน้าส่งๆ
จากการสันนิฐานภาพรวมทั้งหมด ดูเหมือนว่าเขาไม่น่าจะรู้เรื่องงานที่ฉันทำอยู่จริงๆ นักหรอก ที่นายอสุราถามใส่แบบนั้นคงเพราะฉันใช้ถ้อยคำเสมือนเจ้าหน้าที่ตำรวจมากเกินไปเลยทำให้เขาแกล้งแซวออกมาแบบนั้น...
“จิ๋วอยู่ห้องนี้กับใครเหรอคะ?”
“พะ พี่ถามทำไมคะ...” แม้จะกลัว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่อยากให้เขารู้ประวัติการเป็นอยู่ของตัวเองไปมากกว่านี้เช่นกัน “ไม่เกี่ยวกับพี่สักหน่อย”
“เมื่อเช้าพี่เห็นมีวัยรุ่นผู้ชาย เดินออกมา นั่นพี่ชายจิ๋วเหรอคะ?”
ที่เขาเห็นเมื่อเช้าคงเป็นนิคแหงๆ ถึงเขาจะเข้าใจอย่างงั้นก็เถอะ แต่เลี่ยงจะให้รู้มันน่าจะดีกว่า
“หนูไม่บอก เพราะมันไม่เกี่ยวกับพี่”
“ไม่บอกเพราะอะไร อย่าบอกนะว่าเรากินคนแก่”
=_= กินคนแก่เหรอ! ไอ้เด็กเวรนี่ก็ช่างคิดเนอะ!
“พี่อย่ามาพูดมั่วๆนะ หนูยังเด็กอยู่ไม่คิดอกุศลแบบนั้นหรอกค่ะ”
“แปลว่าเรายังโสดใช่ม้าา~” เขาทำเสียงเล็กเสียงน้อยแกมแซว
ท่าทางเหมือนคนไม่ดีของนายอสุรา ดูก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนโง่ เพราะทั้งที่ปากเอ่ยแซว แต่สายตาเขานั้นไม่ได้จดจ่อมายังฉัน แต่เลือกกวาดสำรวจไปทั่วห้องพักราวกับกำลังค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง
ซึ่งมันคงเป็นเรื่องพลาดอย่างสุดๆ ที่ตามแต่ละจุดของมุมห้องล้วนแล้วแต่มีรูปถ่ายของฉันกับนิควางใส่กรอบตั้งไว้จนเต็ม ที่พีคไปกว่านั้นก็คือสายตาของนายอสุราดันหยุดลงบริเวณรูปถ่ายใส่กรอบตั้งโต๊ะของฉันใกล้กับตู้เย็น
“โอ๊ะ! แม่ตำรวจสาวตัวจิ๋ว” พอเขาเห็นรูปดังกล่าวนายอสุราก็โพล่งเสียงแกมแซวออกมาอีกครั้ง
และใช่! รูปถ่ายทีถูกตั้งไว้ตรงนั้นมันคือรูปของฉันที่เพื่อนในกรมตำรวจถ่ายให้ตอนเข้าไปรับการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับกรมสอบสวนพิเศษ OCC ยังไงล่ะ!
“ตำรวจสาวเทียน ยินดีให้การรับใช้ค่ะ!” ร่างกายตอบรับคำแซวดังกล่าวด้วยการดีดตัวออกจากโซฟาตัวยาวพลางใช้มือตะเบ๊ะตามอย่างเจ้าพนักงานควรทำเพื่อแสร้งตีเนียนก่อนต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อพบว่าครั้งนี้ สายตาของนายอสุรากำลังหรี่จ้องฉันอีกครั้งด้วยท่าทางเคลือบแคลงและสงสัยราวกับกำลังจับผิด
ทะ ทำยังไงดีล่ะ...
“ความฝันของหนูคือการเป็นตำรวจค่า!” เพื่อสร้างความบริสุทธิ์ใจจอมปลอม ฉันจึงตัดสินใจโพล่งอออกไปแบบเด็กๆเป็นหนที่สอง และหวังว่ามันจะช่วยให้อีกฝ่ายยอมหยุดสายตาจับผิดแบบนั้นลง
แต่เปล่าเลย ยิ่งทำแบบนั้นนายอสุรายิ่งแสดงทีท่าอีกอย่างให้เห็น เขากระหยิ่มยิ้มมุมปากคล้ายกับจะบอกให้ฉันรู้ตัว ว่าไอ้ที่แสร้งทำอยู่มันตบตาเขาไม่ได้
“หึๆ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นอย่างผู้กำชัย สร้างความเสียวสันหลังวูบให้แก่คนเห็นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อเขาใช้มือดึงกระดาษทิชชู่ออกจากจมูกตัวเอง เอนหลังพิงไปกับขอบของโต๊ะกระจกและกล่าวขึ้น
“สุดท้ายแล้ว...เราก็ปิดไม่มิด...”
อะ อะไรอีก...
“ชื่อเทียนใช่ไหมเราน่ะ...” พอได้ฟังสิ่งที่หลุดจากปากนายอสุรา สมองก็เริ่มประมวลผลตามอีกครั้ง ก่อนตระหนักได้ว่าฉันไม่ควรเชื่อหรือตื่นตูมเพราะคำพูดกำกวมของเขาอีก! “ชื่อน่ารักนะเราเนี่ย เหมาะกับชื่อพี่เลย~”
ไม่เอาน่าเทียร์! อย่ากระโตกกระตากจนอีกฝ่ายผิดสังเกตแบบนี้สิ ท่องไว้เราเป็นแค่เด็กประถม เด็กประถม เด็กประถม...
“สรุปแล้วน้องเทียนอยู่ห้องนี้กับวัยรุ่นผู้ชายคนนั้นสองคนเหรอคะ?” ดูท่าแล้ว นายอสุราไม่ได้เพ่งความสนใจไปยังเรื่องรูปถ่ายเครื่องแบบตำรวจของฉันตามอย่างที่คิดไว้ ซึ่งมันก็ดีแล้วที่เขาสนใจเรื่องอื่นมากกว่า
“พี่เลิกถามหนูได้แล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ทำไมชอบไล่จังล่ะ วันนี้พี่อุตส่าห์โดดเรียน เพราะเห็นเราไม่ยอมออกจากห้องเลยนะรู้ป่ะ?”
“หนูไม่ได้ขอพี่สักหน่อย” ฉันกอด สะบัดหน้าทำท่าเป็นเด็กเพื่อสานต่อความแนบเนียนของตัวเองแบบไม่แยแสคำพูดดังกล่าว แต่ดูเหมือนลูกตื้อของผู้ชายตรงหน้าจะมีมากนัก
“เราขอหรือพี่ทำ ปลายทางมันก็เหมือนกันนั่นแหละ” ยังคงพูดแสดงความเอาแต่ใจ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เฮอะ! คนอะไรบุกรุกเข้าห้องคนอื่นโดยพลการแล้วยังจะตื้อเขาอยู่นั่น!
“ไหนๆ นี่ก็เที่ยงแล้ว เราก็ไม่ได้ไปเรียนกันทั้งคู่ด้วย...” แต่ยังไม่ทันต่อว่าเขาในใจจนจบ นี่ก็เป็นอีกครั้งที่นายอสุราเอ่ยปากขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมสนใจ “สนใจไปกินข้าวดูหนังกับพี่ไหม?”
เดี๋ยวนะ! นอกจากจะกล้าบุกเข้ามาในห้องของคนอื่นแล้ว ยังจะกล้าหน้าด้านชวนดูหนังอีก!
“พี่ได้ยินมาวันนี้มีหนังการ์ตูนเข้าใหม่ด้วยนะ สนใจเปล่า~” อีกครั้งที่นายอสุรายังคงแสดงเจตจำนงของตัวเองด้วยการยิงลูกตื้อ โดยงัดสิ่งยั่วยุแบบที่เด็กๆ ชอบออกมาใช้ประโยชน์ ทั้งที่ปากและความต้องการของเขาดูจะเป็นการตื้อพาฉันออกจากห้องไปดูหนังแท้ๆ แต่ว่าสายตา ดันไม่ได้จดจ่ออยู่ที่เป้าหมายตามอย่างที่ควรจะเป็น
เขายังคงกวาดตามองไปรอบๆห้องคล้ายกับกำลังสำรวจ ด้วยท่าทีที่เหมือนคนช่างสังเกตของเขานั่นแหละ เลยมักทำให้ฉันตกใจได้อยู่เสมอๆ ยามได้ฟังคำพูดกำกวมไม่เจาะจงสิ่งที่ต้องการจะสื่อออกมาให้แน่ชัด
อย่าว่าแต่สายตาของนายอสุราเลย มือไม้เขาเองก็เช่นกัน ที่ยามนี้กำลังจับแตะต้องข้าวของเครื่องใช้บนโต๊ะหน้ากระจกอย่างเสียมารยาทไปเรื่อยเหมือนเด็กแม้ว่าปากยังคงเอ่ยชักชวนไม่หยุด
“ว่าไงคะ ไปด้วยกันไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยง...” จนกระทั่งปลายนิ้วซุกซ่อนที่เขาใช้เลาะไปตามส่วนต่างของโต๊ะกระจกเกี่ยวเข้ากับด้ามจับลิ้นชักแล้วทำเรื่องไม่คาดฝันด้วยการดึงมันออก
ตอนนั้นเองที่สีหน้าและน้ำเสียงทะลึ่งทะเล้นของคนตัวสูงเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความตกใจ เมื่อนัยน์ตาคมหลุบสายตาลงไปเจอเข้ากับสิ่งของซึ่งถูกซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น
“ปะ ปืน...”