ทันทีที่ตานเต๋อคงพาสหายทั้งสามมาถึงโกดัง เขาไขกุญแจและพาทุกคนเข้ามาด้านใน
“โกดังแห่งนี้แม้จะขนาดกลาง แต่ถ้าลงของเต็มโกดัง คงใช้เงินหลายหมื่นหยวน ดีไม่ดีอาจจะหลักแสนหยวนเลยนะ”
เหวินเทาพูดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ หากเจ้านายคนใหม่ลงสินค้าเต็มโกดัง แสดงว่าเจ้านายคนนี้คงร่ำรวยมาก
“อืม เดี๋ยวฉันจะพาไปดูด้านใน”
และทันทีที่ประตูด้านในเปิดออก ตานเต๋อคงแทบล้มทั้งยืน ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นว่าในนี้จะเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย
ภายในหัวคล้ายจะตบตีกันเอง เนื่องจากเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่แยกกัน สามารถจัดหาสินค้ามามากมายอย่างนี้ นายหญิงเพ่ยเพ่ยสามารถทำได้อย่างไรกันนะ
“โอ้โหอาคง สินค้าเต็มไปหมด ยังมีอาหารสดอีกนะ เจ้านายของนายคงจะเส้นใหญ่ไม่น้อย ถึงสามารถหาของพวกนี้ได้มากมาย ทั้งที่สถานการณ์บ้านเมืองขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อชาวบ้าน”
“นั่นสิ แบบนี้ฉันมีที่คุ้มกะลาหัวแล้ว และขอสาบานเลยว่าจะทำงานให้เจ้านายด้วยใจที่ซื่อสัตย์ จะไม่มีวันหักหลัง วันใดที่ฉันคิดไม่ซื่อ ขอให้ตายอย่างไม่มีดินกลบหน้า”
ต่อให้เงินจะสำคัญ แต่สำหรับเหว่ยซ่านนั้น เรื่องอาหารสำคัญกว่า และหวังว่าเจ้านายคนนี้จะไม่ปล่อยให้เขาต้องอดยาก
“ฉันเห็นด้วยกับอาซ่าน / ฉันด้วย”
ทั้งสองต่างเห็นด้วยในความคิดของเหว่ยซ่านเหมือนกัน
หลังจากตั้งสติได้แล้ว ตานเต๋อคงจึงพยักหน้าให้กับสหายทั้งสาม ก่อนจะพาทั้งสามไปยังร้านค้าในตลาดมืด และหวังว่านายหญิงเพ่ยเพ่ยคงไม่ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติอีกครั้งก็พอ
แต่เมื่อมาถึง ร้านทั้งร้านเต็มไปด้วยข้าวของพร้อมขาย และแต่งร้านเป็นสัดส่วน ซึ่งสะดวกต่อการเลือกซื้อ และยังมีแฟ้มสินค้าที่มีอยู่ในโกดัง ที่ไม่สะดวกต่อการวางขายหน้าร้านอยู่ด้วย
ตานเต๋อคงจึงเข้าใจความต้องการของนายหญิงทันที
“อาคง มีจดหมายจ่าหน้าซองถึงนายด้วย เจ้านายแน่เลย”
ทันทีที่สหายเอ่ยขึ้น ตานเต๋อคงจึงรีบเดินเข้ามาหยิบจดหมายแกะอ่านทันที ด้วยความร้อนใจ
ถึงพี่เต๋อคง
สินค้าที่ต้องขาย ฉันได้สั่งเข้ามาในโกดังและในร้านครบหมดแล้ว ราคาต่าง ๆ ฉันเขียนกำกับในสมุดภาพแล้วด้วยเช่นกัน หากพี่หาคนงานได้แล้ว พี่สามารถเปิดร้านขายได้ทันที
ฉันเชื่อว่าพี่มีคำถาม แต่รู้ใช่ไหมว่าการไม่รู้อะไรเลย ย่อมจะรักษาชีวิตได้นานกว่า เรื่องการเติมของ ฉันจะพยายามมาเติมให้ได้ทุกเช้า ในส่วนของอาหารสด ทุกคนสามารถเอากลับไปทำอาหารกินได้ ฉันไม่หวง
หากพี่ได้คนมาทำงานแล้ว พี่จัดการได้เลย เงินยังเหลือหรือเปล่า ถ้าไม่เหลือ ให้ฝากคำพูดมากับอาโมว่ แต่ถ้าเงินเหลือพอ ถ้า จำเป็นต้องจัดการที่พักให้กับคนงานก็จัดการได้ทันที ไม่ต้องรอฉัน เงินเดือนคนละห้าสิบหยวนไหวไหม เอาสามล้อไว้ที่ร้านด้วยหนึ่งคัน จัดการใบอนุญาตด้วย พร้อมกับจักรยานของพี่และของฉัน และหากพร้อมเปิดร้าน พี่จัดการได้เลย…………….เพ่ยชิง
พออ่านจดหมายจบแล้ว ตานเต๋อคงจึงพับจดหมายเก็บ ก่อนจะบอกถึงเรื่องเงินเดือนและเรื่องที่พัก
“เอาละ นายหญิงแจ้งว่าหากทุกคนพร้อมทำงาน สามารถเปิดร้านได้เลย ส่วนเรื่องเงินเดือน นายหญิงให้คนละห้าสิบหยวนต่อเดือน ไหวไหม ส่วนเรื่องที่พัก นายหญิงจะรับผิดชอบค่าเช่าให้เอง และเรื่องอาหารเช่นกัน”
“หา! เดือนละห้าสิบหยวน มันไม่มากไปเหรอ เงินเดือนโรงงานแค่ยี่สิบห้าหยวนเองนะ ยังให้เอาอาหารกลับไปทำกินได้อีก ว่าแต่นายเรียกนายหญิง เจ้านายเป็นผู้หญิงเหรอ” เหวินเทาร้องเสียงหลงกับเงินเดือนที่ได้รับและถามกลับอย่างสงสัยเกี่ยวกับนายหญิง
ผัวะ! เสียงตบหัวดังขึ้นโดยเหว่ยซ่าน
“เหมือนจะฉลาดแต่ก็โง่นะ อาคงเรียกนายหญิง นายคิดว่าเป็นผู้ชายหรือยังไง นายนี่พูดไม่คิด”
“เอาละ อย่าเพิ่งตกใจ นายหญิงให้เอาสามล้อจากโกดังมาไว้ใช้ส่งของ ส่วนพวกนายสามารถขี่กลับที่พักได้”
ตานเต๋อคงพูดขึ้น ก่อนจะชวนสหายทั้งสามคนออกจากร้านเพื่อไปหาห้องพัก จากนั้นจึงกลับไปที่โกดังอีกครั้งเพื่อเอาจักรยานและสามล้อ หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ทุกคนจึงต่างก็แยกย้ายเพื่อพักผ่อน และพร้อมที่จะเริ่มงานพรุ่งนี้
วันต่อมาโจวเพ่ยชิงตื่นเช้าและเตรียมอาหารไว้ให้ลูกทั้งสองรวมถึงครอบครัวโจว เธอบอกทุกคนแล้วว่าให้มากินมื้อเช้าที่นี่ พอทุกคนมาถึง จึงกินอาหารกันอย่างอร่อย
เมื่อได้เวลาโจวเพ่ยชิงจึงปั่นจักรยานออกจากหมู่บ้านโดยมีโจวเม่ยเม่ยซ้อนท้าย โดยมีเสียงซุบซิบนินทาเหมือนเดิม แต่สองพี่น้องไม่สนใจ ยังคงพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม
ภาพของโจวเพ่ยชิงขี่จักรยานคันใหม่ไปพร้อมน้องสาว มีสะใภ้ใหญ่บ้านหลี่มองจนลับตา และเกิดความอิจฉาจนต้องรีบกลับไปฟ้องสามี “พี่รู้ไหม สะใภ้รองใช้เงินสิ้นเปลืองมาก นี่ก็เข้าเมืองอีกแล้วแถมซื้อจักรยานคันใหม่มาด้วยนะ”
หลี่จ้ายหมิงส่ายหน้าระอากับนิสัยขี้อิจฉาของภรรยาตน ก่อนจะเอ่ยด้วยความไม่สนใจ “มันก็เรื่องของครอบครัวเจ้ารอง ฮั่นตงส่งเงินมาให้เมียใช้มันก็ไม่ผิด ส่วนน้องสะใภ้รอง จะใช้เงินทำอะไรมันก็เรื่องของเขา เราเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
พอเห็นสามีไม่สนใจ ซือเจียหรือสะใภ้ใหญ่ยิ่งโมโหมากขึ้น และคิดว่าไม่รู้ตนเองนั้นแต่งงานกับชายซื่อบื้ออย่างนี้ได้อย่างไร ไม่คิดจะหาผลประโยชน์เข้าตัวเลย
“แต่จักรยานนั่นมันเงินหลายร้อยหยวนนะ ตั้งแต่น้องชายของพี่แยกบ้าน เงินที่ส่งกลับบ้านก็น้อยนิด ไม่เหมือนเมื่อก่อน...”
“แล้วมันเพราะใครล่ะพี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ใช่เพราะพี่เหรอ ที่หาเรื่องพี่สะใภ้รองไม่เว้นวัน จนแม่ต้องเรียกพี่รองให้มาแยกบ้านเพื่อตัดปัญหา”
หลี่เหวินเสียนน้องชายคนที่สามของบ้านเดินเข้ามาเพื่อจะออกไปทำงาน แต่กลับได้ยินพี่สะใภ้พูดกับพี่ชายของตนพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกไปแบบนั้น
“อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ เมียไม่กลับบ้านมาสองเดือนแล้ว ไม่คิดจะไปตามหรือยังไง” ซือเจีย หงุดหงิดอยู่แล้ว จึงย้อนกลับน้องชายของสามีเรื่องที่สะใภ้สามไม่ยอมกลับบ้านมาสองเดือนแล้ว ทั้ง ๆ ที่โรงงานก็อยู่ในเมืองนี่เอง
“จะกลับหรือไม่ มันก็เรื่องของซินหง พี่สะใภ้ใหญ่เกี่ยวอะไรด้วย อย่าอิจฉาพี่รองมากนัก เดี๋ยวจะกระอักเลือดตายเสียก่อนที่จะเห็นความร่ำรวยของพี่สะใภ้รอง” หลี่เหวินเสียนตอบย้อนกลับพี่สะใภ้ใหญ่อย่างเจ็บแสบ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า อีกไม่นานพี่สะใภ้รองของเขาจะร่ำรวยติดอันดับเศรษฐีและผู้มีอิทธิพลของเมืองนี้
“เป็นอะไรกันนะ ทั้งสองคนนี้ก็เจอกันไม่ได้ ทะเลาะกันตลอด เจ้าสามนี่พี่สะใภ้แกนะ ยอม ๆ บ้างก็ได้ ส่วนเธอก็เพลา ๆ ความอิจฉาลงบ้างเถอะ อีกทั้งเรื่องน้องสะใภ้สามจะกลับบ้านหรือไม่ เจ้าสามยังไม่เดือดร้อน แล้วเธอจะเดือดร้อนอะไร” พอเห็นว่าเมียและน้องชายเริ่มทะเลาะกัน หลี่จ้ายหมิงจึงเอ่ยห้าม
“ผมไม่อยากจะยุ่งกับเมียพี่นักหรอก แต่เมียพี่ดันมายุ่งเรื่องของผมทำไมล่ะ ไปละ ไม่อยากยุ่งด้วยนักหรอก” พูดจบก็รีบเดินออกจากบ้านไปยังคอมมูน
ไม่ใช่เขาไม่คิดเรื่องภรรยา แต่เพราะทั้งสองคนแต่งกันเพราะสัญญาหมั้นหมาย ความรักความเข้าใจระหว่างเขาและภรรยาจึงไม่ค่อยมีนัก เมื่อซินหงขอไปทำงานหลังจากคลอดลูกสาว เขาจึงไม่ห้าม และเลี้ยงลูกคนเดียวตลอดมาพร้อมกับทำงานไปด้วย โดยมีแม่ช่วยเลี้ยง
แรก ๆ ซินหงกลับบ้านทุกสัปดาห์เนื่องจากลูกยังเล็ก แต่พอลูกเริ่มเดินได้ คราวนี้ก็เดือนละครั้ง แต่สองเดือนที่ผ่านมาเธอยังไม่กลับมาเยี่ยมลูกเลย ถ้าถามว่าเขาเป็นห่วงไหม ใจนั้นย่อมเป็นห่วง แม้จะไม่รักขนาดนั้น แต่แต่งงานกันสามสี่ปีจนลูกสามขวบ ความผูกพันย่อมต้องมีไม่มากก็น้อย และเขาตั้งใจว่าเพาะปลูกเสร็จจะลางานเข้าไปดูเสียหน่อย หากภรรยายังไม่กลับ