ถ่านไฟรักเมื่อวันวาน
EP 1
วิศนุชา หรือ พี่บีม ชื่อนี้ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ และในหัวใจของปัณฑารีย์เสมอมา ไม่เคยมีวินาทีไหนที่หล่อนสามารถลบชื่อนี้ออกจากสมองได้เลย
แม้เหตุการณ์มันจะผ่านมาห้าปีกว่าแล้วก็ตาม ตั้งแต่สมัยที่หล่อนเข้าเรียนในชั้นการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ปวช. ในชั้นปีที่ 1 และได้เจอกับเขา พี่บีม ซึ่งเขาเป็นรุ่นพี่ปวส. ปีที่ 2 แผนกช่างยนต์ ส่วนหล่อนอยู่แผนกบัญชี
หล่อนกับเขาเจอกันในห้องสมุดของวิทยาลัย ตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตากับเขา หัวใจที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน ก็ล่วงหล่นไปกองที่แทบเท้าของเขาในทันที
วิศนุชาในตอนนั้นคือผู้ชายในฝันของสาวๆ ในวิทยาลัย เขาเป็นหนุ่มฮอต สาวๆ หลายแผนกตามขายขนมจีบมากมาย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็รับมือกับการตามติดตามตื้อของหล่อนไม่ไหว ตกลงยอมให้หล่อนเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจในที่สุด
หล่อนมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกับวิศนุชาเกือบหนึ่งปี เพราะหลังจากนี้ เขาก็จะเรียนจบ และไปต่อมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ แล้ว
ตลอดเวลาที่คบหากันวิศนุชาเป็นแฟนที่ดีมากๆ เขาใจเย็น เป็นผู้ใหญ่ และให้คำปรึกษากับหล่อนได้ทุกเรื่อง
หล่อนคิดอยู่เสมอว่าตัวเองนั้นโชคดีมากๆ ที่ได้พบกับวิศนุชา และได้เป็นคนรักกับเขา หล่อนฝันถึงอนาคตที่จะได้อยู่ด้วยกันหลังจากเรียนจบ
แต่โชคดีก็ไม่ได้อยู่กับหล่อนนานนัก เพราะก่อนที่วิศนุชาจะเรียนจบเพียงแค่เทอมเดียวเท่านั้น หล่อนก็มีโอกาสได้พบเจอกับครอบครัวของเขา และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขากับหล่อนต้องจบความสัมพันธ์ลงอย่างเจ็บปวด
‘ลูกชายฉันมีผู้หญิงที่คู่ควรรออยู่แล้ว ถ้าเธอรักเขาจริงๆ ก็คงไม่อยากให้เขามีปัญหากับฉันและคนในครอบครัวใช่ไหม’
คำพูดของมารดาของวิศนุชาที่พูดกับหล่อนโดยไม่คิดรักษาน้ำใจ
ตอนนั้นหล่อนทำได้แค่เพียงยืนหน้าซีด น้ำตาเอ่อล้นขอบตา และกัดปากแน่น
‘ฉันรู้ว่าครอบครัวเธอฐานะไม่ดี ฉันจะมอบเงินให้เธอสามหมื่น เพื่อให้เธอเลิกกับลูกชายของฉัน’
‘หนูรักพี่บีมค่ะ หนูคงทำแบบนั้นไม่ได้’
‘หึ เธอรักเงินของครอบครัวมากกว่ามั้ง อย่าคิดว่าฉันมองเด็กยากจนอย่างเธอไม่ออก’
‘หนูไม่ได้คิดแบบนั้นเลย หนูรักพี่บีม...’
‘ถ้ารักลูกฉันจริง ก็เลิกกับเขาซะ เพื่อให้เขาได้มีอนาคตที่ดีกว่านี้’
‘หนู...’
‘ถ้าฝืนเลย เพราะถึงแม้เธอจะเข้ามาอยู่ในครอบครัวฉันจริงๆ เธอก็จะไม่มีวันมีความสุขหรอก แล้วเธอคิดว่าลูกชายของฉันจะเลือกเธอ หรือว่าเลือกครอบครัว’
ทุกอย่างที่ได้ยินในวันนั้น มันทำให้หล่อนเลือกที่จะปล่อยวิศนุชาไป
มันไม่มีประโยชน์ที่จะดึงดันคบหากันต่อไป ในเมื่อครอบครัวของเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ต้อนรับหล่อน
และหลังจากวันนั้นหล่อนก็พยายามที่จะตัดใจจากวิศนุชา แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะหล่อนรักเขาเหลือเกิน เขาคือผู้ชายคนแรกที่หล่อนรัก
แต่ก็ยังถือว่าสวรรค์เมตตาอยู่บ้าง เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน วิทยาลัยก็ปิดเทอม และก็ทำให้หล่อนกับวิศนุชาไม่ได้เจอกันอีก
หล่อนหลบหน้าเขา ไม่ยอมรับโทรศัพท์ และโชคดีมากที่หล่อนไม่เคยพาเขามาที่บ้านเลย ระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ห่างกัน ทำให้หล่อนรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา
และเมื่อวิทยาลัยเปิดเทอมอีกครั้ง เขาก็มาดักรอหล่อนที่แผนกบัญชี แต่หล่อนก็เดินผ่านหน้าเขาไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสียงที่เขาตะโกนเรียกจากด้านหลังมันไม่ต่างจากคมของลูกดอกธนูที่วิ่งเข้าปักขั้วหัวใจ
หล่อนเจ็บปวดไม่แพ้เขาเลย แต่ก็จำต้องกัดฟันเย็นชาใส่เขา
วิศนุชาดักรอพบหล่อนหลายครั้ง เขาพยายามที่จะถามหาเหตุผลที่หล่อนหลบหน้าและทำตัวเย็นชาใส่ แต่หล่อนก็ไม่มีเหตุผลใดมอบให้เขา นอกจากเดินหนี
‘พี่บีม... ปลาขอโทษ...’
เมื่อวิศนุชายังคงไม่ลดละความพยายามที่จะมาดักเจอ หล่อนจึงต้องหาทางจบเรื่องเจ็บปวดนี้ให้เร็วที่สุด
‘เอาจริงเหรอนังปลา’
‘จริงสิ ฉันอยากให้พี่บีมคิดว่าฉันมีคนอื่นแล้ว’
‘แต่มึงก็ไม่ได้มีใครนี่ แล้วกูถามจริงๆ เถอะ ทำแบบนี้ทำไม’
‘ฉันมีเหตุผลของฉันน่ะ แกแค่ช่วยแสดงเป็นแฟนใหม่ของฉันก็พอแล้ว ติ๊ด’
‘เออ ก็ได้ นี่เห็นว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กนะถึงช่วยน่ะ’
‘ขอบใจนะติ๊ด’
‘เออ’
และแผนการที่หล่อนขอให้ติ๊ด เพื่อนสาวในร่างชายบึกบึนช่วยก็เป็นผล หล่อนเห็นดวงตาของวิศนุชาอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง
‘เพราะแบบนี้เองสินะ ปลาถึงเย็นชาใส่พี่ ขอให้โชคดีนะ รักกันนานๆ’
และวิศนุชาก็เดินจากไป พร้อมกับหัวใจที่แตกสลายของหล่อน
‘นังปลา มึงเปลี่ยนใจทันนะ ให้กูวิ่งตามไปไหม ไปบอกว่ากูเป็นตุ๊ด’
‘ไม่ต้องหรอก ติ๊ด ให้พี่บีมคิดแบบนี้น่ะดีแล้ว มันคือทางออกดีที่สุดแล้วล่ะ’
‘ดีที่สุด แล้วมึงร้องไห้ทำไมวะ นังปลา’
‘ฉันดีใจไง... ที่พี่บีมจะมีอนาคตที่ดี’
‘อีบ้า’
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วิศนุชาก็หายไปจากชีวิตของหล่อนอย่างไร้ร่องรอย หล่อนไม่เคยพบเจอเขาอีกเลย
จนกระทั่งเขาเรียนจบจากวิทยาลัย หล่อนได้ยินข่าวจากเพื่อนๆ ในรุ่นของเขาว่า วิศนุชาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแล้ว
หล่อนยิ้มทั้งน้ำตาให้กับอนาคตของที่ดีของชายที่ตัวเองรักไม่เคยลืม
‘ขอให้พี่บีมมีความสุขมากๆ นะคะ ปลารักพี่บีมเสมอค่ะ’
“คุณปัณฑารีย์คะ ถึงคิวสัมภาษณ์แล้วค่ะ”
เสียงเรียกของใครบางคนดังเข้ามาในหู และมันก็ช่วยดึงหล่อนให้กลับมาสู่โลกของความจริงได้ชั่วคราว
“เอ่อ... ค่ะ...”
หล่อนรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินตามผู้หญิงหุ่นนางแบบไปทันที
หลังจากที่หล่อนเรียนจบชั้นปวส. หล่อนก็ไม่ได้เรียนต่อในชั้นมหาวิทยาลัยอีก เพราะต้องออกมาทำงานช่วยแม่ส่งเสียน้องๆ ให้ได้เรียนหนังสือ
“เชิญทางนี้ค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ปัณฑารีย์กล่าวขอบคุณ และก้าวเท้าเข้าไปในห้องสัมภาษณ์งาน ซึ่งหล่อนเป็นคนสุดท้ายของผู้สมัครสิบกว่าคนในวันนี้
ภายในห้องที่หล่อนก้าวเข้ามากว้างขวาง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้หล่อนรู้สึกเหน็บหนาวไม่น้อย
ผู้ชายสามคน และมีผู้หญิงอีกสองคนนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวยาวสีน้ำตาลอ่อน หล่อนยกมือขึ้นไหว้และกล่าวสวัสดีทุกคน ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งเมื่อได้รับคำเชิญ
ผู้ทำการสัมภาษณ์ได้สลับสับเปลี่ยนกันถามคำถามหลายอย่างกับหล่อน ซึ่งหล่อนก็เลือกที่จะตอบออกไปตามความเป็นจริงทุกอย่าง จึงทำให้บรรยากาศไม่กดดัน และตอบได้ดีกว่าอีกสามบริษัทที่หล่อนไปสัมภาษณ์มา
“พวกเราหมดคำถามที่จะถามคุณปัณฑารีย์แล้วครับ”
แล้วผู้ทำการสัมภาษณ์หล่อนทั้งห้าคนก็ลุกขึ้น และพากันเดินออกไปจากห้องกว้าง เหลือหล่อนเอาไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
“เอ่อ... ดิฉันกลับได้หรือยังคะ”
หล่อนหันไปถามผู้หญิงที่เดินเข้ามายืนอยู่ด้านข้างของตัวเอง
“คุณต้องรอสัมภาษณ์กับท่านประธานด้วยค่ะ”
“อ๋อ ค่ะ”
“คุณเป็นคนที่สามนะคะที่ได้รับการสัมภาษณ์จากท่านประธาน”
“หมายความว่ายังไงเหรอคะ” หล่อนถามกลับไปเพราะไม่เข้าใจจริงๆ
“เพราะว่าคุณกับอีกสองคนก่อนหน้านี้มีสิทธิ์ที่จะได้เข้ามาทำงานที่นี่ยังไงล่ะคะ”
คำตอบที่ได้ยิน ทำให้ปัณฑารีย์ถึงกับฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ถ้าหล่อนได้ทำงานที่นี่ก็คงจะดีมากๆ เลยล่ะ เพราะบริษัทนี้ใหญ่โตมาก ชีวิตการทำงานและการเงินของหล่อนจะต้องดีขึ้นแน่นอน
“ขอบคุณมากนะคะ ฉันดีใจมากเลยค่ะ”
“แต่คนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกใครคือท่านประธานค่ะ”
หล่อนยิ้มกว้างให้กับคู่สนทนา ในขณะที่บีบมือแน่นด้วยความตื่นเต้น
“รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวท่านประธานก็คงจะมาแล้วค่ะ”
“ได้ค่ะ ฉันรอได้ค่ะ” น้ำเสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความหวัง ขณะนั่งรวบรวมสติเพื่อเตรียมตัวตอบคำถามอย่างขะมักเขม้น
เสียงประตูเปิดออก เสียงสนทนาของพนักงานผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่ชื่อของหล่อนจะถูกเรียก
“คุณปัณฑารีย์คะ ท่านประธานเชิญคุณไปสัมภาษณ์ที่ห้องทำงานของท่านค่ะ”
“อ๋อ ค่ะ”
หล่อนลุกขึ้น รีบรวบแฟ้มเอกสารของตัวเองมากอดไว้แนบอก และเดินตามพนักงานผู้หญิงคนนั้นออกไปทันที
หล่อนถูกพามายังชั้นบนสุดของอาคารสูงระฟ้า และมาหยุดที่ห้องหนึ่ง ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นห้องทำงานของท่านประธานบริษัทนั่นเอง
พนักงานผู้หญิงเคาะประตูหนึ่งครั้ง และพูดเสียงสุภาพ
“คุณปัณฑารีย์มาแล้วค่ะท่านประธาน”
“เชิญครับ”
เสียงทุ้มทรงพลังดังกังวานออกมาจากภายในห้องทำงานตรงหน้า
พนักงานผู้หญิงหันมามองหล่อนเล็กน้อย ก่อนจะดันประตูให้เปิดกว้างออก
“เชิญค่ะ ดิฉันจะรอด้านนอกค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ปัณฑารีย์กล่าวขอบคุณ ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านใน
เครื่องปรับอากาศในห้องทำงานของท่านประธานบริษัทเย็นเฉียบยิ่งกว่าห้องแรกที่หล่อนถูกสัมภาษณ์อีก
หล่อนเหน็บหนาวจนฟันกระทบกันดังกึก แต่ก็พยายามที่จะอดทนเอาไว้
เท้าเล็กก้าวเข้าไปหยุดกลางห้อง ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังผู้ชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้ขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก ก่อนจะเผยอปากค้างเติ่ง เมื่อความคุ้นตาของเขาพุ่งเข้าใส่หัวใจของหล่อนอย่างรุนแรง
“พี่บีม!”
เสียงอุทานของหล่อนดังแหบแห้งอยู่ภายในลำคอเท่านั้น ขาของหล่อนอ่อนแรงโดยอัตโนมัติ จนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น
หล่อนได้เจอเขาอีกครั้ง หลังจากเวลาผ่านมาห้าปีกว่า
วิศนุชา...
ผู้ชายที่ไม่เคยเลือนหายไปจากหัวใจของหล่อนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
น้ำตาแห่งความตื่นเต้นยินดีเอ่อล้นออกมาจากดวงตาโดยอัตโนมัติ
“พี่บีม...”
หล่อนเรียกชื่อเขาอีกครั้งด้วยความดีใจ ลืมเรื่องคำสั่งของมารดาของเขาไปชั่วขณะ