บทที่5. ดวงตาเป็นประกาย

1718 คำ
“นางเป็นสาวใช้จริงๆ”  เขาทำหน้าเบื่อหน่าย พอเหลือบมองใบหน้าหญิงสาวตัวเล็กที่เขินอายจนใบหน้าแดงจัด  เขาอดยอมรับไม่ได้ว่า นางมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเป็นประกาย ปากนิด จมูกหน่อย มีอะไรให้ชวนมองไม่น้อยเหมือนกัน “ชื่ออะไรล่ะยัยหนู”  หยางต๋าถามด้วยความเอ็นดู “เสี้ยวเวยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยอย่างมีมารยาททำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองรู้สึกถูกชะตา  “นายท่านกับฮูหยิน ต้องการอะไรเรียกใช้ได้เลยเจ้าค่ะ เห็นตัวเล็กแบบนี้ข้ามีเรี่ยวแรงมิใช่น้อย” “ไยเรียกห่างเหินเช่นนั้น เรียกพ่อกับแม่ก็ได้ลูก”  ฮูหยินหยุนผิงนึกเอ็นดูนัก  ใจจริงนางอยากมีลูกสาวน่ารักๆ อีกสักคน  แต่สุขภาพไม่เอื้ออำนวย  เบ่งลูกชายได้สองคนก็ต้องถอดใจ “แค่กๆ”  คราวนี้หยางเหลาหู่ถึงสำลักน้ำลายตัวเอง ไม่คิดว่ามารดาของเขาจะแสดงความชื่นชมออกหน้าออกตาแบบนี้   “มิกล้าเจ้าค่ะ ข้าน้อยมาอยู่ในฐานะสาวใช้ไม่สมควรตีตนเสมอนาย”  “พูดจาน่าฟังดีจริง  เอาเถอะๆ งานที่นี่ก็มีแค่ดูแลคนแก่อย่างเราสองคนกับลูกชายหัวรั้น แต่ถ้ามันกล้าหือละก็มาฟ้องพ่อกับแม่ได้ เอ่อ...แล้วนี่นอนที่ไหนล่ะ มานอนเรือนใหญ่กับพ่อแม่ก็ได้  ไอ้ลูกบ้านี่มันก็สร้างเรือนหลังใหญ่โตแต่ให้พ่อกับแม่อยู่กันแค่สองคน ไม่รู้จักรีบมีลูกมีหลานให้พ่อแม่ได้อุ้มเล่น” “นางอยู่เรือนของข้า”  หยางเหลาหู่พูดตัดบท  “ข้าไม่ไว้ใจ เกิดนางมาลักขโมยข้าวของหรือทำร้ายพ่อกับแม่ขึ้นมาจะทำเช่นไร” “ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นนะ”    นางหันไปเถียงเขา แต่ริมฝีปากที่เผยอขึ้นนั้นทำให้เขาต้องเบือนหน้าไปทางอื่น     “คำพูดไม่น่าเชื่อถือเท่าการกระทำ ข้าจะรอดูแล้วกันว่าเจ้าเป็นอย่างที่ตัวเองพูดหรือเปล่า”  เขาโบกมือไล่คล้ายตัดบทไม่ต้องการพูดเรื่องพวกนี้อีก             “อาหารมื้อนี้...”             “ป้าอิงอู่เมตตาสอนให้ข้าทำอาหารเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่ารสชาติถูกปากหรือไม่”             ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ป้าอิงอู่มิใช่แค่แม่ครัวแต่เสมือนคนในครอบครัว ทุกคนที่นี่อยู่อย่างครอบครัวใหญ่  ฝืนทนอาหารรสชาติย่ำแย่ของป้าอิงอู่แต่ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งนี้ออกไป  ก่อนนั้นฝีมือป้าอิงอู่นับว่าเลิศรสนัก แต่ในระยะหลังการรสชาติเปลี่ยน  แม้หน้าตาอาหารจะเป็นเช่นเดิม คาดเดาว่าเพราะอายุที่มากขึ้น  ทำให้การรับรู้รสของป้าอิงอู่เปลี่ยนไป ภายนอกดูกระฉับกระเฉงแต่แท้ที่จริงนางเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน             “ต่อไปเจ้าก็เรียนรู้งานในครัวกับป้าอิงอู่แล้วกัน”             “เจ้าค่ะ”             หลัวเสี้ยวเวยรับคำและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว  นางจึงหมุนตัวกลับไปเตรียมยกอาหารมาเพิ่มอย่างไม่ต้องรอให้ผู้ใดเอ่ยปากสั่ง              “มาวันแรกทำงานรู้หน้าที่  รู้พูดรู้จาเช่นนี้ค่อยเบาใจหน่อย”   ฮูหยินหยุนผิงเอ่ยขึ้นพลางคีบอาหารส่งให้สามี             “นางเพิ่งมาอย่ารีบด่วนตัดสิน”  หยางกั๋วชิ่งพูดพลางคีบอาหารเข้าปากตัวเอง เก็บซ่อนสีหน้าพอใจกับรสชาติอร่อยลิ้น  เขาเองไม่กล้าพูดกับป้าอิงอู่เรื่องรสชาติอาหารเช่นกัน ได้แต่แอบหิ้วท้องไปกินของอร่อยนอกบ้านแทน             หยางเหลาหู่แสร้งทำเป็นไม่สนใจสาวใช้คนใหม่ที่เดินเหินคล่องแคล่ว แม้ตัวเล็กไปสักหน่อยแต่ยกอาหารมาได้ไม่ขาดตอน  เขารู้ว่าข้าวสารอาหารแห้งมีเต็มมิได้ขาด แต่ไม่คิดว่านางจะทำมากขนาดนี้  ไม่ว่ายกสิ่งใดออกมาล้วนหมดเกลี้ยงจนเหลือเพียงถ้วยชามจานเปล่า             หลัวเสี้ยวเวยเห็นทุกคนกินอาหารเอร็ดอร่อย  แม้ไม่เอ่ยชมก็เบาใจ  อย่างน้อยนั้นหมายถึงนางได้อยู่ที่นี่ต่อไป  การอยู่ในบ้านลุงจางฉวนในฐานะหญิงรับใช้ทำให้นางทำงานบ้านเป็นทุกสิ่งอัน  จากเดิมที่เป็นคุณหนูหลัวทำสิ่งใดเพียงเพื่อความสนุกผิวเผิน  อาหารการกินช่วยแม่ครัวทำเล่นเป็นเรื่องสนุก  นางชอบอ่านเขียน แต่งโคลงกลอนกับบิดา ฝึกเย็บปักถักร้อยกับมารดา  ทว่าเมื่ออยู่ในบ้านลุงจางฉวนนางกลับต้องทำหน้าที่หญิงรับใช้เต็มตัว  อยู่ไปอยู่มาบ่าวไพร่เริ่มลดลง งานของนางมากขึ้น  แต่ลุงกับป้าสะใภ้กลับมีเหตุผลสารพัดที่ให้นางทำงานเหล่านั้นจนมือเรียวที่เคยนุ่มนิ่มหยาบกระด้าง อะไรที่ทำไม่เป็นก็ทำเป็นในคราวนั้น             เอาเถิด ความลำบากที่ได้รับทำให้นางยังคงใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้             “เสร็จงานในครัวแล้วเจ้ามาพบข้าด้วย”  หยางกั๋วชิ่งสั่งไว้ก่อนที่ตนเองจะลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร  หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ  นางนึกขึ้นได้รีบถามออกไป             “ไปพบคุณชายรองที่ใดเจ้าคะ”  คำถามของนางทำให้หยางกั๋วชิ่งชะงักไป “ข้าเพิ่งมาใหม่ยังไม่รู้”             “ประเดี๋ยวให้คนพาไปก็แล้วกัน”             “เจ้าค่ะ”             นางเพียงก้มหน้ารับคำสั่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นสัมผัสได้ว่ามีสายตาดุดันจ้องมองอยู่ หญิงสาวไม่รู้ว่าควรยิ้มหรือไม่ แต่ในฐานะที่คนผู้นี้เป็นคุณชายใหญ่ นางจึงก้มหน้าสำรวมกิริยาเดินกลับมาที่ครัวเพื่อจัดการงานที่เหลือ             “ไม่ต้องกลัวนะ คุณชายรองใจดี”             “อืม”  หลัวเสี้ยวเวยได้รับกำลังใจจากผู้อื่นรู้สึกใจชื้นขึ้น เมื่อช่วยคนอื่นจัดการงานในครัวแล้ว และแอบกินมื้อเย็นของตนไปด้วย  นางรีบ ล้างมือเร่งเท้าเดินไปพบคุณชายรอง  ตามคำแนะนำของเหล่าบ่าวสูงวัยเหล่านั้น             หญิงสาวอดสังเกตรอบข้างไม่ได้ ป้อมพยัคฆ์ทมิฬแลดูน่าเกรงขามจริง สมแล้วที่เป็นนสำนักคุ้มภัย  ความเป็นอยู่ที่นี่ไม่เรียกว่าอัตคัด แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดมีบ่าวหญิงมีแต่วัยเลยห้าสิบแล้วทั้งนั้น  น่าแปลกที่ไม่มีบ่าวหญิงอายุน้อยทำงานบ้านเลย             ร่างเล็กเดินมาจนใกล้ถึงเรือนของคุณชายรอง เป็นจังหวะเดียวกับชายหนุ่มร่างบางคนหนึ่ง  ประคองถาดน้ำชาเข้ามาเกือบจะพร้อมกับนาง ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นจ้องนางเขม็ง ดวงตาเศร้าคู่นั้นมีแววตกใจอยู่ไม่น้อย             “ข้าชื่อเสี้ยวเวยเป็นหญิงรับใช้คนใหม่ คุณชายรองเรียกให้มาพบ”             อาลี่สูดลมหายใจลึกตามด้วยการพยักหน้ารับ  ส่งเสียงแหบแห้งรายงานก่อนผลักบานประตูเข้าไป ชายหนุ่มกำลังอ่านเอกสารตรงหน้า มีลูกคิดวางอยู่ใกล้มือ             “คุณชายรอง”   หลัวเสี้ยวเวยเอ่ยอย่างเจียมตัว ชายผู้นี้ดูสุขุมและเปี่ยมความรู้เป็นคุณชายฝ่ายบุ๋นมากกว่าคุณชายใหญ่ที่นางพบ             “เจ้าชื่ออะไร”  เขาเอ่ยถามไม่มองหน้า อาลี่วางถาดน้ำชาแล้วรินน้ำชาให้หยางกั๋วชิ่ง  จึงเดินมาฝนหมึกให้โดยไม่ต้องรออีกฝ่ายสั่ง             “เสี้ยวเวยเจ้าค่ะ”             “แซ่?”             “ข้าไม่มีแซ่”  นางตอบได้แต่พร่ำขอโทษบรรพชนที่ไม่อาจเอ่ยแซ่ของตัวเองออกไป เพื่อความปลอดภัยและลมหายใจของนางเอง “ข้าเป็นเด็กกำพร้า”             อาลี่ชะงักมือไปเล็กน้อย ลอบเงยหน้ามองหญิงสาว เพียงแวบเดียวที่สายตาประสานกัน  เขากลับหลุบตาลงตั้งใจฝนหมึกให้คุณชายรอง             “ใครแนะนำเจ้า”  แม้หยางกั๋วชิ่งไม่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้า ทว่าสามารถจับความเคลื่อนไหวของอาลี่ได้ชัดเจน             “เสี่ยวหงเจ้าค่ะ”  นางจำจากที่หยางเหลาหู่เอ่ยกับนางวันที่พบกันครั้งแรก และอีกครั้งที่ต้องกล่าวคำขอโทษเสี่ยวหงที่นางสวมรอยมาเป็นสาวใช้             คราวนี้หยางกั๋วชิ่งเงยหน้าขึ้นมองเต็มตา ดวงตาคู่นั้นแทบกรีดผิวนางให้เปิดเปลือยตัวตนที่แท้จริง แต่หญิงสาวยังคงยืนนิ่งสำรวมและสวมรอยเป็นคนของเสี่ยวหง  หยางกั๋วชิ่งไม่สามารถเชื่อใจนางได้ในทันทีแต่เห็นว่ายังมีเวลาสำหรับการจับตามองหญิงสาวคนนี้             “เอาล่ะ เจ้าคอยเรียนรู้งานกับป้าอิงอู่ นางสั่งอะไรก็ทำตามนั้น”             “เจ้าค่ะ” นางมิกล้ายอกย้อนถามว่ารวมทั้งเรื่องรสชาติอาหารด้วยหรือไม่             “ที่นี่มีบ่าวหญิงชราอายุมากอยู่หลายคน  เจ้าช่วยดูแลพวกนางหน่อย คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่  เราอยู่กันอย่างครอบครัว   เจ้าเข้าใจหรือไม่”             “ข้าทราบแล้ว”             “ดี ไปพักเถอะ อะไรที่ควรรู้ป้าอิงอู่จะบอกเอง”             “เจ้าค่ะ”             หญิงสาวย่อตัวลงคารวะแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ  อาลี่เงยหน้าขึ้นหลังสิ้นเสียงปิดประตู และเหมือนอีกฝ่ายรู้ถึงสายตาของบ่าวหนุ่มผู้นี้  มือแข็งแกร่งกระชากข้อมือข้างหนึ่ง  ออกแรงกระตุกเพียงพริบตาอาลี่ก็มานั่งบนตักของเขาแล้ว             “คุ...คุณชาย... รอง”             “พี่ใหญ่ประกาศให้นางอยู่เรือนของเขาแล้ว เจ้าย้ายมาดูแลข้าเต็มตัวเสียทีเถอะ”             “ตะ..แต่..”  อาลี่อึกอักใบหน้าขาวซีดเริ่มฝาดสีแดงระเรื่อ             “ข้าอุตส่าห์วางแผนให้พี่ใหญ่หาหญิงรับใช้มาแทนเจ้า เจ้ายังอาลัยอาวรณ์พี่ใหญ่อีกเรอะ”     หยางกั๋วชิ่งเชยปลายคางของอีกฝ่ายขึ้น  ยื่นหน้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมของชาเก็กฮวยจากริมฝีปากของอีกฝ่าย   “บอกแล้วว่าข้าต้องการเพียงเจ้า”  หยางกั๋วชิ่งกัดริมฝีปากที่สั่นระริกเบาๆ สอดมือไปในสาบเสื้อของอีกฝ่าย “ได้หรือไม่” อาลี่ได้แต่หลับตาพยักหน้าตอบรับด้วยความเต็มใจ  แต่ไม่อาจ ละภาพหญิงสาวผู้นั้นได้ สี่ปีผ่านมา นางเติบโตขึ้นจากเด็กสาวกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัว แม้รูปร่างเปลี่ยนไปแต่แววตาของนางยังไม่เคยเปลี่ยน “อาลี่”   เสียงแหบพร่ากระซิบเรียก  ฝ่ามือร้อนปรนเปรอจนบ่าวหนุ่มไม่อาจคิดถึงสิ่งอื่นได้อีก   นอกจากความเร่าร้อนและรัญจวนใจที่ทำให้หัวใจของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม