ซือลี่หยางและเยี่ยเทียนถวายบังคมแสดงความเคารพไทเฮาด้วยความสุภาพนอบน้อม
"ไป๋เยว่ชิง...ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน พอได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว ข้าก็รู้สึกโล่งใจยิ่งนัก" ไทเฮาเอ่ยถามซือลี่หยางด้วยสีหน้าห่วงใย
ซือลี่หยางตรึกตรองคิด หายตัวไปเพียงข้ามคืน เรื่องนี้ถึงหูไทเฮาไวขนาดนี้เชียวหรือ?
ถ้าอย่างนั้นที่อิงลั่วเคยบอกคงจะจริง ในพระราชวังต้องห้ามถึงแม้จะกว้างใหญ่ทว่าก็มีแต่คนหูไวตาไว ต้องระวังตัวทุกกระเบียดนิ้ว คิดแล้วก็น่าอึดอัดยิ่งนัก! แต่องค์ไทเฮาจะรู้หรือไม่ ว่าข้าถูกจับตัวไปฆ่ากลางป่า แต่ดูท่าทีแล้ว นางคงรู้แค่เพียงผิวเผิน ไม่เช่นนั้นคงจะแตกตื่นมากกว่านี้
อย่างไรเสีย...การเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองน่าจะปลอดภัยกับข้าที่สุด
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ แค่พลัดหลงกับบ่าวรับใช้ระหว่างที่ออกไปพักผ่อนในป่า เช้าวันต่อมา หม่อมฉันก็หาทางกลับวังหลวงได้ ขออภัยที่ทำให้ไทเฮาเป็นห่วง"
เยี่ยเทียนหรี่ตามองนางทันที คำพูดนางยามนี้ล้วนโป้ปด ทุกอย่างเขาย่อมรู้ดีทั้งสิ้น!
ไทเฮาผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ ผงกศีรษะอย่างเข้าอกเข้าใจ “ได้ยินเช่นนั้นข้าก็โล่งใจ...แต่เจ้าอย่าออกไปไหนเช่นนี้อีกรู้หรือไม่"
“เพคะไทเฮา” ซือลี่หยางหลุบตา กล่าวตอบเสียงนุ่มนวล
ไทเฮาหันไปเอ่ยกับหลานชาย เอ็ดตะโรเสียงแหลม "เจ้าก็ด้วย! ไฉนถึงไม่ยอมดูแลชายาของเจ้าให้ดี มัวแต่ไปทำอะไรอยู่ ปล่อยปละละเลยนาง เคยรู้สึกเห็นอกเห็นใจนางบ้างหรือไม่"
เยี่ยเทียนอ้าปากค้าง นิ่งอึ้งไป ยังไม่ทันได้ปริปากเขาก็ถูกต่อว่าเสียแล้ว “ทะ ท่านย่า นางหายไป ไม่ใช่ความผิดของข้า”
ไทเฮาถลึงตา สะบัดมือตีที่แขนของเยี่ยเทียนอย่างแรง เยี่ยเทียนเบี่ยงกายหลบร้องเสียงโอดโอย ลี่หยางเห็นเช่นนั้นก็อดหัวเราะเบา ๆ มิได้ องค์รัชทายาทผู้เคร่งขรึมน่าเกรงขาม ยามนี้กลายเป็นเด็กน้อยผู้น่าสงสารไปเสียแล้ว
"เยี่ยเทียน! เมื่อไรเจ้าจักจำ ไป๋เยว่ชิงคือชายาเอกของเจ้า เจ้าทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ละเลยนางเช่นนี้ได้อย่างไร" ไทเฮายังคงต่อว่าหลานชายไม่หยุด
"ไทเฮาอย่าได้ทรงกริ้วองค์รัชทายาทเลยเพคะ องค์รัชทายาทดูแลหม่อมฉันดีมาก ที่ตำหนักเฟิงยวี่ หม่อมฉันไม่เคยลำบากเลยแม้แต่น้อย" ลี่หยางกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน ปรับท่าทางเคลื่อนไหวสง่างามและอ่อนช้อย
เยี่ยเทียนชำเลืองตามองนาง ความสับสนระคนหวาดหวั่นครอบงำจิตใจไปชั่วขณะ ต่อหน้าไทเฮา นางเสแสร้งออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางเอาแต่อมพะนำ ไม่กล้าบอกกับผู้ใดว่าข้าทำอะไรกับนางไว้บ้าง นางนี่มันร้ายกาจเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้จริง ๆ
"ข้าได้ยินเช่นนั้นจากเจ้า...ก็โล่งใจ" ไทเฮาคิ้วตาโค้งลงทอยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อ "วันนี้ข้ามีของสำคัญจะให้พวกเจ้า โดยเฉพาะกับเยว่ชิง"
ซือลี่หยางชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของตนเอง กล่าวด้วยความฉงน "โดยเฉพาะ...หม่อมฉันหรือเพคะ"
ไทเฮาผงกศีรษะเล็กน้อย หันไปพยักหน้าส่งสัญญาณบางอย่างกับบ่าวรับใช้ เพียงไม่นาน บ่าวผู้นั้นก็ยกชามหนึ่งมาวางบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าของซือลี่หยาง
"นี่คือโอสถที่ข้านำมาจากเขาเหน่ยหลิง" ไทเฮายิ้มกล่าว
"โอสถหรือเพคะ...หม่อมฉันไม่ได้ป่วยเสียหน่อย" ซือลี่หยางเบิกตาเอ่ยอย่างไร้เดียงสา
ไทเฮาระบายยิ้มและเอ่ย "โอสถนี้มีสรรพคุณช่วยให้เจ้าตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น เพียงหนึ่งดื่มก่อนนอนทุกวัน เจ้าก็จะมีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง"
ได้ยินเช่นนั้น ดวงหน้าของซือลี่หยางก็ร้อนผ่าวราวกับถูกไฟรน นางรินน้ำชาบนโต๊ะเตี้ยใส่ถ้วย กระดกดื่มแก้อาการขลาดเขิน นางอยากจะแหวกพรมซุกหน้าหนีเสียให้ได้ เกิดมาร่วมยี่สิบปี นางยังไม่เคยมีคนรักสักคน จู่ ๆ จะให้มามีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง แค่คิดก็รู้สึกอับอายจะแย่อยู่แล้ว!
"คิดแล้วก็สุขใจนัก หลานตัวน้อย ๆ ของข้า" ไทเฮายกมือป้องปากหัวเราะออกมาอย่างสำราญใจ
ซือลี่หยางฉีกยิ้มกระอักกระอ่วน เยี่ยเทียนโพล่งเอ่ยด้วยสีหน้าขุ่นเคือง "หากวันนี้ท่านย่าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับตำหนักก่อน ข้ามีเรื่องที่จะต้องไปสะสางอีกมากมาย"
ไทเฮาหุบยิ้ม แล้วจึงผงกศีรษะตอบรับเบา ๆ "พวกเจ้าไปกันเถิด"
ทั้งสองก้มคำนับเพื่ออำลาอีกครั้ง เมื่อเยี่ยเทียนก้าวขายาวเดินออกไปแล้ว ซือลี่หยางก็ค่อย ๆ ขยับตัวเดินตามหลังเขาออกไปด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
ครั้นเมื่อเดินออกมาจนรอดพ้นสายตาของไทเฮาแล้ว เยี่ยเทียนก็กระทำกับซือลี่หยางประหนึ่งสตรีไร้ค่า
"เจ้าอย่าลำพองไป หากคิดจะวางแผนการอะไร ขอให้จงหยุดเสีย" เยี่ยเทียนเอ่ยเสียงหยันด้วยท่าทางไม่แยแส
"นี่!!!!!" ซือลี่หยางถลึงตา ตวาดเสียงแหลม "มันจะเกินไปแล้วนะเพคะ คำพูดของพระองค์น่ะ! เกลียดชังอะไรหม่อมฉันนักหนา…"
เยี่ยเทียนพรูลมหายใจยาว สีหน้าไร้อารมณ์ฉายแววเอือมระอาสุดประมาณ "ข้ากำลังปกป้องตัวเองจากสตรีที่มีพิษสงร้ายกาจ หาได้ใช้วาจากล่าวหาผู้ใดอย่างไร้เหตุผล"
ซือลี่หยางเบิกตากว้างโต แทบไม่อยากเชื่อหู "องค์รัชทายาท ท่านจะหลงตัวเองเกินไปแล้ว"
“ที่กล่าวกันว่าเจ้าสติฟั่นเฟือนหลังจากออกมาจากป่า เห็นว่าจะเป็นเรื่องจริง” เยี่ยเทียนตอบกลับสีหน้าราบเรียบ
ซือลี่หยางย้อนถามด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว "สติฟั่นเฟือนแล้วอย่างไรเพคะ สติฟั่นเฟือนแล้วไม่มีหัวใจหรือ พระองค์ถึงได้พูดจาดูแคลนหม่อมฉันถึงเพียงนี้ เห็นว่ายิ่งใหญ่กว่า จึงอยากข่มอย่างนั้นสินะเพคะ!"
สิ้นเสียง น้ำแข็งเย็นเยียบในใจของเยี่ยเทียนก็คล้ายจะปริแตกและระเบิดออกมา กลายเป็นเพลิงไฟเดือดดาลร้อนระอุเข้ามาแทนที่
เขากัดฟันเอ่ยเสียงเฉียบ “ยิ่งเจ้าไม่ระวังคำพูดเท่าไร ชีวิตเจ้าก็สั้นลงเท่านั้น”
แล้วคำพูดข่มขวัญของเยี่ยเทียน ก็ทำให้ซือลี่หยางสงบท่าทีลงได้อย่างน่าประหลาด
และใช่! ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาง ร่างนี้ก็ไม่ใช่...นางตายได้ทุกเมื่อหากพูดจาไม่ระวังปาก รัชทายาทจอมร้ายกาจผู้นี้ไม่น่าไว้วางใจและเขาเป็นคนที่น่าอันตรายที่สุด
ซือลี่หยางนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร เยี่ยเทียนเหลือบตามองนางหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เพื่อท่านย่าแล้ว ต่อไปนี้ ข้าจะยอมหลับนอนกับเจ้าเป็นบางครั้ง แต่จงรู้เอาไว้ว่าข้าหาได้มีความรู้สึกเสน่หาอันใดกับเจ้า ข้าเกลียดชังเจ้า เหมือนดั่งคำที่ข้าเคยเอื้อนเอ่ยและจะไม่มีวันคืนคำ”
ถึงแม้จะรู้ว่าเยี่ยเทียนมิได้กล่าวถึงตนเอง แต่เป็นเยว่ชิงเจ้าของร่าง ทว่านางกลับรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
ซือลี่หยางประสานตากับเยี่ยเทียน ในใจมีคำถามที่สงสัยผุดขึ้นมากมาย เหตุใดองค์รัชทายาทผู้นี้ถึงได้จงเกลียดจงชังนางยิ่งนัก ยิ่งมองเข้าไปในแววตา ยิ่งรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและอ้างว้าง หาได้มีเยื่อใยหรือความหวังแฝงอยู่ในแววตาคมคายนั้น
แต่ช่างเถิด...ต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกัน ข้าจะได้ไม่ต้องมากังวลอะไรอีก
“หม่อมฉันทราบดีเพคะ” ลี่หยางตอบแบบส่ง ๆ ก่อนม้วนตัวเดินออกมาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
แม้ร่างบางจะค่อย ๆ ห่างหายไป เยี่ยเทียนก็ยังคงเมียนมองนางอยู่ ครุ่นคิดในใจอย่างประหม่า หากวันนี้นางเป็นดวงวิญญาณ คงไม่กล้าออกมายืนต่อล้อต่อเถียงกับเขาอยู่อย่างนี้
เยว่ชิง...โชคชะตาไม่เข้าข้างเจ้าเสมอไปหรอก!