ตอนที่ 5 : เยือนตำหนัก

2575 คำ
หลังจากเจรจากับนางกำนัลร่างบาง ซือลี่หยางก็ถูกพามาที่พระตำหนักเฟิงยวี่ที่ตั้งอยู่ทางทิศบูรพาของวังหลวง นางไม่ขัดขืนอะไร เพียงยิ้มแหย ๆ และคล้อยตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เป็นพระชายาอยู่ในวังหลวงใหญ่โตก็ดี! ยามนี้แม้แต่เงินจะซื้อซาลาเปายังไม่มี ที่พักก็อย่าหวัง คงได้นอนข้างทางอย่างน่าอนาถสักที่ มีแต่คนโง่งมเท่านั้นแหละ ที่จะปฏิเสธวาสนาอันดีงามเช่นนี้ได้ลงคอ! "ถึงพระตำหนักแล้วเพคะพระชายา" สิ้นเสียงเอ่ยของนางกำนัลร่างบาง ซือลี่หยางก็ค่อย ๆ เงยหน้าอ่านตัวอักษรสีทองที่เขียนบนป้ายแดงตรงประตูอย่างช้า ๆ ว่า "พระตำหนักเฟิงยวี่" นางกำนัลนางนั้นหลุบตายิ้มน้อย ๆ หน้าประตูมีเหล่าขันทีในชุดสีแดงเข้มและนางกำนัลเข้ามารายล้อม แสดงความเคารพนางกันอย่างพร้อมเพรียง ซือลี่หยางทำตัวไม่ถูก ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ และคลี่ยิ้มอ่อนหวาน จากนั้นก็รีบจ้ำเท้า เดินตามนางกำนัลร่างบางเข้าไปด้านในตำหนักทันที พระตำหนักเฟิงยวี่เป็นตำหนักไม่เล็ก ไม่ใหญ่มาก ตั้งอยู่ตรงมุมเล็กๆ ทางทิศตะวันออกของราชอุทยาน เป็นตำหนักที่เงียบสงบ ทางทิศใต้ของตำหนักอยู่ติดกับทะเลสาบ อากาศจึงปลอดโปร่งและเย็นสบาย รอบ ๆ ตำหนักเต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้นานาพันธุ์ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่ง ดอกไม้งามเหล่านั้นส่งกลิ่นหอมอบอวล ชวนให้เคลิบเคลิ้มและผ่อนคลายยิ่ง ซือลี่หยางเดินเหม่อมองเชยชมดอกไม้ระหว่างทาง จนถึงตำหนักพำนักหลักอย่างไม่รู้ตัว "พระชายาเพคะ" เสียงเข้มดุของนางกำนัลอาวุโสปลุกให้ซือลี่หยางหลุดออกจากภวังค์ นางกำนัลอาวุโสผู้นี้คือ 'ว่านกูกู' บ่าวใช้อาวุโสที่ถูกคัดเลือกส่งมาจากตำหนักไทเฮา เพื่อดูแลปรนนิบัติชายาขององค์รัชทายาทโดยเฉพาะ ซือลี่หยางแย้มยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร ก่อนจะหันกลับไปเชยชมบรรยากาศรอบด้านในตำหนักต่อ สำหรับนางแล้วตำหนักเฟิงยวี่ไม่ใช่เพียงใหญ่โต ทว่ายังงดงามเกินบรรยาย ทุกอย่างในตำหนักล้วนตกแต่งอย่างประณีตวิจิตรา นางหลุดอุทานออกมาหลายครั้งด้วยความตื่นตาตื่นใจ ยามเมื่ออยู่ใกล้ ข้าวของเครื่องใช้หรูหราแวววาวเหล่านี้ หัวใจก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย สุขล้นจนอดยิ้มออกมาเสียมิได้ วาสนานางช่างดียิ่งนัก มีเงินทองมากองตรงหน้า เสวยสุขอยู่ในตำหนักหลังโตโอ่อ่า แตกต่างจากข้าที่ต้องกัดฟันสู้จนกว่าจะมีเงินทองพอใช้ไปวัน ๆ มิหนำซ้ำยังต้องจ่ายหนี้สินของครอบครัวและค่าเทอมให้น้องสาวอีก แต่น่าแปลก! นางมีชีวิตสุขสบายเช่นนี้ เหตุใดถึงได้มีคนพาไปฆ่าหมกป่าล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่? "พระชายาจะเสวยอาหารหรือว่าจะไปสรงน้ำอาบก่อนดีเพคะ" ว่านกูกูเอ่ยขัดขึ้นอีกครั้ง ซือลี่หยางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม "แน่นอนว่า...ข้าจะต้องเลือกกินอาหารก่อน ข้าหิวจะแย่แล้ว เจ้าพอจะมีซาลาเปาให้ข้ากินสักลูกหรือไม่" "ซะ ซาลาเปาหรือเพคะ…" หลังจากที่เห็นสีหน้าฝืดเฝื่อนของว่านกูกูและบรรดาบ่าวรับใช้ ซือลี่หยางก็ลอบตำหนิตัวเองว่าปากไว ไยไม่ใช้สมองคิด เจ้ากำลังจะเป็นพระชายา อาหารของเจ้าย่อมไม่ธรรมดา วาดหวังซาลาเปาสักร้อยลูกมากองตรงหน้าก็ย่อมได้! ซือลี่หยางย่างเท้าสำรวจเรือนต่อไปแก้อาการเก้อกระดาก เหลือบตาไปเห็นบ่าวรับใช้นางหนึ่งกำลังก้มหน้างุด รู้สึกคุ้นเคยและถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก จึงเดินเข้าไปหาและซักถามขึ้นว่า "เจ้าน่ะ! มีนามว่าอะไร" บ่าวสาวช้อนหน้าขึ้นมาตอบด้วยความงุนงง "พระชายาลืมบ่าวไปแล้วหรือเพคะ... หม่อมฉัน 'อิงลั่ว' อย่างไรละเพคะ" "อิงลั่วงั้นหรือ…" ซือลี่หยางผงกศีรษะ เอ่ยงึมงำกับตนเองเบา ๆ "...ชื่อเจ้าไพเราะไม่น้อย" อิงลั่วถึงแม้จะรู้สึกงุนงง แต่พอได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกดีใจที่ได้รับคำชมชอบจากนายหญิง จนไม่อาจซ่อนเร้นรอยยิ้มเอาไว้ได้ ซือลี่หยางโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูนาง ถามว่า "แล้วข้าล่ะ...มีนามว่าอะไร" พอได้ฟังเช่นนั้น อิงลั่วก็ยิ่งงงงวยเข้าไปใหญ่ หัวคิ้วของนางขมวดมุ่นเข้าหากันทันทีโดยสัญชาตญาณ "พะ พระชายาก็มีนามว่า 'ไป๋เยว่ชิง' อย่างไรละเพคะ เกิดอะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ หรือว่า…" ยังไม่ทันเอ่ยจบ อิงลั่วก็มีสีหน้าตื่นตระหนก เพียงครู่ก็สูดจมูก ร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย สะอื้นกล่าว "หรือพระชายาจะถูกทำร้ายมาหนัก จนสมองกระทบกระเทือนเพคะ" สิ้นเสียง บรรดาบ่าวรับใช้นางในต่างก็พากันแตกตื่น วิ่งวุ่นโกลาหล โดยเฉพาะว่านกูกูกับอิงลั่วที่ดูเหมือนจะร้อนรนใจเป็นพิเศษ "อิงลั่ว! เจ้าไปตามหมอหลวงที่หอพระโอสถมาตำหนักเฟิงยวี่เดี๋ยวนี้" "เจ้าค่ะ" "ส่วนข้า! ข้า...ข้าจะไปกราบทูลองค์รัชทายาท บอกว่าพระชายาทรงปลอดภัยดี แต่ว่าได้รับสิ่งกระทบกระเทือนที่สมองเล็กน้อย...ข้า ข้าต้องไปเดี๋ยวนี้" ว่านกูกูพูดคุยกับตนเอง ลนลานอยู่ไม่สุข มุมมองของซือลี่หยาง เห็นพวกนางวิ่งวุ่นกันไปมา รู้สึกเวียนหัวอยากจะอาเจียนออกมาให้ได้ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว แผดเสียงยั้งออกมา "พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!!" สิ้นเสียง ทุกคนก็ชะงักนิ่งในท่าเคลื่อนไหวของตนเองราวกับถูกสาป ซือลี่หยางสั่งการให้พวกนางกลับมานั่งที่เดิมและอยู่ในความสงบอีกครั้ง กล่าวตำหนิเสียงเรียบ "ข้าไม่ได้เป็นอะไรทัังสิ้น พวกเจ้าแตกตื่นกันเกินไปแล้ว" "แล้วเมื่อคืนก่อนเกิดอะไรขึ้นเพคะ หม่อมฉันหาทั่วทั้งตำหนัก หาเท่าไรก็หาไม่เจอ เหตุใดพระชายาถึงได้หายตัวไปแล้วปรากฏตัวอีกครั้งที่ตลาดตะวันออกหัวเมืองตงเปิ่งละเพคะ" อิงลั่วหลุบตาถามด้วยความสงสัย นางกำนัลบ่าวใช้หน้ายาวโพล่งเอ่ยขึ้น "มีคนลักพาตัวไปใช่หรือไม่เพคะพระชายา" ลักพาตัวอย่างนั้นหรือ ? ลี่หยางกลอกตานึกคิด หรือว่า...สตรีร่างนี้จะถูกลักพาตัวไปฆ่ากลางป่าจริง ๆ ถึงแม้จะคาดเดาไปเองไม่ได้ว่าลักพาตัวหรือไม่ แต่พาไปฆ่านั้น คือเรื่องจริง! และข้าก็เกือบจะตายอีกรอบมาแล้วด้วย "ว่าอย่างไรเพคะพระชายา…" หลังหลุดออกจากห้วงความคิด ซือลี่หยางก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะสายตาจากบรรดาบ่าวใช้นับสิบกำลังจับจ้องมาที่นางและรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ หางตาของนางกระตุก ริมฝีปากเรียวบางอ้าและหุบอย่างเก้อกระดากอยู่หลายครั้ง ก่อนจะอึกอักตอบ "ขะ ข้าไม่รู้ ข้ารู้ตัวอีกทีก็โผล่อยู่ในป่าแล้ว" "ในป่าหรือเพคะ!!!" อิงลั่วตะโกนเสียงแหลม ว่านกูกูได้ยินเช่นนั้นแทบจะลมจับ ลี่หยางพยักหน้าเบา ๆ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ "ข้าเกือบจะโดนฆ่าแล้ว มีบุรุษฉกรรจ์สองคนใช้มีดวิ่งไล่แทง หวังจะจ้วงควักหัวใจข้า" สิ้นสุดคำพูด บ่าวใช้นางกำนัลทั้งหมดใบหน้าเปลี่ยนสี ตื่นตระหนกหนักยิ่งกว่าเก่าเสียอีก ว่านกูกูที่เริ่มประคองตัวเองไม่อยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ ยามนี้กลายเป็นหน้ามืด เป็นลมล้มสลบลงไปกองบนพื้น อิงลั่วรีบวิ่งเข้าไปพยุงกายนาง เอ่ยถามอย่างร้อนใจ "ว่านกูกู...ว่านกูกู เป็นอะไรไปเจ้าคะ" ซือลี่หยางตื่นตกใจ รีบสั่งการบ่าวรับใช้ให้นำตัวว่านกูกูออกไปพักผ่อนที่เรือนและเรียกหมอหลวงมารักษา รั้งไว้เพียงอิงลั่วให้อยู่กับนางเพียงเท่านั้น "พระชายาต้องพบเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนั้นเลยหรือเพคะ" อิงลั่วเอ่ยถาม ซือลี่หยางครุ่นคิดในใจ หากบอกความจริงออกไปว่านางข้ามภพมา คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เป็นแน่ อีกอย่าง...เราเพิ่งเข้าวังมา ไม่อาจไว้เนื้อเชื่อใจผู้ใดได้ ยามนี้เพียงแสร้งทำเป็นสมองเลอะเลือน ค่อย ๆ หลอกถามเรื่องราวของเยว่ชิงไปเรื่อย ๆ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด "ใช่! หลังจากที่ตื่นขึ้นมากลางป่า ข้าก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย แม้แต่ชื่อของตัวเอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเจ้าจะต้องช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้ข้า" ซือลี่หยางคว่ำปาก เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย อิงลั่วรู้สึกสงสารนายหญิงน้อยจับใจ เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล "ได้เพคะ...หม่อมฉันจะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำของพระชายาเอง" ซือลี่หยางคลี่ยิ้มงดงาม กล่าวขอบคุณนางด้วยแววตาซาบซึ้งใจ "ขอบคุณเจ้าจริง ๆ นะ...อิงลั่ว" ทันใดนั้นเอง เสียงตึงตังของฝีเท้าหนักอึ้งที่กระทบกับพื้นไม้ก็ดังขึ้น เพียงไม่นาน บ่าวใช้นางหนึ่งก็กุลีกุจอวิ่งเข้ามาในเรือนอย่างไม่สำรวม "พระชายาเพคะ...องค์รัชทายาทมาเพคะ" นางกล่าวรายงานพลางนั่งคุกเข่าลงบนพื้น องค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ ? ซือลี่หยางบังเกิดความสงสัย หากองค์รัชทายาทมาหา เหตุใดบ่าวใช้ผู้นี้ถึงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาราวกับเห็นภูตผีวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น หรือว่า...แท้ที่จริงแล้ว ข้ากับองค์รัชทายาทจะไม่ถูกกัน! "ละ แล้วอย่างไร…องค์รัชทายาทมาก็เชิญเข้ามาสิ เหตุใดเจ้าต้องแตกตื่นเช่นนั้นด้วย" ซือลี่หยางเอ่ยถามเสียงติดขัด อิงลั่วโพล่งตอบขึ้นมาแทน "บ่าวผู้นี้อายุยังน้อยไม่สำรวม หากว่านกูกูอยู่คงจะเอ็ดตะโรสั่งสอนนางไปแล้ว พระชายาเตรียมตัวเถิดเพคะ อีกประเดี๋ยวองค์รัชทายาทคงเดินทางมาถึงแล้ว" "ข้าขอถาม...องค์รัชทายาทเป็นอะไรกับข้า" อิงลั่วยิ้มน้อย ๆ เอ่ยตอบ "เป็นพระสวามีของพระชายาอย่างไรละเพคะ" เมื่อได้ฟังคำตอบ ดวงตาของซือลี่หยางก็เป็นประกายเจิดจ้า ตะลึงงันไปชั่วครู่ นี่ข้า...กลายมาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทจริง ๆ หรอกหรือ ? หลังจากที่เตรียมตัวนั่งรอ เพียงไม่นาน ประตูเรือนก็ส่งเสียงแอ๊ดและขยับเปิดออก บุรุษรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดคลุมผ้าแพรชั้นสูงสีดำขลับปักเลื่อมลายมังกรและเมฆา พลันก้าวขาเข้ามาช้า ๆ เขาคือ 'เยี่ยเทียน' องค์รัชทายาทรูปงามแห่งแคว้นต้าฉู่ เครื่องหน้างดงามสมบูรณ์แบบ เฉียบคมราวกับถูกสลักเสลาด้วยมีด ใบหน้าคมคายกระจ่างหมดจด จมูกสูงโด่งเป็นสัน คิ้วหนาเข้ม หล่อเหลาทว่าดูเย็นชาในคราเดียวกัน ยามเมื่ออิงลั่วเห็นว่าองค์รัชทายาทเดินเข้ามา นางก็รีบย่อกายคำนับและก้มศีรษะเดินออกไปจากเรือนทันที เสียงย่ำเท้าของเยี่ยเทียนทำให้ซือลี่หยางรู้ว่าองค์รัชทายาทมาถึงแล้ว นางไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกไปจึงจะเหมาะสม เป็นสามีภรรยาก็คงรักใคร่ มีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน ด้วยเหตุนี้ นางจึงต้องทำดีกับเขาให้มากที่สุด "เจ้าหายไปไหนมาทั้งคืน" เยี่ยเทียนเอ่ยเสียงเฉียบ แม้มีม่านโปร่งเป็นฉากขวางกั้น ทว่านางกลับรู้สึกถึงกลิ่นอายเย็นเยียบบางอย่างที่คล้ายกับน้ำแข็งก้อนใหญ่ หนาวเหน็บอย่างบอกไม่ถูก ซือลี่หยางแย้มยิ้มละไม กล่าวตอบน้ำเสียงนุ่มนวล "หม่อมฉันเจอเรื่องร้ายครั้งใหญ่หลวง พลัดหลงอยู่ในป่าข้ามคืน แต่โชคดีที่บ่าวใช้เจอหม่อมฉัน จึงช่วยพากลับตำหนัก พระองค์อย่าห่วงเลยเพคะ หม่อมฉันพักผ่อนประเดี๋ยวก็ดีขึ้น…" เยี่ยเทียนนิ่งเงียบไป มีเพียงเสียงลมหายใจหนัก ๆ ผ่านไปเนิ่นนานเสียงทุ้มเข้มก็ดังขึ้นอีกครั้ง "เข้าข้างตัวเองเกินไปหรือไม่...ข้าไม่ได้รู้สึกกับเจ้าเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย" ซือลี่หยางรู้สึกหน้าด้านชาไปทั้งดวง อับอายที่พูดออกไป เยี่ยเทียนแค่นเสียงเย็น เอ่ยต่อ "ข้ากำลังจะแต่งตั้งนางสนมเข้ามาในตำหนักใหม่ หวังว่าเจ้า...จะไม่มีปัญหาอะไร" ซือลี่หยางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คำพูดของเขาทำให้นางจุกแน่นที่อกจนพูดอะไรไม่ออก ข้าเพิ่งบอกไปว่าเจอเรื่องร้าย สามีดี ๆ ที่ไหนเขาทำแบบนี้กัน! นอกจากจะไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจ ยังพูดจาซ้ำเติมให้เจ็บช้ำน้ำใจอีก แต่งสนมเข้าตำหนักแล้วอย่างไร คิดว่าข้าจะเจ็บปวดหรือ ? อยากจะแต่งสักร้อยคนพันคนก็ตามใจเถิด สิ้นสุดความคิด ซือลี่หยางก็สูดลมหายใจลึกสองสามที ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ฉุนเฉียวไปมากกว่านี้ เอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้าไม่มีปัญหา" เยี่ยเทียนหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะเอ่ยประชดประชัน "ฮ่า ฮ่า...ชายาของข้าใจกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทร ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากเจ้าเหงาละก็...จะคว้านักดนตรีสังคีตหรือคนเร่ร่อนข้างทางเข้ามาเป็นนายบำเรอสักกี่คนก็เชิญเลย ข้าจะไม่ว่าอะไรเจ้า..." ได้ยินเช่นนั้น มือเล็กทั้งสองของซือลี่หยางก็กำแน่น จิกตั่งนุ่มที่นั่งอยู่ยับยู่ด้วยความโกรธเกรี้ยว วาจาเย็นชาไร้เยื่อใยของเขาบาดหู นางรู้ดีว่าสิ่งนี้คือการเหยียดหยาม ดูแคลน ในที่สุดก็ทนไม่ได้หลุดสบถคำออกไปด้วยความโกรธ "น่ารังเกียจ!" เยี่ยเทียนเบิกตาโพลง กระชากม่านโปร่งออกด้วยโทสะ พลางตวาดลั่น "บังอาจ!" สายลมพัดวูบเข้าที่ดวงหน้าของซือลี่หยางงามหนึ่งที นางช้อนหน้ามองเยี่ยเทียนอย่างท้าทาย ดวงตาแข็งกร้าวมิได้มีแววเกรงกลัวแฝงอยู่ในนั้นเลยแม้แต่น้อย เยี่ยเทียนชะงักนิ่ง ความรู้สึกแปลกประหลาดระคนหวาดหวั่นเกาะกุมจิตใจ ปกตินางจะไม่กล้าสบตา ไม่กล้าแม้แต่จะมีปากเสียง แต่ทำไม... "ไป๋เยว่ชิง! ผีเข้าร่างเจ้าหรืออย่างไร ไฉนถึงได้บังอาจทำตัวแข็งกร้าวกับข้าเช่นนี้" "แล้วเหตุใดหม่อมฉันถึงจะทำตัวเช่นนั้นกับคนร้ายกาจมิได้เพคะ" ซือลี่หยางตวาดกลับเสียงแหลม คำพูดของซือลี่หยางเปรียบดั่งเชื้อเพลิงที่ราดลงบนกองไฟทำให้เยี่ยเทียนเดือดดาลมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ เขาพุ่งกายเข้าไปบีบดวงหน้าเล็กเรียวของนางจนยับยู่ นางกรีดร้อง ขยับรูปปากแค่นเสียงในลำคอ กล่าวว่า 'ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้' ใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามดิ้นรนแกะมือหนาแข็งแกร่งออก เยี่ยเทียนกัดฟันข่มขู่เสียงแข็ง "หากยังกล้าทำท่าทางกับข้าเช่นนี้อีก ข้าจะทรมานเจ้า จะไม่ทำให้เจ้าตายไปอย่างสงบ แต่จะทำให้เจ้าเจ็บปวดหัวใจเจียนตาย" สิ้นเสียง เขาก็สะบัดมือออกจากใบหน้านางอย่างแรงและเดินออกไป ซือลี่หยางยกมือขึ้นจับพวงแก้มของตนเองด้วยความเจ็บปวด ดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอหน่วยจ้องมองเขาเดินออกไปด้วยความเจ็บแค้นในใจ ป่าเถื่อน! นี่มันอสูรร้ายหลุดออกมาจากขุมนรกชัด ๆ เยว่ชิง...เจ้าทนอยู่บุรุษผู้นี้ไปได้อย่างไร?
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม