นี่เรา...อยู่ที่ไหนกันแน่ ?
ซือลี่หยางรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยเหนือชั้นบรรยากาศคล้ายกับอยู่ในห้วงฝัน ทุกอย่างว่างเปล่าและมืดมิด แม้กระทั่งตัวของเธอเองที่ยามนี้ก็กลายเป็นสิ่งกลวงใส เคลื่อนที่ลอยไปมาว่องไวราวกับสายลมก็ไม่ปาน
เราคงจะตายไปแล้ว…
ซือลี่หยางกวาดสายตาจนทั่ว รอบ ๆ กายไม่มีผู้ใด ความโหวงหวิวเกาะกุมจิตใจอย่างบอกไม่ถูก ช่างอ้างว้างและโดดเดี่ยวเหลือเกิน!
ความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ในหัวยามนี้ มีเพียงภาพจำเลือนรางในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
เธอกับเผิงฉู่เซียวจับมือกันแน่นบนเครื่องบินที่กำลังดิ่งลงสู่พื้น หลังจากนั้นคงไม่ต้องคาดเดาอะไรอีก การปรากฏกายในสถานที่อันมืดมิดและไม่คุ้นเคยแห่งนี้ คงเป็นคำตอบสำหรับทุกอย่างแล้ว ที่นี่คงเป็นสถานที่พักรอสำหรับดวงวิญญาณที่เพิ่งตายใหม่ ๆ และอีกประเดี๋ยวท่านยมทูตก็คงจะมารับตัวเราไป
ถึงแม้จะพยายามปลอบใจตัวเอง ทว่าหัวใจกลับจมอยู่ในความโศกเศร้าสุดประมาณ เมื่อคิดว่าจะต้องจากลาครอบครัวไปตลอดกาล น้ำตาใส ๆ ก็ร่วงเผาะลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
เธอยังคงคิดถึงพ่อแม่และกัลยาณมิตรทุกคนบนโลกมนุษย์ ซ้ำร้ายยังตายไปในขณะที่กำลังทำตามความฝัน ที่เสียเวลาชีวิตไปกับการฝึกซ้อมกีฬาอย่างหนักหน่วงทุกวัน คงไม่ต่างอะไรจากศูนย์เปล่า
เฮ้อ...ชีวิตเราช่างน่าอนาถแท้ ๆ
หากมีพรอีกสักข้อ เธอคงขอให้กลับไปใช้ชีวิตดังเดิมได้อีกครั้ง สัญญากับตนเองว่า จะไม่ทุ่มเทกับกีฬายูโดเพียงอย่างเดียว แต่จะหาแฟน แต่งงานมีลูก ออกเดินทางไปเที่ยวรอบโลก ใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากว่านี้…
ขณะครุ่นคิดอย่างใจลอย จู่ ๆ เสียงร้องไห้หนึ่งก็ดังแว่วข้างหู เธอรีบหันมองตามต้นเสียงด้วยความสงสัยใคร่รู้ แล้วภาพที่สะท้อนเข้าสู่สายตาก็ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ
หญิงโบราณ!
หญิงโบราณนางหนึ่งกำลังก้มหน้าสะอื้นไห้ ปิ่นระย้าไข่มุกบนศีรษะของนางสั่นไหว ดวงหน้าพริ้งเพริศเฉิดฉันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เมื่อเพ่งพิศดูใกล้ ๆ เครื่องแต่งกายที่นางสวมใส่ ดูไม่คุ้นตาเลยแม้แต่น้อย เหมือนถอดแบบมาจากหนังหรือละครย้อนยุคสักเรื่องก็มิปาน นางสวมชุดรัดอกสีชมพูปักลายดอกบัวสีทองทั่วทั้งชุด กระโปรงผ้าต่วนสีขาวนวลจับจีบยาวสยายพลิ้วไหวราวหมู่เมฆ บนบ่ามีผ้าไหมโปร่งบางสีไข่มุขคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง
ซือลี่หยางเพิ่งเคยเห็นสตรีชนชั้นสูงสมัยโบราณในชุดหรูหราเช่นนี้เป็นครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะพิจารณาอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความตกตะลึง
หญิงสาวผู้นี้คือใครกันนะ? หรือว่าจะเป็นดวงวิญญาณเหมือนกันกับเรา…
ซือลี่หยางยืนลังเลใจอยู่นาน ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเลื่อนไหลลอยเข้าไปถามอย่างสุภาพอ่อนน้อม "...ท่านก็เป็นวิญญาณเหมือนกันเหรอคะ"
สตรีโบราณค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นประสานตาเศร้าสร้อย ซือลี่หยางมองเห็นใบหน้านางอย่างชัดเจนเต็มสองตาก็ครานี้
ใบหน้าของนางงดงามประหนึ่งหยกที่ถูกเจียระไนอย่างไร้ที่ติ ทั้งอ่อนหวาน ทั้งมีเสน่ห์น่าหลงใหล ซือลี่หยางครุ่นคิดในใจ หน้าตางดงามปานนี้ หากอยู่ในภพภูมิปัจจุบันจะต้องเป็นดารามีชื่อเสียงโด่งดังโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงเป็นแน่
"ร่างข้า...ฝากเจ้าดูแลต่อด้วย"
วาจาแปลกประหลาดของสตรีโบราณที่เอื้อนเอ่ยออกมา ทำให้ซือลี่หยางนึกสงสัย จึงเอ่ยถาม "ท่านหมายความว่าอย่างไร..."
ยังไม่ทันได้คำตอบ ประกายสีเงินสายหนึ่งก็วูบขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเชือกใส ตรึงร่างบางของทั้งสองเอาไว้
แสงสีเงินพันธนาการนั้นรัดแน่น สตรีโบราณร้องโหยหวนดิ้นทุรนทุรายด้วยสีหน้าเจ็บปวด ส่วนซือลี่หยางก็ไม่ต่างกัน ขณะกำลังส่งเสียงร้องขอให้ช่วย ดวงวิญญาณของทั้งสองก็ค่อย ๆ เลื่อนลอยห่างออกจากกันไปเรื่อย ๆ
จนในที่สุด ก็หลงเหลือเพียงตัวนางและหัวใจที่ว่างเปล่า แสงสีเงินนั้นรัดกายนางแน่นขึ้น ร่างไร้แรงต้านทานแทนที่จะดิ้นรนกลับสงบนิ่ง เสียงนาฬิกาน้ำที่ดังกังวาน ดังขึ้นแต่ละครั้ง ราวกับกำลังฉุดกระชากดวงวิญญาณของนางออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ
หลังจากนั้นภาพทุกอย่างตรงหน้า….ก็ดับและมืดสนิทลง!
พอรู้สึกตัวอีกที ทุกอย่างก็พลันหนักอึ้ง เหมือนมีก้อนหินหนัก ๆ วางทับบนศีรษะ ปวดหัวเหมือนกะโหลกกำลังจะปริแตกและระเบิดออกมาเสียให้ได้!
ซือลี่หยางค่อย ๆ ขยับดวงตาเปิดขึ้น ก่อนจะพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนเสลี่ยงไม้ที่ทั้งคับแคบและมืดมิด นางตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เสลี่ยงนั้นเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เหวี่ยงโอนเอนไปมา นำพาเอาสติสัมปชัญญะของนางหล่นหายไปตามทางด้วย ทว่าสัญชาตญาณของหญิงสาวที่มีทักษะป้องกันตัว หัวสมองสั่งการให้นางปิดปากเงียบ ไม่โวยวายและตั้งสติ
และใช่! สติเท่านั้นที่จะทำให้เรารอดพ้นจากเหตุการณ์คับขันเช่นนี้ได้
หลังจากไตร่ตรองคิด นางก็ค่อย ๆใช้มือ เปิดช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ของเสลี่ยงไม้เลื่อนออก ชะโงกศีรษะเล็กชำเลืองตามองออกไปอย่างระวังตัว
ข้างนอกนั้นมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงขานร้องของแมลงที่ดังโหยหวนเคล้ากับเสียงแว่วสนทนาของชายหนุ่มที่กำลังแบกร่างของนางอยู่
นางพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ทว่าเสียงพูดคุยกลับอู้อี้ ถูกเสียงธรรมชาติกลบเสียจนฟังไม่รู้เรื่อง
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด แต่ก็คาดเดาได้ไม่ยาก นางคงอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่ง ด้านหลังเงามืดมิดนั้น จะต้องมีต้นไม้สูงใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่เป็นแน่
แต่แล้วทำไม...เราถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะ! ก่อนหน้านี้เราตายไปแล้วมิใช่หรือ เรื่องมันชักจะวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว
หรือว่า...เราจะถูกพามาบูชายัญ!
สิ้นสุดความคิด ซือลี่หยางก็ยกมือป้องปากด้วยความตกใจ คงเป็นเคราะห์กรรมม เราจึงตายซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ...จะ จะทำอย่างไรดีล่ะ?
ทันใดนั้นเอง เสลี่ยงไม้ก็พลันหยุดเคลื่อนที่และค่อย ๆ วางลงกับพื้น
ชายฉกรรจ์ทั้งสองเดินเข้ามาเปิดประตูเสลี่ยงออก ซือลี่หยางฟุบตัวลงนอน แสร้งทำเป็นหลับเช่นเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้น ร่างของนางก็ถูกโยนเหวี่ยงลงพื้นราวกับสิ่งของ นางกัดริมฝีปากตนเองแน่นจนเลือดออก
เจ็บ! เจ็บเหลือเกิน...วิญญาณต้องไม่มีความรู้สึกมิใช่หรือ?
หรือว่าดวงวิญญาณเราจะเข้าไปยึดครองร่างของผู้ใดมาอย่างไม่รู้ตัว
"เอาอย่างไรดีพี่เฉิน" 'เฉินไห่' ชายฉกรรจ์ร่างหนาเอ่ยถามความคิดเห็น 'เฉินลู่' พี่ชายของตนน้ำเสียงจริงจัง
เฉินลู่นิ่งเงียบ มองร่างบางแล้วเกิดความรู้สึกสงสารในใจ เอ่ยตอบ "ปล่อยนางทิ้งไว้กลางป่าแบบนี้เถิด...อีกไม่นานนางก็คงจะกลายเป็นอาหารของเสือ"
อะ อาหารเสืออย่างนั้นหรือ?
ซือลี่หยางได้ยินเช่นนั้น ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความประหม่า
เฉินไห่รีบแย้งอย่างร้อนใจ "ตะ แต่...เราต้องเอาหัวใจของพระชายาไปถวาย หากไม่ทำเช่นนั้น อาจเป็นเราต่างหากที่ต้องตาย ขะ ข้าไม่เอากับพี่เฉินด้วยหรอก"
เฉินลู่นิ่งคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง ในที่สุดก็พยักหน้าตอบตกลง ไม่รีรอกำจัดร่างอันไร้วิญญาณของนางให้จบสิ้นทันที
เขาย่อกายลง ชักมีดพกสั้นข้างเอวขึ้นมา ปลอบกับตัวเองในใจ ถึงแม้ร่างนี้จะเป็นมนุษย์ แต่ก็เป็นร่างของมนุษย์ที่สิ้นใจไปแล้ว ถึงฆ่าก็ไม่ผิดบาป เพียงทำให้จบงานเท่านั้น เขาก็จะไม่ติดค้างอะไรอีก ข้าขอให้วิญญาณของพระชายาไปสู่ภพภูมิที่ดี...
เมื่อหลุดจากภวังค์แห่งความคิด เฉินลู่ก็ง้างมือสูง ตั้งท่าจะทิ่มแทงเข้าไปที่ร่างแบบบาง ทว่าซือลี่หยางหรี่ตามองเห็นทัน จึงรีบม้วนกาย หลบหลีกคมมีดแหลมคมได้อย่างหวุดหวิด
เฉินลู่อุทานเสียงหลง ใบหน้าซีดเซียวราวกับถูกผีหลอก เฉินไห่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งมาดู เมื่อเห็นซือลี่หยางลุกขึ้นนั่ง เขาก็เบิกตาโพลง เอ่ยอย่างตื่นตระหนก "นะ นางยังไม่ตายหรอกหรือ ก่อนมาที่นี่ข้าตรวจสอบลมหายใจของนางแล้ว นางตายจริง ๆ นะพี่เฉิน"
ซือลี่หยางหายใจกระหืดกระหอบ เหงื่อเย็นผุดซึมเต็มศรีษะ มุมมองของชายฉกรรจ์ทั้งสองเห็นร่างบางกำลังตื่นกลัว ตัวสั่นระริกไม่หยุด
"พระชายา...ข้าจะไม่ทำอะไรท่าน" เฉินลู่เอ่ยเสียงนุ่มนวล
"ไม่ทำกับผีน่ะสิ! เมื่อกี๊นายยังพยายามจะแทงฉันอยู่เลย" ลี่หยางเปิดปากร้องโวยวาย เพราะอกสั่นขวัญแขวน จึงไม่ได้สังเกตคำสรรพนามที่บุรุษทั้งสองคนเรียกนางว่า 'พระชายา'
เฉินไห่เอ่ยรบเร้าต่อ "พระชายา...หากวันนี้ข้าไม่ได้หัวใจของท่าน ข้าคงต้องตายแน่ ๆ"
ซือลี่หยางขมวดคิ้วมุ่นพลางชี้นิ้วมือไปที่หน้าอกด้านซ้ายของตนเอง "หัวใจ...ที่หมายถึงคือหัวใจที่เต้นตึ่กตั่ก ๆ จริง ๆ อย่างนั้นหรือ"
เฉินลู่กับเฉินไห่ผงกศีรษะพร้อมเพรียงด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ซือลี่หยางได้ยินเช่นนั้น ลอบสบถในใจว่า 'ซวยแล้ว!' ก่อนจะฉวยจังหวะนี้ คว้าท่อนไม้ที่อยู่ใกล้มือฟาดไปที่ศีรษะของเฉินลู่อย่างรุนแรง รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นและวิ่งซวนเซหนีออกไป
เฉินไห่เมื่อเห็นพี่ชายถูกทำร้ายก็อาละวาดหนัก คว้ามีดในมือของเฉินลู่วิ่งตามนางไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ
นางวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง จนกระทั่งไปถึงลำธารแห่งหนึ่งที่มีทัศนวิสัยปลอดโปร่งและกว้างขวาง ยามเมื่อแสงจันทร์กระจ่างสาดทอลงบนผิวน้ำ บรรยากาศรอบด้านลำธารจึงสลัวรางและไม่มืดมิดไปเสียทีเดียว
ครั้นเมื่อนางหันหลังกลับไปมอง เงาดำของเฉินไห่ก็เคลือบคลานเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
นางร่นขาถอยหลังหนีด้วยความหวาดหวั่น ทว่าซ้ำร้าย เท้าของนางดันไปสะดุดเข้ากับก้อนหินในลำธารทำให้ลื่นล้มเสียหลักหงายหลังลงไปในน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว
เฉินไห่ที่วิ่งตามมา แสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมลำพองใจ ย่างเท้าเข้าไปหานางประหนึ่งสัตว์ร้ายกำลังจะตะครุบกินเหยื่อ
"พระชายา...ท่านหนีไม่รอดแล้ว" เฉินไห่หัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะกระชับมีดเล่มเขื่องในมือแน่น พุ่งกายเดินตรงเข้าไปหวังจะกะซวกแทงนางให้ตายคามือ
ซือลี่หยางไม่คิดดิ้นรนหนีอีก นางลุกขึ้นประชันหน้า ล่าถอยขาไปทางด้านหลัง เบี่ยงกายซ้ายขวาหลบหนีจากคมมีดของเฉินไห่อย่างแม่นยำ การต่อสู้ครองด้วยสติและสายตาที่เฉียบแหลม ทว่าสิ่งนี้ทำได้แค่หลบหลีกชั่วคราวเพียงเท่านั้น นางรู้ดีว่าคนไม่มีอาวุธย่อมเสียเปรียบ และนางก็ไม่ใช่ผู้วิเศษ งัดท่ายูโดขึ้นมาต่อสู้อย่างไรก็แพ้คนที่ถือครองอาวุธอยู่ดี
ขณะที่อีกฝ่ายกำลังคลุ้มคลั่ง นางโพล่งเอ่ยขึ้นจงใจยั่วโมโห "ไอ้คนขี้ขลาด! แค่สรีระร่างกายหญิงกับชายก็เสียเปรียบจะแย่แล้ว นับประสาอะไรกับการใช้มือต่อสู้กับมีด หรือว่าแท้ที่จริงแล้วแกมันก็แค่ไอ้คนขี้ขลาดคนหนึ่ง ...ไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อย!!!!"
แล้วก็เป็นผล
คำพูดดูแคลนของซือลี่หยางทำให้ไฟโทสะในใจของเฉินไห่ลุกโชนอย่างห้ามไม่อยู่ เขาปล่อยมีดในมือทิ้งลงแม่น้ำ กล่าวเสียงเดือดดาล "พระชายา! ท่านว่าใครขี้ขลาด...คนถูกฆ่าทิ้งอย่างไร้ค่าเช่นท่าน กล้าดีอย่างไรมากล่าวหาดูถูกข้า"
เมื่อไม่มีมีดแล้ว ซือลี่หยางก็แย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย “นั่นสินะ...กล้าดีอย่างไร” นางรีบเดินสาวเท้าเร็วเข้าไปกระชั้นชิด จากนั้นจึงใช้กระบวนท่ากีฬายูโดที่ยังคงชัดเจนอยู่ในหัว ตวัดร่างบางสะโอดสะองจับตัวเฉินไห่ทุ่มลงไปในน้ำอย่างคล่องแคล่วว่องไว
เสียงน้ำดังกระหึ่ม ละอองน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง ชายหนุ่มร้องโอดโอยเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ร่างของเขาถูกฟาดลงบนโขดหินก้อนใหญ่ ปวดร้าวราวกับกระดูกในร่างกายกำลังแตกหักออกเป็นเสี่ยง ๆ
"ฉะ เฉินไห่..." เฉินลู่ที่วิ่งตามมาช่วยน้องชายทีหลัง พอเห็นเหตุการณ์เข้าก็รีบวกกลับไปอย่างทุลักทุเลทันที
ซือลี่หยางเดินไปเก็บมีดที่ลอยในน้ำยกขึ้นมาข่มขู่เสียงแข็ง "หากไม่อยากตาย...ก็จงหนีไปซะ! ถ้ายังตามมา ฉันจะไม่เว้นชีวิตแกอีก!!!"
เอ่ยจบ นางก็ยัดมีดเก็บลงในแถบหนาของอกเสื้อและหมุนกายเดินออกไป ปล่อยให้เฉินไห่นอนแน่นิ่งบนโขดหินกลางป่าอยู่อย่างนั้น
เมื่อเดินออกห่างไปได้สักระยะหนึ่ง นางก็หยุดชะงักฝีเท้า กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ป่า ลอบถอนหายใจอย่างทดท้อ
แย่แล้วสิ! มืดขนาดนี้...จะหาทางกลับบ้านได้อย่างไรละเนี่ย?