ตอนที่ 19 : เข้าป่า

1599 คำ
หกวันให้หลัง... หลังจากตกปากรับคำกับอ๋องสี่และอ๋องเจ็ดเอาไว้ ครั้นพอถึงวันเดินทาง เยี่ยเทียนก็ใช้วิธีรวบรัดบุกเข้าไปที่ตำหนักเฟิงยวี่ ฉุดกระชากซือลี่หยางที่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในอุทยาน โดยไม่เอ่ยปากถามหรือให้เวลานางเพื่อไตร่ตรองเลยแม้แต่น้อย "ปล่อยข้านะ...ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!!" ซือลี่หยางร้องโวยวายไม่หยุด พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากเยี่ยเทียนที่ยามนี้กำลังยื้อยุดนางโดยไม่มีท่าทีจะปล่อย "ไปกับข้า!" เยี่ยเทียนตะคอกลั่น "ไปไหน ข้าไม่ไปทั้งสิ้น ปล่อยข้า! ข้าบอกให้ปล่อยข้าอย่างไรเล่า!!!" คราวนี้นางสะบัดแขนแรงขึ้นกว่าเดิม ในที่สุด เยี่ยเทียนก็ยอมปล่อยแขนและหันไปบอกกับนางตามตรง "ข้าจะออกเดินทางเข้าป่าและเจ้าต้องมากับข้าด้วย" ซือลี่หยางยืนงุนงงไปชั่วขณะ ลอบตำหนิในใจ นี่คือการขู่เข็ญบังคับฝืนใจกันชัด ๆ บุรุษผู้นี้ไม่มีคุณธรรมในใจ ไม่เอ่ยปากถามข้าสักคำว่าเต็มใจอยากไปด้วยหรือไม่ "ท่านอยากไปก็ไปคนเดียวสิ ข้าไม่ไปกับท่านด้วยหรอก" นางตอบ "เจ้าต้องไป นี่คือคำสั่งของข้า!" เอ่ยจบ เยี่ยเทียนก็เข้าไปฉุดกระชากแขนนางอีกครั้ง ก่อนจะอุ้มร่างบางตวัดตัวขึ้นไปนั่งบนอานม้าอย่างรวดเร็ว ซือลี่หยางที่คาดไม่ถึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก รู้ตัวอีกทีก็มานั่งอยู่บนหลังม้าเสียแล้ว เยี่ยเทียนกระโดดตามขึ้นไป ไม่รีรอใช้สองมือกระตุกบังเ**ยน อาชาสีดำทมิฬร้องเสียงลากยาว กีบเท้าม้าควบทะยานไปข้างหน้า ผ่านประตูวังหลายชั้นจนกระทั่งออกไปด้านนอกของวัง สำหรับรัชทายาทอย่างเขาแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างง่ายดายเสียยิ่งกว่าดีดนิ้ว เสียงกุบกับของเกือกม้าดังขึ้นชัดเจนหลังจากที่ผ่านพ้นเขตชนบทมาถึงบริเวณชานเมือง ตลอดเส้นทางบนหลังม้า ซือลี่หยางทั้งรู้สึกโกรธ ทั้งอับอาย ร่างแบบบางของนางกระชั้นชิดกับร่างหนากำยำของเยี่ยเทียนมาก จนแทบจะผสานหลอมรวมกัน แผ่นหลังถึงแม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้น ทว่านางก็ยังสัมผัสได้ถึงแผงอกผายกว้างและเสียงหัวใจของเขาที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับกลองฉงกู่ เยี่ยเทียนหัวใจเต้นปกติ ผิดกับนางที่หัวใจเต้นแรงและรัว แขนแข็งแกร่งปรากฏเส้นเลือดปูดโปนชัดเจนเอี้ยวมาจับเชือกบังเ**ยนด้านหน้า โอบกอดกายนางแนบเนียนอย่างไม่ต้องรู้สึกผิด เขาชำเลืองตามองนางเป็นระยะ ๆ ครั้นพอเห็นพวงแก้มนวลเนียนขาวกระจ่างราวกับเต้าหู้ผุดสีแดงซ่าน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากก็พลันฉายขึ้นบาง ๆ พึงพอใจกับปฏิกิริยาท่าทางของนางอยู่ไม่น้อย อาชาของเยี่ยเทียนวิ่งทะยานปราดเปรียวผ่านตลาดตะวันออก ออกไปจนถึงต้นทางของป่าสายหนึ่ง ซือลี่หยางทอดมองสุดสายตา เห็นอาชาของคนกลุ่มหนึ่งเลือนรางคล้ายกับกำลังรั้งรออะไรบางอย่าง ครั้นพอม้าของนางควบเข้าไปใกล้ ก็พลันเข้าใจในทันที พวกเขากำลังรอนางกับเยี่ยเทียนอยู่ บนม้านั้นมีสองบุรุษกับอีกหนึ่งสตรี… ซือลี่หยางสังเกตเห็นบุรุษสองคนรูปร่างสูงโปร่งเทียบเคียงกัน สวมชุดลำลองสีพื้น ๆ มิได้ดูโดดเด่นอะไร ทว่าใบหน้าของพวกเขากลับดูหล่อเหลาคมคาย ผิวพรรณนวลผ่องเปล่งประกายจับราศี ส่วนสตรีอีกนางหนึ่งแตกต่างจากบุรุษทั้งสองโดยสิ้นเชิง นางสวมชุดลำลองสำหรับเดินป่าก็จริง ทว่าชุดของนางกลับดูงดงามและโดดเด่น บนแถบผ้าปักเลื่อมระยิบระยับจับตา ซือลี่หยางจดจำได้เป็นอย่างดี ผ้าชั้นสูงเช่นนี้ อิงลั่วเคยเบิกมาจากกองพระภูษา อาภรณ์นั้นเป็นอาภรณ์ที่มีราคาแพงและไม่อาจพบเห็นได้ปกติตามท้องตลาดทั่วไป แน่แล้วว่าพวกเขาทั้งสามมิใช่คนธรรมดา! “ข้าดีใจเหลือเกินที่เห็นท่านพี่และพระชายาร่วมเดินทางในครั้งนี้” อ๋องสี่คลี่ยิ้มอบอุ่น กล่าวคำทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตร “ขู่บังคับนะสิไม่ว่า” ซือลี่หยางยื่นปาก บ่นอุบอิบเบา ๆ เยี่ยเทียนส่งเสียงกระแอมอย่างหนัก อ๋องสี่ อ๋องเจ็ดและหลิงเฟยเห็นเช่นนั้นต่างพากันหัวเราะชอบใจ ต่อจากนั้นทั้งห้าคนและทหารอารักขาก็ควบม้ามุ่งหน้าเข้าไปในป่าตามใจปรารถนาภายในเวลาต่อมา องค์ชายทั้งสามชื่นชอบความท้าทายอยู่เป็นนิตย์ ในป่าเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ เขาไม่ต้องการไปที่เดิมซ้ำ ๆ การล่าสัตว์ครั้งนี้จึงไม่มีจุดหมาย เพียงใช้สัญชาตญาณนำทางเท่านั้น ซือลี่หยางกวาดสายตามองโดยรอบ เห็นหมู่แมกไม้เขียวขจี กลิ่นหอมจรุงของหญ้าอ่อน ๆ โชยมาแตะที่ปลายจมูก ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก หากนับแล้ว ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่สองที่นางเข้ามาในป่า ครั้งแรกคือตอนที่นางถูกหามเอามาทิ้งไว้ ต่อสู้กับชายฉกรรจ์ถึงสองคน แล้วก็มาเจอตากับยายที่ใจดี จนในที่สุดโชคชะตาก็นำพานางกลับไปอยู่ในที่ที่เยว่ชิงเคยอยู่อีกครั้ง น่าแปลกนัก! อาจจะเป็นเพราะแคว้นต้าฉู่ไม่กว้างขวางพอ หรือไม่ก็เป็นเพราะโลกใบนี้มันกลม ทุกอย่างจึงหวนกลับสู่จุดเดิมราวกับมีเวทมนตร์รายล้อมอยู่อย่างไรอย่างนั้น "ชู่!" มาถึงป่าทึบด้านใน อ๋องสี่ผู้ช่ำชองในการล่าสัตว์ ยกมือทำสัญญาณให้หยุด ก่อนจะหันไปบอกกับทุกคนด้านหลังต่อว่า "อย่าส่งเสียงดังไป...ข้าเห็นสุนัขจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งอยู่ด้านหน้า" ทุกคนดึงบังเ**ยนม้าให้หยุดพร้อมเพรียงกัน ขยับเขยื้อนกายให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากนั้น อ๋องสี่ก็หยิบคันธนูขึ้นมาเล็ง แล้วปล่อยลูกธนูไปที่ขาหลังของสุนัขจิ้งจอกขาวตัวนั้น เสียงขวับของลูกธนูที่พุ่งตัวผ่านชั้นอากาศอย่างรวดเร็วดังขึ้น สุนัขจิ้งจอกขาวส่งเสียงร้องโหยหวนก้อง ลูกธนูดอกหนึ่งปักที่ขาของสุนัขจิ้งจอกขาวพอดี อ๋องสี่กระโดดลงจากหลังม้า คว้าสุนัขจิ้งจอกขาวโชกเลือดชูขึ้นและแย้มยิ้มอย่างมีความสุข "ฝีมือข้า...แน่นอนว่ายังดีอยู่!" อ๋องเจ็ดรีบยกมือปิดตา เพราะเกิดสงสารจึงทนเห็นสภาพของสุนัขจิ้งจอกขาวมิได้ เยี่ยเทียนบังคับม้าเข้าไปใกล้ เอามือลูบแผ่นหลังน้องชายเบา ๆ ซือลี่หยางหันมองตามอย่างประหลาดใจ ครุ่นคิดอย่างสงสัย นี่องค์รัชทายาทมีมุมอ่อนโยนเช่นนี้กับเขาด้วยหรือ ? "อ๋องเจ็ด ไหนเจ้าบอกกับข้าว่าอยากโตเป็นหนุ่มอย่างไรเล่า เข้าป่ามาล่าสัตว์กับข้ากี่ครั้ง เจ้าก็เอาแต่หลบหลังข้า อย่างนี้เจ้าจะมาเพื่ออะไรกัน อยู่ที่วังหลวงไม่ดีกว่าหรือ..." อ๋องสี่เอ่ยหยอกเย้า เขารู้ดีว่าน้องชายผู้นี้จิตใจอ่อนโยนเกินกว่าจะจับคันธนูฆ่าผู้ใดได้ "กะ ก็ข้าอยากมากับท่านพี่ ข้าไม่อยากอยู่ในวังแต่เพียงผู้เดียว" อ๋องเจ็ดกัดฟันแน่น เอ่ยเสียงสั่นเครือ "เจ้าไม่ใช่เด็กแล้วนะอ๋องเจ็ด มาเถิด ข้าจะพิสูจน์ความเข้มแข็งของจิตใจเจ้าเอง" เอ่ยจบ อ๋องสี่ก็ควบม้า ยื่นซากสุนัขจิ้งจอกขาวเข้าไปใกล้ ๆ หัวเราะเย้าแหย่อย่างสนุกสนาน อ๋องเจ็ดตัวสั่นเทา สั่นศีรษะรัว ๆ กล่าวอ้อนวอนอย่างเสียสติ "ทะ ท่านพี่ได้โปรดอย่าแกล้งข้า" ซือลี่หยางสังเกตเห็นอ๋องเจ็ดฟุบหมอบไปบนอานม้าตะเกียกตะกายหนีอย่างลนลาน รู้สึกโกรธจนพูดไม่ออก แต่ทันทีที่นางจะอ้าปากเอ่ยยั้ง เสียงเคร่งขรึมที่คุ้นเคยก็พลันดังขึ้น "อ๋องสี่ พอได้แล้ว!" ซือลี่หยางหันไปมองตามต้นเสียง เห็นดวงตาสีนิลของเยี่ยเทียนจับจ้องไปที่อ๋องสี่เขม็ง นางรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายเย็นเยียบที่แผ่กระจายรอบกายเขา รู้สึกหนาวเหน็บและน่าหวาดหวั่นแปลกประหลาด เสียงเข้มดุดันเข้าสู่โสตประสาท อ๋องสี่ได้สติอีกครั้ง ท่าทางของพี่ชายทำให้เขารู้ว่าตนเองทำเกินไป จึงรีบหันไปกล่าวขอโทษอ๋องเจ็ดทันที "อ๋องเจ็ด...ข้าขอโทษ...ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหวาดกลัวถึงเพียงนี้" อ๋องเจ็ดค่อย ๆ ขยับนิ้วมือทีละนิ้วเปิดหน้าออก เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา "ข้า...ไม่โกรธท่านพี่" ซือลี่หยางกะพริบตาปริบ ๆ มองพวกเขาทั้งสาม แม้จะไม่เข้าใจในคราแรก ว่าเหตุใดอ๋องเจ็ดถึงได้กลัวการล่าสัตว์ แต่พอเห็นท่าทางของเขาแล้ว นางก็รับรู้ได้ถึงจิตใจที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กชายคนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่อายุและรูปร่างของเขาจะดูโตเป็นหนุ่ม นางไม่รู้ว่าอาการเช่นนี้เรียกว่าอย่างไร แต่ก็อุ่นใจที่เขามีพี่ชายที่แสนดีคอยปกป้องดูแลอย่างใกล้ชิด พระราชวังต้องห้ามรายล้อมไปด้วยอันตราย ไม่อยากนึกเลยว่า หากเขาต้องใช้ชีวิตอย่างเดียวดายจะเป็นเช่นไรต่อไป...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม