แล้วสีหน้านั้นก็ต้องมลายหายไปเมื่อเทียนอี้เริ่มขยับมือ ความหวามไหวแล่นพล่านไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ซิ่นเฉิงกำผ้าห่มแน่นปลายเท้าจิกเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่จังหวะการหายใจจะเริ่มแรงขึ้นทีละน้อยอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งริมฝีปากหนาก็ยังมีเสียงอือออเล็ดลอดออกมาอย่างสุดจะกลั้น
ช่างเป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ซิ่นเฉิงกระอักกระอ่วนเสียจริง...
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถึงจุดสุขสมเมื่อความอดกลั้นตลอดทั้งวันทะลักออกมาเป็นสาย ซิ่นเฉิงรู้สึกราวกับร่วงหล่นจากผืนฟ้า บั้นเอวกระตุกลอยขึ้นเหนือฟูกนอนเล็กน้อย ก่อนที่จะหายใจหอบโยนเมื่อไอร้อนในร่างกายพอจะทุเลาลงได้บ้าง
เทียนอี้มองคราบแห่งความอภิรมย์ที่เปรอะเปื้อนมือและเส้นขนของเขาเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองหาผ้ามาเช็ด ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อกลิ่นของความสุขสมจากซิ่นเฉิงทำให้ร่างกายของเขาปั่นป่วนขึ้นมาบ้าง อย่างที่รู้กันว่าเขามีประสาทสัมผัสที่ไวทั้งการฟังและการได้กลิ่น เมื่อจมูกสัมผัสกับกลิ่นเย้ายวนทางกามารมณ์ เขาก็ร้อนรุ่มในกายขึ้นมา พลันในหัวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นั้น มันคือ... อาการติดสัด
เป็นที่น่าสังเวชนักสำหรับเหล่าเทพอสูรที่มีปฏิกิริยาไวต่อกลิ่นเย้ายวนทางเพศ ต่างจากตอนเป็นเทพที่ไร้ซึ่งความต้องการใดๆ ด้วยมีตบะแก่กล้าจนสามารถละทิ้งเรื่องทางโลกได้ แม้จะไม่ได้ดื่มกินสมุนไพรเจ็ดทิวา เจ็ดราตรีเข้าไปแท้ๆ แต่พอได้กลิ่นของซิ่นเฉิงแล้วมันก็...
อดใจไม่ไหวจนเผลอแลบลิ้นออกมาเลียปลายนิ้วซึ่งมีของเหลวสีขาวขุ่น ซิ่นเฉิงเห็นก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“ทำอะไรของเจ้า”
เทียนอี้เหลือบมอง เห็นสายตาข้องใจก็ตอบเสียงเรียบ
“ชิมรสชาติของเจ้า”
เรียวคิ้วของซิ่นเฉิงแทบจะหลอมรวมเป็นแนวเดียวกันอยู่แล้ว
“เจ้า...เจ้าว่าเจ้าทำอะไรนะ”
เทียนอี้หยุดเลียปลายนิ้ว ขยับกายเข้าใกล้และโน้มใบหน้าลงต่ำไปสูดดมซอกคอของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ ไออุ่นจากลมหายใจที่คลอเคลียอยู่ข้างๆ ลำคอชนิดไม่ทันตั้งตัวทำเอาซิ่นเฉิงพรึงเพริดกับสิ่งที่เกิดอยู่มากทีเดียว ก่อนที่จะโวยวายออกมาเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนจมูกเปียกชื้นมาสูดดมที่หูของเขา
“เจ้าทำอะไร!”
“ข้ากำลังครุ่นคิดว่ากลิ่นหอมหวานนี้มาจากส่วนไหนของร่างกายเจ้ากัน”
เป็นการตอบที่ราบเรียบมาก แต่หารู้ไม่ว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเทียนอี้เต้นรัวเร็วเสียเหลือเกิน เขาไม่เคยมีอาการนี้กับสตรีคนใด ไม่เว้นแม้แต่บุรุษใดด้วย แม้จะเคยได้กลิ่นคาวกามาจากมนุษย์เพศชายอยู่บ้าง แต่ก็หาได้มีกำหนัด อยากลิ้มชิมรสอะไรอย่างนี้ ทว่ากับซิ่นเฉิงแล้วช่างน่าแปลกนัก เขาเกิดอยากจะสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้
“จะส่วนไหนก็หาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องสนใจไม่ ออกไปได้แล้ว อึ้ก...”
ซิ่นเฉิงโวยวาย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเทียนอี้ไม่ได้ฟัง อีกทั้งยังแลบลิ้นเลียที่ปลายหูของเขาอย่างแผ่วเบา ความกำหนัดที่ทุเลาลงไปเมื่อครู่รวมตัวกันอีกครั้งคล้ายพายุฝนที่กำลังตั้งเค้า อวัยวะความเป็นชายที่อ่อนนุ่มลงไปแล้วแข็งขืนขึ้นมาอีกระลอก คราวนี้เองที่กลิ่นหอมเย้ายวนพวยพุ่งมาแตะจมูกของเทียนอี้
กลิ่นนั้น...มาจากอารมณ์กำหนัดของซิ่นเฉิงนั่นเอง
แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องไม่สมควร อดีตเขาเคยเป็นเทพ ไม่ควรสนใจเรื่องกิเลสตัณหา แต่ด้วยความที่กลายมาเป็นเทพอสูร ถ้าไม่นับเรื่องรูปร่างอัปลักษณ์ เขาก็มีกิเลสเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ ดังนั้นการจะให้อดทนต่อสิ่งยั่วยวนตรงหน้านั้นช่างเป็นไปได้ยาก
สักครั้งคงไม่เป็นไร...
เทียนอี้บอกกับตัวเองที่หน้ามืดเช่นนั้น ก่อนจะตวัดปลายลิ้นลากไล้ไปตามผิวหนังอุ่นร้อนของคนใต้ร่างตั้งแต่ใบหู ซอกคอ และแนวกระดูกไหปลาร้า
ซิ่นเฉิงที่ต่อต้านเมื่อครู่เกร็งตัวแข็ง เขาพยายามที่จะเอ่ยห้าม
“ยะ...หยุด...”
แต่เมื่อเทียนอี้เลื่อนตัวต่ำลงไปยังแผ่นอก และแลบลิ้นเลียไปยังตุ่มไตเม็ดเล็ก คำพูดที่หลุดออกจากปากเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงครางกระเส่าอย่างพึงใจ
ความเสียวซ่านช่างเป็นน้ำเมาที่ทำให้เขาลุ่มหลงได้ง่ายดายนัก...
ตกเป็นท่อนไม้ให้เทียนอี้ได้ลูบคลำตามใจ เทพอสูรเห็นว่าแค่ชิมรสด้วยปลายลิ้นคงยังไม่พอ เขาจึงขบเม้มยอดอกเข้าไปด้วยอีก เท่านั้นร่างของ ซิ่นเฉิงก็กระตุกเฮือก เมล็ดพันธุ์เล็กๆ สีชมพูอมน้ำตาลตามสีผิวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ดูเหมือนเทียนอี้จะชื่นชอบส่วนนี้มากเป็นพิเศษ วุ่นวายชิมรสอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะเคลื่อนกายลงต่ำ จูบไล่ไปตามหน้าท้องแกร่งกระทั่งถึงยังส่วนกลางของลำตัว
บัดนี้มันแข็งขึงเต็มที่... เทียนอี้ใช้มือรูดรั้ง หยาดน้ำสีขาวใสเอ่อปริ่มยังส่วนยอด ก่อนปลายลิ้นอุ่นร้อนจะตวัดเลีย ไอร้อนจากลมหายใจและปากของเทพอสูรทำเอาซิ่นเฉิงปั่นป่วนสับสนไปหมด ในหัวของเขามีแต่การต่อต้าน ในขณะที่ร่างกายกลับตอบรับสัมผัสนั้นอย่างยินดี ครั้นถูกเทียนอี้ขบเม้ม เขาก็แอ่นสะโพกรับเสียอย่างนั้น
ทุกอย่างช่างไม่เป็นไปอย่างที่เขานึกคิดไว้เสียเลย...
เทียนอี้เองก็เช่นกัน หลายครั้งหลายคราทีเดียวที่สมองสั่งการให้เขาหยุดด้วยคำนึงได้ถึงความผิดชอบชั่วดี กระนั้นก็ไม่อาจละใบหน้าออกจากการชิมรสโอชาของมนุษย์หนุ่มได้ ยังคงเลียไล้จนแก่นกายของซิ่นเฉิงชุ่มฉ่ำ มอบความหวามไหวชวนอภิรมย์ให้อีกฝ่ายราวกับรักใคร่เสียเต็มประดา ทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากอารมณ์กำหนัดอย่างเดียวเท่านั้น
ถูกปรนเปรอไม่หยุดยั้ง ซิ่นเฉิงก็ถึงฝั่งฝันอีกระลอก ธาราแห่งความสุขสมไหลทะลัก เทียนอี้กลืนกินเสียสิ้น ในใจก็คิดไปว่ารสชาติของคนทะเลทรายผู้นี้ช่างหวานหอมเสียจริง ก่อนจะผละออกมามองหน้าของซิ่นเฉิงที่แดงก่ำหายใจกระหืดหอบ มองเขาด้วยสายตายั่วยวนอยู่
สายตายั่วยวน... จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดนัก ดวงตาสีนิลดูลึกลับนั่นช่างฉ่ำหวาน ยิ่งอีกฝ่ายปรือตาด้วยแล้ว ก็ทำให้คนมองหลงเอ็นดูไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็ได้สติเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะได้กระทำการไม่คาดฝันอีกครั้งเป็นแน่
“พักผ่อนเสีย ได้ปลดเปลื้องถึงสองครั้ง ราตรีนี้เจ้าคงจะหลับสบายขึ้น” เทียนอี้ว่า ผุดลุกขึ้นจากเตียง ตรงไปยังประตู ก่อนจะชะงักฝีเท้า หันมามองเล็กน้อย “พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ต้องไปช่วยงานใดๆ พักผ่อนจนกว่าจะครบเจ็ดราตรี ฤทธิ์ของสมุนไพรจางหายไปเมื่อไร เจ้าค่อยออกจากห้องนี้ ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงส่งคนมาดูแล”
พูดเสร็จก็ผลักบานประตูออกไป ปล่อยให้ซิ่นเฉิงมองด้วยความเจ็บแค้นแทบสิ้นสติเมื่อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนหลงเผลอไผลไปกับสิ่งใด
เจ้าอมนุษย์! หยามเกียรติข้าเช่นนี้ เห็นทีเจ้ากับข้าจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เสียแล้ว!