“อย่ามาสั่งสอนข้า”
“หามิได้แม่นางน้อย ข้าเพียงแต่กล่าวตามสิ่งที่เล่าเรียนมา”
“ฮึ ข้ายากจะเชื่อถือท่าน อีกอย่างตั้งโต๊ะหากินเช่นนี้ ดูเหมือนกำลังผิดกฎหมายบ้านเมือง” อิ้งเยว่โวยวายเสียงดัง
“ตะ แต่ข้ามีใบรับรองจากสำนักหมอยาตระกูลไป๋”
เขากล่าวและกำลังพยายามหาใบรับรองของตน แต่เป็นตอนนั้นที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน
“จับตัวชายผู้นี้ไว้!”
ทหารตัวใหญ่สามคนกระชากหมอยาให้ลุกยืน และเตรียมคุมตัวเขาไปยังศาล
“ช้าก่อนพี่ทหารรูปหล่อ เหตุใดถึงรังแกท่านหมอตัวผอมไร้เรี่ยวแรงท่านนี้”
“เจ้าอย่ายุ่งเลย ตอนนี้ทั้งเมืองห้ามไม่ให้มีหมอยา หรือสำนักการแพทย์ใดๆ หากเจ็บป่วยจงไปที่คฤหาสน์รับรองทางทิศใต้ ท่านมือปราบอเวจีจะคอยดูแลเรื่องนี้ให้ทุกคนปลอดภัย”
เมื่ออิ้งเยว่ได้ยินอย่างนั้นนางก็โกรธจัด “พวกท่านเป็นผู้รักษาความถูกต้อง เหตุใดถึงได้เชื่อเรื่องงมงาย หากเจ็บไข้จะให้พวกมือปราบใช้ไสยเวทรักษาคนได้หรือ อีกอย่างปล่อยตัวเขาได้แล้ว”
“แม่นางท่านนี้โปรดหลีกไปให้พ้นทางเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นแล้วจะมีความผิดไปอีกคน” เมื่อทหารที่เป็นหัวหน้ากล่าวจบ เขาก็ลากคอเสื้อของหมอยาให้ก้าวตาม
อิ้งเยว่มองตามชายผู้นั้น เขาไม่ได้มีท่าทีหวั่นกลัวสักนิด นางเห็นแล้วก็นึกสงสารจับใจ จึงคิดว่าตนต้องหาทางช่วยเหลือถงฉีให้พ้นภัยในครั้งนี้
อิ้งเยว่ใช้ร่างแมวแอบเข้ามาในคุกที่หมอหนุ่มถูกคุมขังไว้ นางกวาดสายตาสำรวจพื้นที่โดยรอบ จึงเห็นว่านอกจากถงฉีแล้วยังมีหมอตำแยหญิง และหมอชายอีกหลายคนถูกขังอยู่ในห้องต่างๆ แยกกันไป และมีอีกหลายชีวิตที่ถูกทรมานอยู่ในคุกมืด
สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นคำสั่งของมือปราบอเวจี เพราะฝ่ายนั้นอยากกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการรักษาผู้คน และเรื่องนี้ใหญ่โตเกินกว่านางจะรับมือได้เพียงผู้เดียว
นางแมวเดินสำรวจไปเรื่อยๆ กระทั่งพบถงฉีอยู่ในห้องขังสุดท้าย
ดวงตาที่มีแสงเรื่อเรืองมองเขาอยู่นอกกรงขัง เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งๆ แต่ก็เหมือนคนใกล้หมดแรง เขาได้รับบาดเจ็บที่หน้าผาก และมือข้างหนึ่งถูกตีจนบวม
นางแมวนั่งอยู่ด้านหน้ากรงขัง คอยสังเกตการณ์เงียบๆ กระทั่งมีคนเอาอาหารมาวางให้แก่หมอหนุ่ม มันเป็นเพียงโจ๊กเหลวๆ กับหมั่นโถวเย็นชืดหนึ่งลูก
“อย่างน้อยอยู่ในนี้ท่านก็ไม่อดตาย” นางเอ่ยขึ้นลอยๆ และเป็นตอนนั้นที่ดวงตาสานสบกับเขาเข้าพอดี
“หิวหรือเปล่า”
คำถามนั้นดังขึ้น พร้อมการกวักมือเรียกนางให้เข้าไปหา
“เอาตัวเองให้รอดเสียก่อนเถอะ ท่านหมอ!” นางเอ่ยออกไป แต่เขาย่อมไม่เข้าใจ ด้วยได้ยินเพียงเสียงร้องเหมียวๆ
ชายหนุ่มจัดแจงอาหารตรงหน้า ซึ่งไม่ใช่เพื่อกินเอง แต่แบ่งให้นางแมวน้อย
“ไม่ต้องมาหวังดี ข้าจับจิ้งจกหรืองูกินยังน่าอร่อยกว่าอาหารของท่านตั้งเยอะ ถึงพวกมันจะเป็นสัตว์เลือดเย็นแต่รสชาตินับว่าไม่เลว”
นางว่าไปอย่างนั้น แต่กลับก้าวเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ถงฉี พอเขายื่นมือข้างที่ไม่เจ็บมาลูบหัวนางก็ใจอ่อน ซึ่งกว่าจะรู้ตัวนางก็นอนกลิ้งไปมาอยู่บนตักของเขาเสียแล้ว
“เจ้าเป็นนางแมวพเนจรหรอกหรือ”
นางมองหน้าหมอหนุ่ม ยิ่งมองยิ่งเห็นว่าเขาช่างเป็นชายจิตใจดีและหล่อเหลา ดังนั้นนางจึงตัดสินใจอยู่เล่นกับเขาหลายวัน จนล่วงรู้ว่าถงฉีเป็นเด็กชายที่ถูกมารดานำมาทิ้งไว้ที่ศาลเจ้าแห่งโชคชะตา และวางเขาไว้ที่ใต้ฐานวิหคดารา ซึ่งคนที่พบเขาก็คือฮูหยินผู้เฒ่าไป๋
จากนั้นเขาจึงได้รับการดูแลอย่างดี ด้วยความเป็นคนหัวไว ถงฉีจึงศึกษาทั้งสมุนไพรและตำราจนแตกฉาน เขาเป็นเด็กเฉลียวฉลาดเกินหน้าบุตรชายของท่านเจ้าบ้านไป๋ กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าไป๋สิ้นชีพ เขาถูกลอบทำร้ายจนขาหักเกือบต้องตัดทิ้ง แล้วขับให้ออกจากสำนัก
กระนั้นด้วยพอมีความรู้ติดตัว เขาจึงเขียนตำราขาย และตั้งโต๊ะรักษาคนทั่วไปเพื่อหารายได้พอให้ตนเองอยู่รอดไปวันๆ
หลายคืนที่ผ่านมาอิ้งเยว่นอนเล่นอยู่ไม่ห่างจากเขา คอยฟังเรื่องเล่าต่างๆ ที่ถงฉีสรรหามาพูดคุยพร้อมคอยเกาพุง และเล่นเย้าหยอกกับนางราวกับเป็นคนรัก!
กระทั่งคืนที่ห้าของการถูกกักขัง ก็เกิดเหตุร้ายเมื่อกลุ่มมือปราบอเวจีต้องการกำจัดทุกคนที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสมุนไพร และผู้ที่ศึกษาตำราแพทย์
กลางดึกคืนนั้นมีข่าวว่าสำนักหมอยาหลายแห่ง รวมถึงร้านขายยาถูกเผาจนเสียหายไปตามๆ กัน หมอหนุ่มผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้ยินเสียงร้องโวยวายดังไปทั่ว เขาตกใจมากพลางร้องถามคนอื่นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
นางแมวขนปุยที่นอนคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ดีดตัวลุกขึ้นแล้วออกไปดูสถานการณ์ด้านนอก จึงเห็นว่าทั้งเมืองกำลังลุกเป็นไฟ ส่วนในคุกที่มีทั้งหมอยาและหมอตำแย ทุกคนต่างดิ้นทุรนทุรายด้วยยาพิษที่ผสมมาในอาหาร
“หนี! พวกมือปราบอเวจีกำลังมา” นางแมวต้องจำใจงแปลงร่างเป็นเด็กสาวในชุดเหลืองเพื่อช่วยเหลือถงฉี
ชายหนุ่มมองสตรีน้อยที่คล่องแคล่วไปเสียทุกอย่าง และยังมีกุญแจไขกรงขังของเขาด้วย
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร สตรีน้อยชุดเหลือง”
“ข้า...” อิ้งเยว่ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร จึงกล่าวว่า “พาท่านหนีอย่างไรเล่า ขืนอยู่ในนี้ต่อไปท่านได้ไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้แน่นอน”
“แล้วเหตุใดต้องหนี หากเราทำเรื่องที่ถูกต้อง”
“เฮ้อ ท่านไม่รักชีวิตของตนหรืออย่างไร” นางว่าจบจึงไขประตูกรงขังเรียบร้อย
“แต่ข้าเกิดมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น” ถงฉียืนยันด้วยน้ำเสียงเข้ม
“เฮอะ หากสิ้นลมหายใจ ท่านยังจะช่วยผู้ใดได้”
นางกล่าวจบก็จับจูงมือเขาให้ก้าวออกจากห้องขัง ในขณะที่สืบเท้าผ่านห้องอื่นๆ ถงฉีก็ใจคอไม่สู้ดี เพราะมีหมอทั้งชายหญิงหลายคนที่อยู่ตามห้องต่างๆ คนเหล่านั้นกำลังถูกพิษร้ายเล่นงาน
“ข้าควรช่วยเหลือพวกเขา”
อี้เยว่หันมาตวาดใส่ถงฉีด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทันที
“รักษาตัวท่านเองก่อนเถิดหมอยา เท่าที่ข้าเห็น คนพวกนี้เกินเยียวยาแล้ว!” นางเอ่ยจบก็สกัดจุดไม่ให้เขาพูด แล้วลากให้ออกวิ่งตาม