ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่า ๆ จางหนิงคิดว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะเข้านอน เธอเปิดกระเป๋าเอาถุงกระดาษสีน้ำตาลออกมา ภายในนี้มีเศษกระดาษถูกฉีกขาดอยู่หลายแผ่น
นี่คือลายมือของผู้เป็นพ่อ เมื่อก่อนเขาทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่เนื่องจากความวุ่นวายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยถูกปิด พวกยุวชนแดงที่มีความคิดสุดโต่งได้บุกค้นบ้านของพวกเขา หนังสือและงานเขียนของผู้เป็นพ่อถูกกลุ่มยุวชนแดงฉีกขาดบางส่วนก็ถูกไฟเผา
มันเป็นของดูต่างหน้าไม่กี่ชิ้นของผู้เป็นพ่อ ร่างเดิมจึงพกติดตัวมาด้วยตลอด จางหนิงเห็นว่าหากเก็บไว้เช่นนี้เศษกระดาษอาจจะยับยู่ยี่ยิ่งกว่าเดิมเธอจึงใช้กาวแป้งเปียกแปะติดกระดาษที่ฉีกขาดเข้าด้วยกัน และเย็บรวมกันเป็นเล่มหนังสือ
กว่าทุกอย่างจะเสร็จก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม หญิงสาวจึงรีบปิดไฟเข้านอน
…..
ฝ่ายฉู่หยางหลังจากกลับห้องชายหนุ่มก็ไม่ได้นอนหลับในทันทีเช่นกัน ในหัวของเขานั้นเอาแต่คิดถึงคนที่อยู่ในห้องฝั่งตรงข้าม
ในตอนแรกเขาแค่คิดว่าจะให้ที่อยู่ ให้ข้าวและน้ำกับจางหนิงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อได้พบกับเธอจริง ๆ เขาก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่ต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างมาก
ฉู่หยางไม่ปฏิเสธว่าตนเองนั้นค่อนข้างเป็นห่วงเธอ บ้านพักในค่ายทหารยังไม่มีไฟฟ้า อีกฝ่ายเป็นคนขี้กลัวออกขนาดนั้นไม่รู้ว่าจะนอนหลับได้หรือเปล่า
ชายหนุ่มเปิดประตูห้องไปดูและพบว่าห้องฝั่งตรงข้ามยังคงจุดตะเกียงเอาไว้ เขานั่งรออยู่สักพัก ขณะที่กำลังจะไปเคาะประตูห้องเพราะเห็นว่าเธอยังไม่นอน อีกฝ่ายก็ดับตะเกียงไปก่อนพอดี
'คงจะนอนหลับแล้วสินะ’
ชายหนุ่มมองประตูห้องของเธอสักพัก ก่อนที่จะกลับเข้าห้องของตนเองไป
…..
ในช่วงกลางดึกจางหนิงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพราะพายุฝนฟ้าคำรามดังขึ้นที่นอกตัวบ้าน บรรยากาศในเวลานี้มืดมิดไม่มีแสงไฟใด ๆ เสียงลมหวีดหวิวดังผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา
จางหนิงลืมตาขึ้นมาในความมืด เธอมองไปรอบ ๆ ห้องและเห็นว่าบรรยากาศในเวลานี้ช่างเย็นยะเยือกชวนขนลุก เธอเดินไปจุดตะเกียงแต่ก็พบว่าไม้ขีดไฟในกล่องจุดไม่ติด
หญิงสาวไม่อยากตกอยู่ในความมืดจึงเปิดประตูเดินออกมาจากห้องเพื่อจะไปหาไม้ขีดไฟที่อยู่ตรงโต๊ะห้องนั่งเล่น
แต่เพราะว่าทุกอย่างมันมืดมากจึงทำให้หญิงสาวมองไม่เห็นทางจึงทำให้หน้าแข้งของตัวเองสะดุดกับขาโต๊ะอย่างเต็มแรง
ตึงงงง!
“โอ้ยยย” หญิงสาวนั่งลงไปกับพื้นรู้สึกเจ็บน้ำตาแทบไหล และทันใดก็มีแขนที่แข็งแรงคู่หนึ่งอุ้มเธอขึ้นมา และพาไปนั่งที่บนเก้าอี้
ฉู่หยางเดินไปจุดตะเกียงในห้องนั่งเล่น ก่อนจะหันมาตำหนิอีกฝ่าย "ทำไมถึงไม่อยู่ในห้อง!"
จางหนิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย "ไม้ขีดไฟในห้องจุดไม่ติดค่ะ ฉันเลยมาหาแถวโต๊ะที่นั่งเมื่อตอนเย็น”
เมื่อมองคนตัวเล็กกว่าที่ตอนนี้ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ชายหนุ่มก็ไม่กล้าพูดเสียงดังใส่เธออีก เขาเดินไปหยิบกล่องไม้ขีดไฟให้กับอีกฝ่าย
“ขอบคุณค่ะ” จางหนิงเอื้อมมือไปรับ และตอนนั้นปลายนิ้วของพวกเขาก็สัมผัสกันพอดี ความรู้สึกที่เหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านทำให้คนทั้งคู่ต่างหยุดชะงัก
พวกเขามองตากันสักพักหนึ่ง ก่อนที่ฉู่หยางจะเป็นฝ่ายเบือนสายตาหนี "เธอรีบไปนอนเถอะ” พูดจบเขาก็รีบดับตะเกียงในห้องนั่งเล่นและเดินเข้าห้องของตัวเองไปทันที
จางหนิงมองดูอีกฝ่ายที่รีบร้อนปิดประตูโดยไม่หันมองเธอ ‘ดูท่าว่าเขาก็ไม่ได้ไร้ความรู้สึกเสียทีเดียว’ หญิงสาวคิดกับตัวเองในใจ ก่อนจะเดินเข้าห้องของตัวเองไปด้วยความพึงพอใจที่ได้เห็นปฏิกิริยาของเขาเป็นเช่นนี้