ปรางทิพย์ตื่นแปดโมงเช้า ตื่นเพราะได้ยินเสียงหลานชายร้องไห้ หญิงสาวเศร้าใจ เสียงแม่ปลอบหลายชาย ไม่นานเสียงก็เงียบไป ป่านนี้คงได้กินนมแล้ว นึกขึ้นได้ว่าอานนท์จะมารับไปถวายเพลที่วัด รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เธอเลือกสวมชุดเดรสยาวสีดำแขนสั้นแบบเรียบๆดูหน้าตัวเองในกระจกแล้วแทบดูไม่ได้ หน้าซีด แววตาไม่สดใส แค่สองวันเธอซูบลงไปเยอะเลย ช่างมันเถอะเวลานี้ไม่ใช่จะต้องสวย มีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำและสำคัญมาก
“แม่เสร็จหรือยังคะ หลานเป็นยังไงบ้าง”
“เสร็จแล้วลูก เมื่อคืนแม่ได้นอนนานหน่อย พยาบาลเขาดูแลหลานให้ ตื่นมาร้อง กินนมอิ่ม หลับไปอีกรอบแล้ว”
“ปรางทิพย์เข้าไปหาหลานชาย ที่ตอนนี้หลับปุ๋ย จะรู้ไหมนะว่าแม่ได้จากไปแล้ว”
“ปรางออกไปรับคุณอานนท์หน่อยลูก รู้สึกว่าจะมาเร็วกว่าที่นัดกันไว้นะ”
“ค่ะแม่”
ปรางทิพย์ออกมาด้านนอก รถตู้คันใหญ่มาจอดสักครู่แล้ว อานนท์ลงมาจากรถ หญิงสาวยกมือไหว้เขา ยังไงเขาก็อายุมากกว่า
“สวัสดีค่ะ คุณอานนท์”
“ครับ ผมมาเร็วพอดีแม่ผมมาด้วย ท่านอยากมาแสดงความเสียใจด้วยครับ”
ปรางทิพย์มองเลยหลังของอานนท์ไป เห็นว่ามีหญิงสูงอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอ สวมชุดสีดำ แต่งหน้าตาสวยสมวัยสมฐานะ ดูมีเมตตา หญิงผู้นั้นจ้องมองมาที่เธอ หญิงสาวยกมือไหว้
“แม่ผมครับ คุณบุษบา”
“ป้าแสดงความเสียใจด้วยนะจ๊ะหนูปรางทิพย์ อานนท์เล่าเรื่องทุกอย่างให้ป้าฟังหมดแล้ว”
“ขอบพระคุณมากค่ะคุณป้า เชิญเข้าไปด้านในก่อนค่ะ”
ปรางทิพย์เดินนำสองแม่ลูกเข้าไปภายในบ้าน
“ใครหรือแม่ปราง”นางปวีณาออกมาต้อนรับอานนท์และหญิงสูงอายุแปลกหน้านางไม่เคยรู้จัก
“แม่คะ คุณบุษบา คุณแม่ของคุณอานนท์ค่ะ ท่านมาแสดงความเสียใจกับเราเรื่องของอุสา”
“สวัสดีค่ะคุณบุษบา ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ และขอบคุณมากที่อุตสาห์มา”
“อานนท์เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังหมดแล้ว เสียใจด้วยนะคะกับเรื่องของลูกสาวคนเล็ก”
สองแม่ลูกน้ำตาคลออีกครั้ง สองวันแล้ว เหตุการณ์ยังใหม่มาก ไม่มีใครทำใจได้หรอก ยิ่งมีกันแค่สองตนแม่ลูก ไม่มีญาติที่กรุงเทพฯเลย ส่วนมากอยู่ต่างจังหวัด และหลายคนไม่สะดวกมา นางปวีณาไม่บอกอดีตสามี
ปรางทิพย์เองก็ไม่ส่งข่าวให้พ่อรู้ เธอถือว่าพ่อได้ตัดขาดจากเธอทั้งสามคนไปหลายปีแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องติดต่อกัน ถึงจะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าก็เถอะ ใครจะว่าเธอร้ายก็ช่าง ยังไงเธอก็ไม่ลืม วันที่พ่อทิ้งไปอยู่กับคนอื่น
คุณบุษบาเห็นใจสองแม่ลูก ตามทั้งสองคนเข้าไปภายในบ้าน เหลือบไปเห็นเด็กชายตัวน้อยนอนหลับปุ๋ยอยู่บนที่นอน เห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นลูกชายของปราโมทย์ คุณบุษบาได้ยินข่าวเรื่องปราโมทย์กับอุสาวดี ผ่านคำบอกเล่าของลูกชายบ่อยๆ
“หลานชายหลับปุ๋ยเลยนะคะ หน้าตาน่าเอ็นดูจัง”
“ขอบคุณมากนะคะคุณบุษบา ขอบคุณที่มา เราสองคนแม่ลูกไม่มีใคร อยู่กันลำพังสี่คน อุสาวดีไม่อยู่แล้ว เราก็เหลือกันอยู่แค่สามคน สงสารก็แต่หลานชายค่ะ ที่ต้องมากำพร้าแม่”
“เราต้องทำใจนะคะคุณปวีณา หนูปรางทิพย์ ชีวิตข้างหน้ายังต้องดำเนินต่อไป เลี้ยงดูและสั่งสอนเขาให้ดี เริ่มต้นใหม่นะคะ ฉันกับลูกชายเป็นกำลังใจให้ ฉันพอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหนูอุสาวดีมาบ้าง แต่เชื่อนะคะว่าฉันกับลูกชายไม่ได้อยู่ข้างเขา ไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ พอรู้ข่าวฉันตกใจมาก ไม่คิดว่าสองแม่ลูกนั่นจะคิดทำเรื่องแบบนี้ “
“ขอบคุณนะคะคุณบุษบา ฉันเข้าใจทุกอย่างเข้าใจทุกคนค่ะ ไม่ได้โทษใครเลย”
คุณบุษบามองหน้านางปวีณา เข้าใจว่าคิดยังไง คนรุ่นเดียวกันมองต่างกับคนรุ่นใหม่ ดูแล้วปรางทิพย์เป็นตัวของตัวเอง คนแบบนี้ไม่ง้อใคร แต่ที่ต้องยอมอานนท์เพราะเหตุการณ์พาไป อานนท์เข้ามาช่วงที่ปรางทิพย์อ่อนแอพอดี ไม่งั้นคงเข้าหายาก คนลักษณะแบบนี้รักก็รักเกลียดก็เกลียด น่าจะนิสัยเหมือนตัวท่านแน่นอน นิสัยแบบปรางทิพย์ต้องเจอกับอานนท์ไม่งั้นก็เอาไม่อยู่ ก็ไม่แน่หรอกเสร็จงานก็อาจจะต่างคนต่างไป ไม่อยากจะเชื่อว่าอานนท์จะจริงจัง เพราะเหมือนว่าเพิ่งได้พูดคุยกัน ฝ่ายปรางทิพย์เองก็ดูจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่ามีคนสนใจ
อานนท์พาทุกคนเดินทางไปวัด ช่วงถวายเพลมีเฉพาะญาติเท่านั้น พยาบาลสองคนที่เขาว่าจ้างมา ดูแลหลานน้อยตลอดเวลาอย่างดี
เสร็จจากถวายเพล อานนท์มาส่งครอบครัวปรางทิพย์ที่บ้าน เขากับแม่อยู่พูดคุยสักพัก ก่อนจะขอตัวกลับไป บอกปรางทิพย์ว่าห้าโมงเย็นจะมารับไปวัด
“คุณปวีณากับหนูปรางทิพย์ไม่ต้องเกรงใจนะ เราเห็นใจและอยากช่วย อานนท์เขารู้สึกผิดที่ผ่านมาเขาห้ามปราโมทย์ไม่ได้ ก็อย่างว่า มันเป็นเรื่องภายในครอบครัว เราเป็นคนนอก ไปยุ่งมากก็ไม่ดี“
“ฉันเข้าใจค่ะ เราสองคนเกรงใจมากเป็นญาติกันก็ไม่ใช่ แต่ให้ความช่วยเหลืออย่างดี แค่นี้ก็รู้สึกเกรงใจมากๆแล้วค่ะ”นางปวีณาพูดอย่างที่ใจคิด เพราะความจริงเหมือนว่าพึ่งรู้จักกัน
“ไม่เป็นไรๆงั้นเดี๋ยวฉันกลับบ้านก่อน คืนนี้จะไปอยู่เป็นเพื่อนที่วัด เป็นกำลังใจนะหนูปรางทิพย์ ไม่ต้องเศร้าแล้วนะลูก เข้มแข็งนะจ๊ะ เรายังมีแม่กับหลานที่ต้องดูแล”
“ขอบคุณมากค่ะคุณป้า”
ปรางทิพย์รับปากคุณบุษบาไปอย่างนั้นแหละ ใจของเธอยังมีความโกรธและแค้นปราโมทย์ และเธอจะไม่ให้มันหายไปง่ายๆแน่นอน นอกจากว่าเขาจะเลิกมายุ่งกับหลานของเธอ
หลังสองแม่ลูกกลับไปแล้ว ปรางทิพย์ไม่มีเวลาที่จะคิดอะไร เธอรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จแล้วแวะไปดูหลาน เห็นพยาบาลสองคนดูแลหลานชายอย่างดี ก็สบายใจ เลยไปหาแม่ในห้องนั่งเล่น นางปวีณาอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ นอนพักผ่อนอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ปรางทิพย์นอนลงที่โซฟาอีกตัวแล้วเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
สะดุ้งตื่นเมื่อมีสายเข้า อานนท์นั่นเองที่โทรมาปลุก เหมือนเขารู้ว่ายังไงเธอก็ต้องหลับ บอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะมารับ เธอกับแม่หลับไปเกือบสามชั่วโมง ร่างกายสดชื่นขึ้นมาทันที
ห้าโมงตรงอานนท์มาพร้อมรถตู้คันเดิม คุณบุษบาไม่ได้มาด้วย เขามากับคนขับรถ ไม่มีบทสนทนาอะไรมากมาย เหมือนเขาทำตามหน้าที่ๆรับปากเธอไว้ เธอเองก็ยังอยู่ในช่วงสูญเสีย อยู่ๆเขาก็เข้ามาช่วยเหลือ แถมเมื่อเช้าแม่เขาก็มา สองคนแม่ลูกมีทีท่าแสดงอาการว่าเป็นห่วงเป็นใยเห็นใจเธอกับแม่ และเธอไม่ควรระแวงสองแม่ลูก ควรที่จะระแวงว่า ปราโมทย์กับแม่ของเขาจะมาวุ่นวายที่งานหรือเปล่า ถ้ามาเธอจะไม่ยอมแน่นอน ไม่แม้แต่จะให้เข้ามาไหว้ขอขมา จะไม่ให้โอกาสสองคนแม่ลูกเลย
“แม่ไม่ได้มาด้วยนะครับ ท่านบอกจะให้คนรถที่บ้านไปส่งเอง”
“ค่ะ เกรงใจนะคะคุณอานนท์ จริงๆไม่ต้องลำบากมาก็ได้”นางปวีณาต้องเป็นคนพูด เพราะปรางทิพย์ไม่พูดอะไรเลย ลูกสาวนางนั่งนิ่ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า แม่ผมท่านเต็มใจ ท่านเห็นใจอุสาวดีมากครับ”
คุณน้าครับ ปรางทิพย์ คืนนี้ไม่แน่ปราโมทย์กับคุณน้าดารารายจะมาที่งานนะครับ”
สองแม่ลูกเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร อานนท์เห็นแล้วมือที่วางอยู่บนตักของปรางทิพย์สองข้างกำแน่นจนเห็นเส้นเลือด เขารู้แล้วว่าคืนนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน
ปราโมทย์โทรหาเขาเมื่อคืน บอกว่าเสียใจกับเรื่องของอุสาวดี เขาไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ และเขาอยากมาขออโหสิกรรม และยังยืนยันคำเดิมว่าต้องการนำลูกไปเลี้ยงเอง บอกว่าเขามีศักยภาพเลี้ยงลูกได้มากกว่าฝั่งแม่ยาย ที่สำคัญขอร้องให้เขาพูดกับแม่ยายและปรางทิพย์เรื่องลูกให้หน่อย เชื่อว่า ทั้งสองคนจะเชื่ออานนท์ แต่เขาไม่ได้รับปากอะไร
คืนนี้เป็นการสวดอภิธรรมคืนที่สอง เพื่อนๆของอุสาวดีต่างก็มาร่วมงานมากมาย รอบบริเวณงานคนของอานนท์ ยังคงคอยดูความเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา
อีกหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลาทำพิธี ปรางทิพย์ยืนรับแขกปกติ คืนนี้เป็นคืนที่สองคนเยอะกว่าคืนแรก คุณบุษบาและนางปวีณานั่งอยู่ในศาลา โดยมีพยาบาลสองคนคอยดูแลก้องภพ และนางปวีณาตลอด
อีกสามสิบนาทีก่อนที่จะเริ่มพิธีการ รถเก๋งคันใหญ่สีดำวิ่งมาจอดหน้าศาลา คุณดารารายและปราโมทย์ก้าวลงมาจากด้านหลังรถ ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้ก้าวเดินเพื่อเข้าไปในศาลา ก็ต้องตกใจกับเสียงที่ดังมาก่อนตัวของปรางทิพย์
"ออกไปจากที่ตรงนี้เลยนะทั้งสองคน ฉันไม่ต้อนรับ มาทางไหนก็ไปทางนั้นเลย ออกไปเดี๋ยวนี้"
สองแม่ลูกตกใจ กับสิ่งที่ได้ยินและได้เห็น ภาพของปรางทิพย์ซึ่งทั้งคู่จำได้ว่าเป็นพี่สาวของอุสาวดีที่ตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ หญิงสาวใส่ชุดเดรสสีดำ ยืนนิ่งในมือของเธอถือวัตถุสีดำแบบสั้นเล็งมาที่สองคนแม่ลูก นั่นทำให้นางดารารายหลบอยู่หลังลูกชาย พยายามดึงแขนปราโมทย์ให้กลับไปที่รถ
"ปรางทิพย์ เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันจะมาขออโหสิกรรม ขอฉันเข้าไปไหว้ครั้งสุดท้ายได้ไหม เราคุยกันได้นะปรางทิพย์"
"ออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันจะนับหนึ่งถึงสามถ้าไม่รีบไปฉันยิง"
"ปราโมทย์กลับเถอะลูก แม่นี่ยิ่งบ้าอยู่นะ จำไม่ได้เหรอว่าวันก่อนมันไปอาละวาดที่บ้านเรา มันร้ายนะ"
"หุบปาก ไม่ต้องพูด ที่ฉันต้องร้ายเพราะคนอื่นมันร้ายกับน้องฉัน ฉันปกป้องน้องฉัน หนึ่ง......สอง......"ปรางทิพย์ก้าวขาเดินเข้าไปหาสองแม่ลูกพร้อมกับนับ และก่อนที่หญิงสาวจะนับถึงสาม มีมือใหญ่อ้อมมาจากทางด้านหลังของเธอ แย่งปืนหลุดจากมือ และรวบแขนทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ด้านหลัง ปรางทิพย์หงายหลังไปปะทะกับแผ่นอกกว้าง
"ปรางทิพย์ใจเย็นๆนี่เอาปืนมาจากไหน "อานนท์นั่นเองเขามองมาจากศาลา นางปวีณาและแม่ของเขาแทบวิ่งไปหาเขาที่กำลังคุยกับเจ้าอาวาสเรื่องงานพิธี บอกว่าคุณดารารายและปราโมทย์มาที่งาน และปรางทิพย์กำลังตรงไปหาสองแม่ลูก ถือกระเป๋าสีดำลงไปด้วย และนางปวีณารู้ว่าเป็นกระเป๋าอาวุธ บอกอีกว่า ปรางทิพย์ยิงปืนแม่นมาก เขาเกือบออกมาไม่ทัน เห็นท่าทางของปรางทิพย์แล้วเขาตกใจมาก ทำไมผู้หญิงคนนี้กล้าจริงๆเลย ทำไมไม่ควบคุมอารมณ์ นี่งานของน้องสาวตัวเองแท้ๆ