“เป็นไรของมึงวะ ไม่สบายเหรอ” คำถามปนห่วงใยเอ่ยพร้อมกับอังฝ่ามือลงบนหน้าผากเพื่อวัดอุณภูมิร่างกายผม
“ไม่ได้เป็นไร เบื่อ ๆ”
“เบื่อเหี้ยไรมึง เห็นอยู่ว่าตัวร้อนยังจะปากเก่งอีก”
“เออ เรื่องของกูช่างมันเถอะ มึงน่ะเป็นอะไร”
“เป็นคนอกหักมั้ง”
“อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“ไอ้ห่านี่ซ้ำเติมเก่ง”
เราเป็นเพื่อนกันครับ ก่อนหน้านี้ผมมันเป็นพวกไม่คบใคร ไม่สุงสิงกับใคร เพราะชีวิตที่ถูกบังคับให้อยู่แต่ในกรอบมันเลยทำให้ผมไม่มีสังคมเพื่อนเหมือนคนอื่น จนมาเจอมันนี่แหละ
“ไอ้ภาม กูถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่า?”
“มึงชอบกูเหรอ? มึงคิดอะไรกับกูหรือเปล่า”
“...”
“ไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ แต่กูเป็นผู้ชายและกูชอบผู้หญิง”
“ใครบอกว่ากูชอบมึง?”
“มึงไง ... ความรู้สึกของมึงมันบอก”
“ไม่รู้ดิ กูก็ไม่เคยคาดหวังให้มึงคิดกับกูเกินคำว่าเพื่อนหรอกนะ”
“เออ”
มันเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมล่ะครับ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย หลังจากวันนั้นมันก็ค่อย ๆ ถอยห่างออกไป จากเพื่อนสนิทก็เหลือเพียงเพื่อนเคยสนิทเท่านั้นเอง
ถามว่าผมเป็นเกย์เหรอ? ตอบได้เต็มปากว่าไม่ใช่ ผมก็ผู้ชายคนหนึ่งมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่แปลกที่ไม่ได้รู้สึกชอบผู้หญิง จะอธิบายยังไงดีล่ะ มันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือตื่นตัวกับเพศตรงข้ามมากกว่า แต่กับไอ้อาร์มมันต่างออกไป... แต่ช่างเถอะนั่นมันผ่านไปแล้ว
แค่เพียงไม่นานผมก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหันไปสนใจด้านอื่นแทน อยากรู้อยากค้นหาว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่
“จะยังไงก็ช่าง! แกต้องเรียน” น้ำเสียงแกรมบังคับเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“แล้วผมบอกพ่อตอนไหนว่าผมจะไม่เรียน?”
“แล้วแกจะเอายังไง? บริหารก็ไม่เอา รั้นอยากเรียนวิศว แล้วยังไง? ก็ไม่เอาอีก ไปไม่รอด!! การเรียนมันสำคัญแค่ไหนแกรู้ไหม”
“รู้สิครับ แต่พ่อเองก็ควรจะให้ผมมีโอกาสได้ค้นหาตัวเองบ้างไม่ใช่เอาแต่ปูทางและคาดหวังว่าผมจะต้องเป็นอย่างนั้นจะต้องเป็นอย่างนี้”
“...”
ตั้งแต่เล็กจนโตผมมักถูกชี้นำอยู่เสมอ การเป็นลูกคนเดียวมันไม่ได้ดีอย่างที่ใครหลาย ๆ คนคิดเอาซะเลย การถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนไม่มีหัวคิดนักหรอก เพราะไม่มีสิทธิ์ทำตามสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้เลย
“ใจเย็น ๆ นะคะคุณ ลูกก็ด้วยนะภาม ที่พ่ออยากให้ภามเรียนบริหารตั้งแต่แรกเพราะอยากให้ภามเรียนตรงสายงานเพื่อที่จะดูแลบริษัทดูแลกิจการของครอบครัวเรานะลูก” แม่ก็ยังคงเป็นแม่ที่พยายามโน้มน้าวผมมาตลอด แต่ดีหน่อยที่ไม่เอาแต่ขู่บังคับเหมือนพ่อ
“ทำไมทุกคนถึงเอาแต่คิดแทนผมล่ะ จนป่านนี้ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดแบบไหนหรือมีความสามารถด้านไหนกันแน่”
“ได้!! ถ้าอย่างนั้นก็ได้... ภายในหนึ่งปีนี้แกต้องค้นหาตัวเองให้เจอ อยากทำอะไร ชอบแบบไหน ไปได้เลย แต่ถ้าไม่รอดฉันก็มีทางเลือกไว้ในใจแล้วเหมือนกัน”
“...” นี่คงจะเป็นการยื่นคำขาดสินะ
“ภาม...”
“ผมขอตัว” จบประโยคก็แยกตัวออกมาเหมือนคนไร้มารยาท
การถูกคาดหวังมันทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองแบบนี้สินะ ...
เป็นเวลาหลายวันที่เอาแต่ครุ่นคิดว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่มีทุกอย่าง เงินทองบ้านรถ แต่กลับไม่มีความสุขอย่างที่คิด หรือบางทีผมควรจะลองมองอะไรที่มันไม่สูงเกินตัวเองดูบ้าง?
คิดได้แบบนั้นจึงเริ่มมองหาสาขาอาชีพที่ธรรมดาแต่สามารถต่อยอดทำให้ชีวิตมีคุณภาพขึ้นได้ ผมใช้เวลาอยู่หลายวันในการเลือกมัน ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ครับ ผมจะเรียนบริหารแต่เลือกภาควิชาการเงินและธนาคาร
วันแรกของการมาเรียนถึงแม้จะต่างสถานที่แต่บรรยากาศมันก็คงเดิม สำหรับคนไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม อะไร ๆ มันก็ดูน่าเบื่อไปหมด
“ข้างเธอมีใครจองไว้ไหม” ผมเอ่ยถามผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อเข้ามาในห้อง
“ไม่มีอ่ะ นั่งสิ” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ที่ผมนั่งใกล้ผู้หญิงน่ะ ถัดจากเธอก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งครับดูท่าทางแล้วเขาสองคนน่าจะสนิทกันหรือเป็นเพื่อนซี้กันนะ
ระหว่างเรียนผมยังคงเงียบไม่หือไม่อือกับใคร มีเพียงสองคนนั้นที่ถามไถ่กันตลอดจนกระทั่งหมดชั่วโมงเรียน
“หิวอ่ะ ไปหาอะไรกินกัน” หนึ่งในสองพูดขึ้น
“ไปดิ เอ่อ... นายไปด้วยกันไหม?” ประโยคนี้เธอหันมาถามผม
“พวกเธอชวนเราเหรอ?”
“เออดิ ไม่ต้องงงเราชื่อแนน ส่วนนี่น้ำตาล” คนข้าง ๆ เอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง
“เราภามนะ”
“ภามเป็นอะไรหรือเปล่า ดูไม่ค่อยอยากพูดคุยกับใครเลย หรือว่ารำคาญเราสองคน” น้ำตาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ใช่อย่างนั้น เราเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนน่ะ” ความจริงแล้วไม่มีเลยต่างหาก
“...”
“คือเราชอบผู้ชาย...” ผมพูดไปอย่างไม่คิดอะไรมาก ความจริงแค่อยากเห็นปฏิกิริยาของสองสาวตรงหน้าเท่านั้นเอง
“แล้วยังไงต่อ? นี่อย่าบอกนะว่าไม่กล้าเข้าสังคมเพราะเรื่องนี้อ่ะ” แนนเอ่ยอย่างรู้ทัน แต่ความจริงไม่ใช่เลย ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร
เมื่อเห็นว่าสองคนตรงหน้าเข้าหาอย่างเป็นมิตร ผมจึงเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ทั้งสองฟังแถมยังแอบโกหกว่าตัวเองเป็นเกย์อีกด้วย แค่อยากรู้ความคิดและมุมมองของผู้หญิงบ้างเท่านั้นเอง
“โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่รังเกียจมาเป็นเพื่อนกับพวกเราก็ได้ แต่อาจจะบ้าบอไปหน่อย ฮ่า ๆ” แนนเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะ
ตั้งแต่อนุบาลนี่ก็คงเป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อนแล้ว ถือเป็นก้าวแรกของการออกนอกกรอบแล้วกันนะ ส่วนเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ วันข้างหน้าเรื่องราวเหล่านั้นคงไม่มีผลอะไรกับชีวิตผมหรอกมั้ง