Episode-๐๑ เพื่อนสนิท

1124 คำ
“เป็นไรของมึงวะ ไม่สบายเหรอ” คำถามปนห่วงใยเอ่ยพร้อมกับอังฝ่ามือลงบนหน้าผากเพื่อวัดอุณภูมิร่างกายผม “ไม่ได้เป็นไร เบื่อ ๆ” “เบื่อเหี้ยไรมึง เห็นอยู่ว่าตัวร้อนยังจะปากเก่งอีก” “เออ เรื่องของกูช่างมันเถอะ มึงน่ะเป็นอะไร” “เป็นคนอกหักมั้ง” “อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน” “ไอ้ห่านี่ซ้ำเติมเก่ง” เราเป็นเพื่อนกันครับ ก่อนหน้านี้ผมมันเป็นพวกไม่คบใคร ไม่สุงสิงกับใคร เพราะชีวิตที่ถูกบังคับให้อยู่แต่ในกรอบมันเลยทำให้ผมไม่มีสังคมเพื่อนเหมือนคนอื่น จนมาเจอมันนี่แหละ “ไอ้ภาม กูถามอะไรหน่อยสิ” “ว่า?” “มึงชอบกูเหรอ? มึงคิดอะไรกับกูหรือเปล่า” “...” “ไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ แต่กูเป็นผู้ชายและกูชอบผู้หญิง” “ใครบอกว่ากูชอบมึง?” “มึงไง ... ความรู้สึกของมึงมันบอก” “ไม่รู้ดิ กูก็ไม่เคยคาดหวังให้มึงคิดกับกูเกินคำว่าเพื่อนหรอกนะ” “เออ” มันเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมล่ะครับ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย หลังจากวันนั้นมันก็ค่อย ๆ ถอยห่างออกไป จากเพื่อนสนิทก็เหลือเพียงเพื่อนเคยสนิทเท่านั้นเอง ถามว่าผมเป็นเกย์เหรอ? ตอบได้เต็มปากว่าไม่ใช่ ผมก็ผู้ชายคนหนึ่งมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่แปลกที่ไม่ได้รู้สึกชอบผู้หญิง จะอธิบายยังไงดีล่ะ มันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือตื่นตัวกับเพศตรงข้ามมากกว่า แต่กับไอ้อาร์มมันต่างออกไป... แต่ช่างเถอะนั่นมันผ่านไปแล้ว แค่เพียงไม่นานผมก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหันไปสนใจด้านอื่นแทน อยากรู้อยากค้นหาว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ “จะยังไงก็ช่าง! แกต้องเรียน” น้ำเสียงแกรมบังคับเอ่ยอย่างไม่พอใจ “แล้วผมบอกพ่อตอนไหนว่าผมจะไม่เรียน?” “แล้วแกจะเอายังไง? บริหารก็ไม่เอา รั้นอยากเรียนวิศว แล้วยังไง? ก็ไม่เอาอีก ไปไม่รอด!! การเรียนมันสำคัญแค่ไหนแกรู้ไหม” “รู้สิครับ แต่พ่อเองก็ควรจะให้ผมมีโอกาสได้ค้นหาตัวเองบ้างไม่ใช่เอาแต่ปูทางและคาดหวังว่าผมจะต้องเป็นอย่างนั้นจะต้องเป็นอย่างนี้” “...” ตั้งแต่เล็กจนโตผมมักถูกชี้นำอยู่เสมอ การเป็นลูกคนเดียวมันไม่ได้ดีอย่างที่ใครหลาย ๆ คนคิดเอาซะเลย การถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนไม่มีหัวคิดนักหรอก เพราะไม่มีสิทธิ์ทำตามสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้เลย “ใจเย็น ๆ นะคะคุณ ลูกก็ด้วยนะภาม ที่พ่ออยากให้ภามเรียนบริหารตั้งแต่แรกเพราะอยากให้ภามเรียนตรงสายงานเพื่อที่จะดูแลบริษัทดูแลกิจการของครอบครัวเรานะลูก” แม่ก็ยังคงเป็นแม่ที่พยายามโน้มน้าวผมมาตลอด แต่ดีหน่อยที่ไม่เอาแต่ขู่บังคับเหมือนพ่อ “ทำไมทุกคนถึงเอาแต่คิดแทนผมล่ะ จนป่านนี้ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดแบบไหนหรือมีความสามารถด้านไหนกันแน่” “ได้!! ถ้าอย่างนั้นก็ได้... ภายในหนึ่งปีนี้แกต้องค้นหาตัวเองให้เจอ อยากทำอะไร ชอบแบบไหน ไปได้เลย แต่ถ้าไม่รอดฉันก็มีทางเลือกไว้ในใจแล้วเหมือนกัน” “...” นี่คงจะเป็นการยื่นคำขาดสินะ “ภาม...” “ผมขอตัว” จบประโยคก็แยกตัวออกมาเหมือนคนไร้มารยาท การถูกคาดหวังมันทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองแบบนี้สินะ ... เป็นเวลาหลายวันที่เอาแต่ครุ่นคิดว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่มีทุกอย่าง เงินทองบ้านรถ แต่กลับไม่มีความสุขอย่างที่คิด หรือบางทีผมควรจะลองมองอะไรที่มันไม่สูงเกินตัวเองดูบ้าง? คิดได้แบบนั้นจึงเริ่มมองหาสาขาอาชีพที่ธรรมดาแต่สามารถต่อยอดทำให้ชีวิตมีคุณภาพขึ้นได้ ผมใช้เวลาอยู่หลายวันในการเลือกมัน ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ครับ ผมจะเรียนบริหารแต่เลือกภาควิชาการเงินและธนาคาร วันแรกของการมาเรียนถึงแม้จะต่างสถานที่แต่บรรยากาศมันก็คงเดิม สำหรับคนไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม อะไร ๆ มันก็ดูน่าเบื่อไปหมด “ข้างเธอมีใครจองไว้ไหม” ผมเอ่ยถามผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อเข้ามาในห้อง “ไม่มีอ่ะ นั่งสิ” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ที่ผมนั่งใกล้ผู้หญิงน่ะ ถัดจากเธอก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งครับดูท่าทางแล้วเขาสองคนน่าจะสนิทกันหรือเป็นเพื่อนซี้กันนะ ระหว่างเรียนผมยังคงเงียบไม่หือไม่อือกับใคร มีเพียงสองคนนั้นที่ถามไถ่กันตลอดจนกระทั่งหมดชั่วโมงเรียน “หิวอ่ะ ไปหาอะไรกินกัน” หนึ่งในสองพูดขึ้น “ไปดิ เอ่อ... นายไปด้วยกันไหม?” ประโยคนี้เธอหันมาถามผม “พวกเธอชวนเราเหรอ?” “เออดิ ไม่ต้องงงเราชื่อแนน ส่วนนี่น้ำตาล” คนข้าง ๆ เอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง “เราภามนะ” “ภามเป็นอะไรหรือเปล่า ดูไม่ค่อยอยากพูดคุยกับใครเลย หรือว่ารำคาญเราสองคน” น้ำตาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ใช่อย่างนั้น เราเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนน่ะ” ความจริงแล้วไม่มีเลยต่างหาก “...” “คือเราชอบผู้ชาย...” ผมพูดไปอย่างไม่คิดอะไรมาก ความจริงแค่อยากเห็นปฏิกิริยาของสองสาวตรงหน้าเท่านั้นเอง “แล้วยังไงต่อ? นี่อย่าบอกนะว่าไม่กล้าเข้าสังคมเพราะเรื่องนี้อ่ะ” แนนเอ่ยอย่างรู้ทัน แต่ความจริงไม่ใช่เลย ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร เมื่อเห็นว่าสองคนตรงหน้าเข้าหาอย่างเป็นมิตร ผมจึงเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ทั้งสองฟังแถมยังแอบโกหกว่าตัวเองเป็นเกย์อีกด้วย แค่อยากรู้ความคิดและมุมมองของผู้หญิงบ้างเท่านั้นเอง “โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรนะ ถ้าไม่รังเกียจมาเป็นเพื่อนกับพวกเราก็ได้ แต่อาจจะบ้าบอไปหน่อย ฮ่า ๆ” แนนเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะ ตั้งแต่อนุบาลนี่ก็คงเป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองมีเพื่อนแล้ว ถือเป็นก้าวแรกของการออกนอกกรอบแล้วกันนะ ส่วนเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ วันข้างหน้าเรื่องราวเหล่านั้นคงไม่มีผลอะไรกับชีวิตผมหรอกมั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม