“ถึงจะมีคนบริจาคจริงอย่างที่แพรว่า แต่เราจะไปหาเงินค่าผ่าตัดมาจากที่ไหนล่ะแพร” ความดีใจแค่เพียงชั่ววูบกลับต้องดับสลายลงไปอีกครั้งเมื่อผู้เป็นแม่นั้นนึกถึงค่าใช้จ่ายที่เพียงลำพังงานประจำที่พิชญานั้นทำอยู่คงจะไม่มีวันพอเป็นแน่
“คุณท่านยังไงล่ะจ๊ะแม่ ท่านจะช่วยเรา แต่...”
คำตอบที่ดังขึ้นค่อยๆ แผ่วเบาลงอย่างเชื่องช้า หากจะบอกไปตามความจริงผู้เป็นแม่คงไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน แต่หากจะโกหกออกไปก็ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำพูดแบบไหนดีที่มันจะพอทำให้ผู้เป็นแม่เชื่อคำเธอได้อย่างสนิทใจ หญิงสาวครุ่นคิดอยู่นานจนกระทั่งผูเป็นแม่เกิดสงสัยเข้าจึงได้เอ่ยถามออกไปอีกครึ่งหนึ่ง..
“แต่อะไรเหรอลูก มีอะไรรึเปล่าแพร”
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะแม่ แต่ว่าแพรคงจะต้องเดินทางไปทำงานให้ท่านไกลถึงเกาะแก้วตาเลยนะจ๊ะแม่ เกาะส่วนตัวขอคุณท่าน..” ความจริงนอกเหนือจากนั้นถูกปิดบังเอาไว้เพราะเกรงจะทำให้ผู้เป็นแม่นั้นไม่ยอมตกลงปลงใจเข้ารับการผ่าตัด แม้ภายในใจจะไม่อยากรับคำแต่เมื่อคิดถึงผู้เป็นแม่ที่ไม่ให้แต่เพียงให้ชีวิตแต่ทว่ากลับเป็นทุกสิ่งที่เธอรักและเทิดทูลเหนือสิ่งอื่นใดในโลกใบนี้
หากนี่จะพอทำให้ความหวังที่ลางเลือนเต็มทีในการที่จะกลับมามองเห็นได้อีกครั้งของผู้เป็นแม่นั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ เธอก็พร้อมที่จะยอมสละทุกสิ่ง
แม้ว่าสิ่งนั้นจะเจ็บปวดและเสียเกียรติมากน้อยเพียงใดก็ตามที เธอจะต้องทำมันและจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้!!
“งานอะไรเหรอลูกแพร แล้วมันหนักมากไหมจ๊ะ แล้วนี่หนูจะทำไหวรึเปล่า”วิไลย้อนถามกลับไปอีกครั้งอดเป็นห่วงลูกสาวเพียงคนเดียวของตัวเองขึ้นมาไม่ได้แม้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะเก่งและมีความขยันมากแค่ไหนแต่อย่างไรเสียเธอก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“ก็งานทั่วๆ ไปนั่นแหละจ๊ะแม่ แต่ว่าหนูอาจต้องไปอยู่บนเกาะหลายเดือนในระหว่างที่แม่ผ่าตัด แม่อยู่ได้ใช่ไหมจ๊ะ ระหว่างนั้นคุณท่านจะจ้างพยาบาลมาคอยดูแลแม่ด้วย แม่จะต้องกลับมามองเห็นอีกครั้งให้ได้นะจ๊ะ” เสียงหวานร้องบอกก่อนจะโผเข้าสวมกอดผู้เป็นแม่อีกครั้งหลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำตามคำขอร้องที่มีเงื่อนไขของคุณหญิงโสมรัตน์ที่หยิบยื่นมาให้
พิชญาเฝ้ารอจนถึงเช้าวันใหม่จึงทำใจให้กล้าเดินทางไปยังคฤหาสน์ธีรภรณ์เพื่อขอเข้าพบคุณหญิงโสภาตามแผนที่ที่อีกฝ่ายได้เคยให้เอาไว้เมื่อนานมาแล้ว การปรากฏตัวของหญิงสาวสร้างความดีใจให้กับหญิงชราเป็นอย่างมากต่างจากหญิงสาววัยกลางคนที่นั่งขนาบข้างอย่างสิ้นเชิงที่จดจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างหนัก
“ยังไงเสียเพ็ญก็ยังไม่เห็นด้วยหรอกนะคะคุณแม่ที่คุณแม่จะส่งผู้หญิงหิวโหยเงินอย่างแม่คนนี้ไปที่เกาะเพื่อยั่วตาชรัสให้กลับบ้าน คุณแม่ก็รู้ว่าหลานชายของคุณแม่น่ะเป็นคนหัวรั้นและดื้อมากแค่ไหน กะอีแค่ผู้หญิงหน้าตาจืดๆ คนเดียวจะไปทำอะไรได้” คำพูดที่ดังขึ้นพาลทำรอยยิ้มที่เคยมีหดหายไปอย่างช้าๆ คุณหญิงโสภาส่ายหน้าไปมาอย่างสุดแสนจะอดทนต่อความคิดตื้นๆ ของลูกสะใภ้ที่มักจะคิดอะไรง่ายๆ ไม่ได้มองให้ลึกซึ้งลงไปถึงข้างในที่มีดีกว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นไหนๆ
พิชญานั้นเป็นคนฉลาดและมีจิตใจที่ดีงาม หล่อนจึงเป็นจุดต่างจากหญิงสาวคนไหนๆ ที่ถูกส่งไปที่เกาะแห่งนั้น และเป็นดั่งความหวังเดียวที่เหลืออยู่
“อย่าไปใส่ใจคำพูดของแม่เพ็ญเลยนะหนูแพรไหม ย่าเชื่อมั่นในตัวของหนูเสมอ และเรื่องของวิไลแม่ของหนูหนูเลิกห่วงไปได้เลย ย่าจะคอยดูแลแม่ของหนูให้เป็นอย่างดีแทนในส่วนของหนูด้วย” คุณหญิงโสมรัตน์เอ่ยขึ้นราวกับจะรู้ทันว่าอีกฝ่ายกำลังหนักใจถึงเรื่องใดอยู่ทำเอาผู้ได้ยินถึงกลับน้ำตาคลอในความเมตตากรุณาที่ท่านมีให้ก่อนจะรีบยกมือขึ้นไหว้พร้อมเอ่ยคำขอบคุณที่กลั้นกรองออกมาจากหัวใจทันที..
“ขอบคุณมากนะคะคุณท่าน”
“ยังจะมาเรียกคุณทงคุณท่านอยู่อีก เรียกคุณย่าเถอะจะได้ชินปาก เพราะอีกหน่อยเราคงจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” พิชญานั้นไม่เห็นพ้องตรงกับความคิดของหญิงชราเลยแม้แต่น้อย ความมั่นใจที่ไม่เคยมีมาตอนนี้กลับดิ่งหายลงไปเรื่อยๆ ไม่รู้เลยว่าจะทำเช่นไรภารกิจที่สำคัญนี้ถึงได้สำเร็จ อีกทั้งยังไม่รู้เลยว่ามีอะไรบ้างที่รอเธออยู่ที่เกาะแห่งนั้น..
วันเดินทางมาถึงไวเสียจนน่าใจหาย พิชญาที่ทำได้แต่เพียงนั่งแน่นิ่งมาตลอดการเดินทางบนเรือลำเล็กที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ล่วงหน้าเริ่มมีอาการวิตกกังวลต่างๆ นาๆ ทันทีที่ภาพของเกาะขนาดปานกลางไม่เล็กจนเกินไปและก็ไม่ใหญ่จนเกินไปที่ค่อยๆ ปรากฏต่อสายตาอย่างเชื่องช้าทีละนิดๆ อย่างใจเย็น ดวงตากลมใสจ้องมองอาณาเขตที่กว้างใหญ่ของเกาะตรงหน้าอยู่นานแม้จะทำใจยากลำบากแค่ไหนแต่อย่างไรเสียเธอก็มาไกลเกินกว่าจะก้าวถอยหลังกลับไปได้แล้วในตอนนี้ มีแต่จะต้องทำใจดีสู้เสือข่มเอาความกลัวทั้งหมดที่มีทิ้งลงไปในมหาสมุทรและเรียกเอาความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่ขึ้นมาสู้แทน
ทว่ายังไม่ทันที่เรือลำเล็กจะได้ทันถึงจุดปลายทางทางของมันซึ่งก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่กัปตันเรือซึ่งเป็นเพียงลุงแก่ๆ ธรรมดาคนหนึ่งกลับดับเครื่องขึ้นมาเสียดื้อๆ ทำเอาหญิงสาวเริ่มชักเกิดความสงสัยในสิ่งผิดปกติตรงหน้าก่อนจะจ้องมองชายชราเพื่อต้องการคำตอบว่าเหตุใดถึงไม่ไปต่อทั้งๆ ที่เหลือระยะทางอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงฝั่งอยู่แล้ว
“จอดเรือทำไมเหรอคะลุง” เสียงหวานร้องถามขึ้นอย่าใคร่รู้ภวนาให้เรือแค่เผลอดับไปเท่านั้นเพราะเธอไม่ชอบเอาเสียเลยที่ต้องมาอยู่นิ่งๆ กลางทะเลลึกเช่นนี้ ภาพความทรงจำในวัยเด็กที่เกือบจะจมดิ่งไปกับน้ำลึกผุดขึ้นมาในสมองอย่างเชื่องช้าตอกย้ำเอาความจริงที่ว่าหญิงสาวนั้นกลัวการว่ายน้ำแค่ไหนขึ้นมากะทันหัน ความกลัวเข้าจู่โจมในทันทีก่อนจะได้รับคำตอบที่น่าตกใจในนาทีต่อมาจากชายชราเบื้องหน้า
“เรือมันไปต่อไม่ได้แล้วนังหนู ข้าคงมาส่งเอ็งได้ใกล้ที่สุดแค่นี้แหละนะ ที่เหลือเอ็งต้องว่ายน้ำเข้าฝั่งเอาเอง” ชายชราเอ่ยตอบกลับไปด้วยท่าทีหวาดวิตก สายตายังคงจ้องมองชายฝั่งราวกับกำลังหวาดกลัว ว่าจะมีใครสักคนสังเกตุเห็นเรือของตัวเองเข้า
“ลุงว่ายังไงนะคะ!”
“นี่เอ็งไม่รู้เลยเร๊อะว่าเกาะนี่มันเป็นเกาะต้องห้าม ขืนคนนอกอย่างข้าเฉียดเข้าไปใกล้มันมากกว่านี้มีหวังถูกลูกปืนสอยดับกลายเป็นผีเฝ้าทะเลนี่แน่ๆ เอาถึงแล้ว! เอ็งรีบโดดลงไปซะสิ ข้าจะได้รีบไปจากที่นี่เสียที!!” พิชญาแทบจะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้ยิน ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ อย่างวิตกก่อนจะรีบหันไปหาคุณลุงเจ้าของเรืออีกครั้ง
“แต่หนูว่ายน้ำไม่เป็นนะคะลุง หนูไหว้ล่ะค่ะ ลุงช่วยขับเข้าไปส่งหนูที่ชายฝั่งหน่อยจะได้ไหมคะ หนูจะพูดกับเจ้าของเกาะให้ลุงเองค่ะ” หญิงสาวอ้อนวอนทั้งน้ำตา รู้สึกกลัวจับหัวใจกับคำตอบที่เพิ่งจะได้รับรู้และไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอะเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้เข้า
“เอ๊ะนั่งหนูนี่! ไม่เอาหรอกโว้ย ลงไปได้แล้ว เวลาของข้าเป็นเงินเป็นทองเอ็งรู้ไหม นี่ของเอ็งเอาไป!!” สิ้นคำมือหนาก็จับเอาประเป๋าเสื้อผ้าใบน้อยโยนลงน้ำอย่างไม่ปราณีเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ชายฝั่งเข้าโดยบังเอิญ
“แต่ลุงคะหนู…ว้าย!” ไม่ทันจะได้ต่อรองร่างเล็กก็ถูกผลักลงน้ำอย่างรวดเร็วก่อนที่เรือลำเล็กจะถูกสตาจและขับเคลื่อนหนีจากอย่างรวดเร็วเพราะกลัวภัยร้ายจะเข้ามาถึงตัวหากยังอยู่ในที่ที่ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าอันตรายและไม่น่าเข้าใกล้มากแค่ไหนทิ้งไว้แต่ร่างของหญิงสาวที่ดำผุดดำว่ายไปมาใต้น้ำพร้อมเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างคนกลัวความตาย