ภาระหน้าที่ของเขาช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน...

1419 คำ
อับจนคำพูด ไร้ซึ่งข้อแก้ตัว ยามอสุราเดือดดาลนั้นไม่ควรจะราดน้ำมันใส่ ยิ่งเป็นอสุราจากปรมะนครด้วยแล้ว ยิ่งไม่ควร เพราะแม้แต่น้ำที่หมายจะดับไฟโทสะยังบันดาลให้เพลิงพิโรธพวยพุ่งได้เลย และเพราะมิอาจพูดสิ่งใด เจ้าวรรศก็ได้ทีเล่นละครฉากใหญ่เป็นที่สนุกสนาน “หลอกลวงกันถึงเพียงนี้ หักหน้ากันโดยไม่คิดถึงภายภาคหน้า กระทำเช่นนี้ถือว่าหมิ่นเกียรติปรมะเป็นอย่างยิ่ง คิดรึว่าเสด็จพ่อของกระหม่อมจะไว้ชีวิตพวกสราลี!” แสร้งขู่ ทำกรุ่นโกรธมากกว่าเดิมทั้งที่หาได้โกรธจริงๆ เพียงแค่เห็นว่านี่คือโอกาสทองที่จะขจัดแคว้นสราลีออกห่างจากเจ้าศวรรย์ดั่งที่บิดาต้องการเท่านั้น อีกอย่าง เขาจะได้รีบเร่งกลับไปยังปรมะด้วย จะได้ทูลขอรางวัลจากพระราชบิดา ตอบแทนกับความดีความชอบที่เขาได้กระทำ หากแต่การิตหาได้เห็นดังนั้นไม่... ถ้อยวจีของเจ้าวรรศนั้นสร้างความพรั่นพรึงให้แก่ทุกชีวิตในสราลีก็จริง ด้วยเกรงว่าจะถูกปรมะผู้ยิ่งใหญ่มากำราบจนพินาศให้สมกับความแค้นที่ถูกหลอกลวง แต่การิตเองก็พรั่นพรึงเช่นกัน เหตุเพราะก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งจะได้รับข่าวจากม้าเร็วของปรมะมาประการหนึ่ง ครั้นได้ยินเจ้าวรรศประกาศกร้าวเช่นนั้น เขาก็รีบคลานเข่ามาทางด้านหลัง กระซิบเรียกผู้เป็นนายเสียงแผ่ว “องค์ยุพราชพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าวรรศเหลียวไปมองก็เห็นว่าเป็นการิตซึ่งมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ก่อนจะถามเสียงเบา “มีสิ่งใดลุง” “กระหม่อมมีเรื่องจะทูลพ่ะย่ะค่ะ” ได้ยินดังนั้น เจ้าวรรศก็เร่งเร้า “มีสิ่งใดก็จงรีบว่ามา ไม่เห็นรึว่าข้ากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม” เข้าด้ายเข้าเข็มจริงดั่งปากว่า บัดนี้พระพักตร์ของกษัตริย์สราลีซีดขาว ดั่งซากศพ ไม่เว้นแม้แต่องค์นวินที่ก้มหน้า พยายามซ่อนเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบริเวณขมับอย่างเต็มที่ ก่อนที่การิตจะไม่รอช้า รีบเอ่ยออกมา “กระหม่อมเห็นว่าองค์วรรศยังมิอาจเสด็จกลับปรมะได้ในเพลานี้พ่ะย่ะค่ะ” เรียวขนงย่นยู่ทันใด เจ้าวรรศมองหน้าผู้พูดอย่างไม่เข้าใจนัก “เพราะเหตุใด” “เรื่องที่องค์วรรศเสด็จมาแทนองค์ศวรรย์นั้น ล่วงรู้ถึงพระกรรณองค์วิรัลย์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เป็นเจ้าวรรศบ้างแล้วที่อยู่ในอาการพรั่นพรึง ดวงตาเบิกโต เม็ดเหงื่อผุดพราย และยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อการิตว่าเสียงแหบแห้ง “หากร้อนรนกลับไปเพลานี้ มีหวัง...” ตายโหงแน่นอน! ไม่ต้องให้การิตพูดจนจบประโยค เจ้าวรรศก็รู้ได้ ป่านฉะนี้ พ่อยักษ์ใหญ่ของเขาคงถูกแล่ออกเป็นชิ้นจนเหลือแต่กระดูกแล้วกระมัง เท่านั้นความตั้งใจที่ว่าจะรีบกลับไปยังมาตุภูมิเพื่อขอรับรางวัลจึงเป็นอันโมฆะ เจ้าวรรศรีบเก็บอาการหวั่นวิตก กระแอมในลำคอสองถึงสามครา ก่อนจะเอ่ย “แต่กระหม่อมหาใช่ยักษ์ขี้ฟ้อง อีกทั้งยังไม่เห็นการดีในการมีศึกสงคราม ในฐานะตัวแทนของปรมะแล้ว กระหม่อมจะถือเสียว่าเรื่องพรรค์นี้หาได้เคยเกิดขึ้น กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำฉันใด กระหม่อมก็ไม่คืนคำฉันนั้น ในเมื่อเสด็จพ่อของกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตมาแล้วว่าให้กระหม่อมพำนักในสราลีเป็นระยะเวลาสามเดือน กระหม่อมก็จะอยู่จนกว่าจะครบวาระ ดังนั้นจงวางใจเถิด กระหม่อมจะไม่ยินยอมให้สงครามบังเกิด คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นแน่” สิ้นเสียง ทุกชีวิตในท้องพระโรงก็พากันหายใจหายคอโล่งเป็นปลิดทิ้ง ก่อนกษัตริย์สราลีจะตรัสยกยอเป็นการใหญ่ “องค์ศวรรย์มีเมตตานัก เป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะให้ข้าราชบริพารถวายงานปรนนิบัติไม่ให้ขาดตกบกพร่อง สิ่งใดที่องค์ศวรรย์ประสงค์ ข้าจะจัดหามาให้ ขอเพียงให้เอ่ยออกมาเถิด จะเดือนหรือดาวก็จะหามาให้ทั้งนั้น ให้สมกับความเมตตาขององค์ศวรรย์” เจ้าวรรศพยักหน้ารับ ยิ้มกริ่มราวกับว่าพึงใจ ทั้งที่จริงแล้วในใจยังหวั่นวิตกอยู่ สามเดือน...กว่าจะครบกำหนดการนั้น พ่อยักษ์น้อยคงจะหายโกรธแล้วกระมัง เอาตัวรอดเป็นยอดดีเป็นสิ่งที่พึงกระทำในเพลานี้ ส่วนพ่อยักษ์ใหญ่นั้น...ก็ขอให้เป็นไปตามบุญพาวาสนาส่ง ลูกจ๋าคงช่วยสิ่งใดไม่ได้นอกจากยกมือประนมแนบอกเท่านั้น พ่อยักษ์ใหญ่จ๋า...ลูกจ๋าขออโหสิกรรมจ้ะ จู่ๆ ก็พนมมือขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กษัตริย์สราลีจึงจำต้องตรัสถาม “มีสิ่งใดรึไม่องค์ศวรรย์” ได้สติกลับมาในเพลานี้ เจ้าวรรศรีบเอ่ยตอบ “ขอบพระทัยที่มีพระเมตตากับกระหม่อมเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เห็นเช่นนั้นแล้ว การิตก็อดคิดไม่ได้เลยว่าเจ้าวรรศช่างไหลลื่นดุจปลาไหลในโคลนตม ไม่ต่างจากพระราชบิดาเลยแม้เพียงกระผีก ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นฉันใด ลูกยักษ์ก็หล่นไม่ไกลพ่อฉันนั้น... “ในเมื่อสิ้นธุระแล้ว กระหม่อมก็ขอตัวไปพักผ่อนก่อน กราบทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าวรรศตัดบทในฉับพลัน ก้มกราบแล้วกระถดถอยออกไปด้วยใจหมายอยากจะพูดคุยกับการิตเรื่องที่ถูกพ่อยักษ์น้อยจับได้ว่าร่วมมือกระทำแผนการชั่วกับพ่อยักษ์ใหญ่มากกว่า ใคร่อยากรู้ความเป็นไปในปรมะยิ่งนัก จะได้ประมาณการความหนักเบาของโทษตนได้ ครั้นพระโอรสของกษัตริย์ปรมะคล้อยหลังไปแล้ว ทั่วทั้งท้องพระโรงก็หายใจโล่งอกกันเป็นปลิดทิ้ง กระนั้นกษัตริย์สราลีก็หาได้ปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปเช่นนี้ ทอดพระเนตรเหลือบมององค์นวินที่ยังคงนั่งก้มหน้างุดอยู่อย่างระอา ก่อนจะตรัสขึ้น “แม้องค์ศวรรย์จะไม่เอาความใดๆ แต่ก็ใช่ว่าแผนการของเราจะยุติเพียงเท่านี้” องค์นวินเหลือบมองผู้เป็นบิดาโดยพลัน สายตาที่ทอดมองนั้นแฝงไปด้วยความไม่เข้าใจ “เสด็จพ่อทรงหมายความว่า...” “ในเมื่อองค์ศวรรย์ทรงรู้แล้วว่าเจ้าคือองค์ยุพราช ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ ที่จะใช้สิ่งใดหลอกล่อเพื่อเปิดเผยตัวตนอีก” “จะทรงล้มเลิกให้กระหม่อมพิชิตใจองค์ศวรรย์แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ดวงตากลมโตประกายวาวโรจน์เลยทีเดียว แต่ผิดถนัด กษัตริย์สราลีทรงหาได้คิดเช่นนั้น ตรัสดุออกมา “ยังจะกล้ามาดีใจอีกรึ พลาดพลั้งถึงเพียงนี้ พ่อไม่ลงโทษโบยเจ้าก็ดีถมถืดแล้วเจ้านวิน” องค์นวินถึงกับหน้าตึง ผู้ใดจะรู้กันเล่าว่าพระราชบิดาทรงคิดการใดอยู่ ก็เห็นตรัสว่าไม่มีประโยชน์ที่จะใช้สิ่งใดล่อหลอกเพื่อเปิดเผยตนมิให้เจ้าชายยักษาจากปรมะทรงกริ้วแล้วนี่ นึกว่าจะยุติแผนการนั้น เห็นพระโอรสนั่งจ๋อง กษัตริย์สราลีก็ทรงถอนพระปัสสาสะ ตรัสอีกครา “ต่อให้ไม่จำเป็นแล้ว เจ้าก็ยังต้องทำทุกหนทางให้องค์ศวรรย์ต้องพระทัยเจ้าให้จงได้” องค์นวินเหลือบมองอย่างไม่เชื่อหูทันควัน “ในเมื่อองค์ศวรรย์หาได้กรุ่นโกรธจนรีบกลับปรมะนคร แต่อยู่ยั้งสราลีด้วยให้เกียรติและไม่ประสงค์ให้กษัตริย์ปรมะทรงพิโรธ นั่นก็หมายความว่าเจ้ายังมีโอกาส” “แต่เสด็จพ่อ...” “ไปเกี้ยวพาราสีองค์ศวรรย์เสีย ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องดองเป็นทองแผ่นเดียวกับปรมะให้จงได้” พูดยังไม่ทันจบเลย กษัตริย์สราลีก็ตรัสแทรกขึ้นมาแล้ว องค์นวินถึงกับตัดพ้อทางสีหน้า ให้ทำสิ่งใดก็ได้จนกว่าอีกฝ่ายจะมีใจปฏิพัทธ์ด้วยก็ว่ายากยิ่งแล้ว ในเพลานี้กรุ่นโกรธเพราะถูกหลอกลวง แต่เขาดันถูกบีบบังคับให้ไปเกี้ยวพาราสี มีหวังคงได้โดนเจ้ายักษ์กักขฬะตนนั้นรังแกจนร่ำไห้อย่างแน่นอน องค์นวินไม่อยากคิดต่อเลยว่าจะถูกกระทำการใดบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับในโชคชะตาเมื่อพระราชบิดาตรัสสำทับ “เพื่อสราลีของเราแล้ว เจ้าในฐานะองค์ยุพราชจำเป็นต้องทำ” ภาระหน้าที่ของเขาช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน... ***
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม