บทที่ 11
ไม้ตาย
'ไม่พูดเยอะเจ็บคอ ไม่ยืนรอแล้วนะเจ็บขา'
แพรไหมตื่นมาอีกทีในช่วงบ่ายแก่ ๆ อาการปวดหัวเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าหายไปแล้ว แต่เธอก็ยังรับรู้ได้ว่าเนื้อตัวยังมีความร้อนสะสมอยู่
แสดงว่ายังไม่หายดีสักเท่าไหร่สินะ
พี่ไรเฟิลนอนอยู่ตรงนั้น โซฟามุมห้องตัวสีดำ เขาไม่ได้นอนฟุบหน้าอยู่กับเตียงแล้วจับมือเธอไว้เหมือนกับฉากในละครตอนนางเอกป่วย แน่นอนสิ ก็พี่ไรเฟิลไม่ใช่คนโรแมนติกแบบนั้นสักหน่อย
ร่างเล็กลุกขึ้นนั่ง ในตอนนี้แพรไหมรู้สึกว่าหิวกระหายน้ำเป็นอย่างมาก แต่มองไปมุมไหนในห้องก็ไม่มีน้ำเปล่าสักแก้ว สงสัยคงต้องลงไปชั้นล่างแล้วสินะ
หากจะปลุกเขาเธอก็เกรงใจ ดังนั้นแพรไหมจึงเลือกที่จะเดินลงไปดื่มเองเสียดีกว่า
เดินลงไปทั้งที่ใส่เพียงชุดนอนนี่แหละ ข้างในเธอโล่งโจ้งมาก หากไม่ใส่อะไรก็คงไม่มีใครสังเกตหรอกมั้ง เพราะเธอลงไปแค่แป๊บเดียวเอง
แพรไหมเดินช้า ๆ ผ่านคนที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยการลงส้นเท้ากับพื้นไม้เพียงแผ่วเบา จากนั้นก็เปิดและปิดประตูอย่างเบามือที่สุด
แม้ว่าเนื้อตัวจะยังคงความร้อนอยู่ แต่แพรไหมก็ไม่ได้ปวดเศียรเวียนเกล้าดังเช่นเมื่อเช้าแล้ว ดังนั้นจึงเดินเหินได้สบาย
แสดงว่าไข้หวัดไม่ได้เล่นงานเธอหนักสินะ
ในที่สุดคนที่เผลอนอนหลับใหลไปก็งัวเงียตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ดวงตาของเขาต้องการมองเห็นหลังจากลืมตาก็คือร่างแน่งน้อยของคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง
แต่ตรงนั้นกลับว่างเปล่า มีเพียงแค่ผ้าห่มที่กองอยู่เท่านั้น
"น้องแพร"
ไรเฟิลเด้งตัวขึ้นอย่างอัตโนมัติ แพรไหมหายไปไหนนะ เดินไปดูในห้องน้ำแล้วก็ไม่มี ตรงระเบียงก็ไม่เจอ
"น้องแพรไหมคะ"
"..."
เงียบ ไร้เสียงตอบรับจากคนที่เขากำลังเรียกหา
"หรือจะลงไปข้างล่าง"
คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็รีบสาวเท้ายาว ๆ เตรียมจะออกจากห้องนอนไปตามหาคนป่วยทันที
ไรเฟิลแค่กลัวว่าแพรไหมจะเป็นลมเป็นแล้งไป ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย
"อุ๊ย"
"โอ๊ย"
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ออกไปไหนไกล ไม่ทันได้เอื้อมมือไปเปิดประตูเสียด้วยซ้ำ เจ้าของห้องชั่วคราวก็เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับจานส้มอีกสามสี่ลูกในมือ
ด้วยความที่ประตูต้องเปิดแบบผลักเข้ามาด้านในถึงจะเปิดออก พอแพรไหมเปิดเข้ามาประตูแข็ง ๆ จึงอัดเข้าเต็มหน้าผากเขาพอดิบพอดี
เจ็บชะมัด
"ขอโทษค่ะ"
และตอนนี้มันก็ปูดโปนขึ้นทันตาเห็นเลยทีเดียว
"เจ็บชะมัด"
"น้องแพรขอโทษนะคะ"
"หายดีแล้วเหรอถึงเดินไปไหนมาไหนได้ แถมไม่บอกพี่อีกต่างหาก เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไง"
คนป่วยไม่ตอบแถมยังสะบัดหน้าหนีเขาอีกต่างหาก ให้ตายสิป่วยอยู่ยังดื้อขนาดนี้ ถ้าไม่ป่วยจะดื้อขนาดไหน
"ทำไมต้องดุด้วย"
"พี่ไม่ได้ดุ"
"ไม่ได้ดุแล้วจะขึ้นเสียงทำไม"
แพรไหมหยิบส้มในจานขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วปาใส่เขาทันที รู้อยู่หรอกน่าว่าเป็นห่วง แต่จะมาเสียงดังใส่เธอทำไมกัน ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ที่ไม่บอกเขาก็เพราะว่าเกรงใจ พี่ไรเฟิลหลับอยู่น้องแพรเลยอยากให้พักผ่อน และแพรไหมคิดว่าลงไปแป๊บเดียวยังไงก็จะขึ้นมาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะตื่นตอนนี้
และที่สำคัญ จะมาขึ้นเสียงใส่เธอทำไม คนนิสัยไม่ดี ไม่มีเหตุผล
"ก็พี่..."
จะบอกว่าเขาเป็นห่วงงั้นเหรอ ไม่ได้ห่วงสักหน่อย
"เป็นห่วงเหรอคะ"
จากที่หน้างอง้ำเมื่อครู่แพรไหมก็ยิ้มออก ก็อาการของเขามันฟ้องว่าเป็นห่วงเธอนี่นา
"เปล่า"
"..."
"กลัวน้องแพรมาตายในไร่พี่"
โอ้โหคุณเจ้าของไร่ ปากคอเราะรายเหลือเกินนะ กลัวเธอจะมาตายในไร่ของเขางั้นหรือ มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะตาย ระหว่างคุณเจ้าของไร่และคนที่จะเป็นเจ้าของของเจ้าของไร่อย่างเธอ
กับถ้อยคำเมื่อครู่เธอก็น้อยใจอยู่หรอกนะ แต่เท่าที่อยู่กับเขามาเป็นเวลาครึ่งสัปดาห์มันทำให้แพรไหมรู้ว่า พี่ไรเฟิลน่ะปากแข็งจะตาย
"รู้แล้วค่ะว่าไม่อยากให้น้องแพรอยู่ที่นี่"
ร่างเล็กแกล้งบีบเสียงขึ้นจมูกราวกับว่ากำลังน้อยเนื้อต่ำใจและเสียอกเสียใจนักหนา จากนั้นก็เดินกระแทกไหล่เจ้าของไร่ไปนั่งลงบนโซฟาตัวที่เขานอนอยู่เมื่อครู่
ถามว่าที่กระแทกไหล่เขาเมื่อครู่เจ็บไหม หึ! ตอบได้คำเดียวว่ามาก ก็ดูเอาเถิดพี่ไรเฟิลเป็นนิยามคำว่าร่างหนาที่ใช้บ่อย ๆ ในบทนิยายเลยนะ ส่วนเธอน่ะคือร่างบาง ร่างแน่งน้อยที่ลมพัดเพียงบางเบาก็ปลิวแล้ว
"คือพี่หมายถึง..."
"หมายถึงไม่อยากให้น้องแพรอยู่ที่นี่ อยากให้น้องแพรกลับเร็ว ๆ เพราะเป็นภาระพี่ไรเฟิลเหลือเกิน"
"..."
"ถูกต้องใช่ไหมคะ"
ไรเฟิลถอนหายใจ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะ และที่สำคัญ...เขาไม่อยากให้แพรไหมกลับ
หมายถึงในตอนนี้นะ เพราะเธอยังป่วยอยู่ยังไงล่ะ
"หายป่วยแล้วเหรอ"
"ก็ดีขึ้นค่ะ ขอบคุณนะคะที่ดูแล"
พูดเสร็จแพรไหมก็หยิบส้มขึ้นมาปอกเปลือก เสียดายลูกนั้นเหมือนกัน ลูกที่เธอหยิบขึ้นมาปาใส่เขายังไงล่ะ อุตส่าห์เล็งไว้ว่าจะกินลูกนั้นก่อนเพื่อน แต่ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวพี่ไรเฟิลออกไปแล้วเธอค่อยไปเก็บมากินก็ได้ แค่ปาใส่คนปากแข็งไปหนึ่งทีส้มลูกนั้นคงไม่เน่าหรอกมั้ง
"เป็นหน้าที่"
"อ๋อค่ะ"
ตอบแค่นั้นแพรไหมก็หันไปให้ความสนใจกับส้มต่อ เป็นหน้าที่งั้นหรือ อืม ๆ เธอจะแกล้งเชื่อก็ได้ หน้าที่ที่ต้องมานอนเฝ้าเธอเนี่ยนะ หน้าที่ของพี่ไรเฟิลคือการทำไร่ทำสวนเลี้ยงสัตว์ต่างหาก
"ทำหน้าที่ตรงนี้เสร็จแล้วก็ไปทำหน้าที่อื่นสิคะ"
"หายดีแล้วเหรอ"
"หายดีแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่ดูแลน้องแพรตามหน้าที่"
แพรไหมย้ำอีกครั้ง
ไรเฟิลยืนมองคนป่วยที่เริ่มจะหายดีด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ทั้งที่เขาเป็นคนพูดเองว่าทำไปตามหน้าที่ แต่พอแพรไหมย้ำคำว่าหน้าที่ให้เขาได้ยินทำไมเขาถึงไม่ชอบเอาเสียเลยนะ
"มาเดี๋ยวพี่ปอกให้"
จู่ ๆ คุณเจ้าของไร่ก็แทรกตัวลงมาเบียดเธอบนโซฟา แถมยังถือวิสาสะจับเอาจานส้มของเธอไปถือไว้เองอีกต่างหาก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่หรือเปล่านะ
"น้องแพรทำเองได้ค่ะ"
"น้องแพรไม่สบายอยู่นะคะ"
"ไม่สบาย แต่ไม่ได้เป็นง่อยค่ะ"
"ยังไงก็แล้วแต่ พี่จะปอกเปลือกให้"
ท้ายประโยคไรเฟิลย้ำช้า ๆ ชัด ๆ จะดื้อไปถึงไหนนะ
แพรไหมนั่งหลังตรงอย่างขัดใจ แค่พี่ไรเฟิลบอกว่าเป็นห่วงเธอมันจะยากตรงไหนกันนะ ปากแข็งแบบนี้เห็นทีต้องทำให้อ่อนลงบ้างแล้วล่ะ
ไรเฟิลลอบมองคนป่วยที่นั่งหลังตรงอยู่ข้าง ๆ ความจริงก็ไม่ข้างสักเท่าไหร่หรอก เพราะเขานั่งเบียดจนแพรไหมแทบก่ายเกยมานั่งบนตักเขาอยู่แล้ว
บ้าจริง ในที่สุดสายตาไม่รักดีของเขาก็มองเห็นสิ่งไม่ควรเห็น เพราะตัวสูงกว่าแพรไหม และเพราะเสื้อนอนของเธอคอค่อนข้างกว้างจึงทำให้ไรเฟิลเห็นบางสิ่งบางอย่างรำไร บางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกับของเขาทุกอย่าง แต่ทำไมพอมองของแพรไหมแล้วทำให้ใบหน้าเขาร้อนผ่าวแบบนี้นะ
"ติดไข้จากน้องแพรหรือเปล่าคะ"
ไม่พูดเปล่า แต่น้องแพรไหมยังถึงเนื้อถึงตัวเขาอีกต่างหาก มือเล็ก ๆ ที่นุ่มนิ่มยกขึ้นมาอังหน้าผาก และชักออกทันทีราวกับเพิ่งคิดอะไรบางอย่างออก
"ต้องวัดไข้ด้วยวิธีเดียวกับพี่ไรเฟิลสินะคะ ถึงจะรู้ว่าตัวร้อนพิษไข้ หรือตัวร้อนเพราะพิษรัก"
ยัยตัวแสบเอ๊ย ทำไมพูดเสร็จแพรไหมต้องมองเหมือนจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัวอย่างนั้นกันล่ะ
ร่างเล็กของคนอาศัยขยับเพียงนิดเดียวก็ขึ้นมาอยู่บนตักของเจ้าของไร่ได้สำเร็จ ให้ตายสิไรเฟิล แกตายแน่ ๆ เลยวันนี้
ริมฝีปากจิ้มลิ้มประทับลงตรงหน้าผากโดยที่ไรเฟิลยังไม่ทันได้ตั้งตัว และแพรไหมก็แม่นราวกับจงใจที่จะประทับรอยลงบนเนื้อที่ปูดโปนเล็กน้อยจากการปะทะกับประตูเมื่อครู่
ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยนะ
"ตัวไม่ร้อนนะคะ"
"..."
"แต่หน้าแดง"
แหงสิ เกิดมาไม่เคยมีใครมานั่งตักแล้ววัดไข้ด้วยการจุ๊บหน้าผากแบบนี้มาก่อน ไม่น่าทำเป็นตัวอย่างเลยไรเฟิล โดนน้องแพรไหมเอาคืนจนได้
"น้องแพรขอโทษนะคะ"
"เรื่องอะไรคะ"
"หน้าผาก"
ไรเฟิลถึงบางอ้อ มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดขึ้น และที่เขาเสียงดังใส่แพรไหมเพราะตกใจกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไปต่างหาก ไม่ได้คิดจะดุอย่างที่ถูกร่างเล็กกล่าวหาสักหน่อย
"มันเป็นอุบัติเหตุนี่คะ ไม่มีใครตั้งใจหรอก"
"แต่น้องแพรทำพี่ไรเฟิลเจ็บ"
"พี่ไม่เจ็บหรอก แต่ตอนนี้ลงจากตัวพี่ก่อนได้ไหมคะ"
แพรไหมส่ายหน้า มีโอกาสขนาดนี้ ใครจะปล่อยให้หลุดลอยง่าย ๆ กันล่ะ พี่ไรเฟิลชอบปากแข็งนักใช่มั้ย คราวนี้แหละเธอจะง้างปากเขาและทำให้ปากพี่ไรเฟิลเลิกแข็งด้วยปากของเธอเอง
"ทำไมคะ"
ยังจะมีหน้ามาถามอีกนะน้องแพรไหม ทำไมงั้นหรือ เขาหนักยังไงล่ะ แพรไหมตัวหนักจะตาย ทั้งความนุ่มนิ่ม ความหอม ความน่ารัก มันหนักไปหมดจนเขาแทบจะแบกรับไม่ไหวอยู่แล้วนะ
"เดี๋ยวพี่ติดไข้นะคะ"
"น้องแพรจะดูแลเองค่ะ"
"..."
"ทำตามหน้าที่เหมือนที่พี่ไรเฟิลบอกไงคะ"
สุดท้ายไรเฟิลก็จนปัญญาที่จะไล่อีกคนลงจากตัก เขาทำเพียงนั่งนิ่งเท่านั้น ส้มก็ปอกเปลือกไม่ได้แล้วเพราะมีร่างของแพรไหมมานั่งอยู่บนตักเขาแทนจานส้มยังไงล่ะ
เอาไงดีไรเฟิล
"ละ ลงไปก่อนนะคะ"
"ไม่ค่ะ"
"แล้วพี่จะปอกส้มยังไง"
"ไม่ต้องปอกแล้วค่ะ น้องแพรไม่กินแล้ว อยากกินอย่างอื่นมากกว่า"
การที่น้องแพรไหมพูดแล้วมองปากเขาไปด้วยเนี่ย มันหมายถึงอะไรกันนะ
"พี่ไรเฟิลเป็นคนปากแข็งเหรอคะ"
จะมาอยากรู้แล้วถามคำถามอะไรตอนที่นั่งอยู่บนตักเขาเนี่ย น้องแพรไหมจะรู้ตัวบ้างมั้ยว่ามันล่อแหลมมาก ๆ
"เปล่าค่ะ"
"แล้วตอนที่น้องแพรป่วย พี่ไรเฟิลเป็นห่วงน้องแพรหรือเปล่าคะ"
ไรเฟิลส่ายหน้าแทนคำตอบ ก็บอกไปแล้วไงว่าเขาทำตามหน้าที่
"แล้วที่มานอนเฝ้าคืออะไรคะ"
ก็เป็นหน้าที่อีกนั่นแหละ
"ชอบน้องแพรรึยังคะ"
"มันเป็นหน้าที่"
"มีหน้าที่นี้ด้วยเหรอคะ"
ไรเฟิลเพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่แพรไหมถามเขาด้วยคำถามใด ให้ตายสิไรเฟิล เสียรู้น้องแพรไหมจนได้หรือนี่
"พี่หมายถึงยังไม่ชอบ"
"เหรอคะ"
เจ้าของไร่พยักหน้าอย่างขึงขัง
"แล้วที่กอดน้องแพร จูบน้องแพร แถมยังซื้อเจ้านี่ให้อีก หมายความว่าไงคะ"
แพรไหมยกสร้อยข้อมือเส้นเล็ก ๆ ที่มีจี้รูปกระต่ายให้เขาดู แถมอีกเส้นที่เธอใส่ให้เขาพี่ไรเฟิลก็ยังไม่ถอดออก
"ยังเป็นหน้าที่อยู่อีกหรือเปล่า"
"เป็นของที่ระลึกไงคะ มอบให้แขกที่มาพักที่นี่"
"หมายถึง...ทุกคนที่มาพักที่นี่จะได้จูบ ได้กอด ได้สร้อยข้อมือจากพี่ไรเฟิลเหรอคะ"
"..."
"ทำแบบนี้กับทุกคนสินะ"
แพรไหมขยับตัวทำท่าจะลุกขึ้นจากตักเขา แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรมือทั้งข้างของพี่ไรเฟิลก็เอื้อมมาเกี่ยวเอวเธอเอาไว้พร้อมกับกดให้นั่งลงที่เดิมเสียก่อน
เขาแค่ไม่อยากให้แพรไหมเข้าใจผิดเท่านั้นเอง
"พี่หมายถึง แขกที่ชื่อว่าแพรไหม"
"..."
"คนเดียว"
แล้วที่เขาทำไปทั้งหมดมันเพื่ออะไรกันนะ
"รู้ตัวหรือเปล่าคะว่าเป็นคนปากแข็ง"
"..."
"ยอมรับมาเถอะค่ะ ว่าพี่ไรเฟิลก็ชอบน้องแพรเหมือนกัน"
"ไม่มีทาง"
ปากหนักแถมยังแข็งแบบนี้ เห็นทีว่าคงต้องใช้ไม้ตายแล้วสินะแพรไหม
"จูบน้องแพรอีกครั้งได้ไหมคะ"
"..."
"ถ้าพี่ไรเฟิลไม่รู้สึกอะไรจริง ๆ เย็นนี้น้องแพรจะกลับทันที"
ไรเฟิลส่ายหน้า เขาจะจูบแพรไหมได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย นั่นสินะ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แล้วที่เขาจูบเธอไปครั้งก่อนล่ะ ไม่รู้สึกอะไรจริง ๆ หรือ
ที่ใจเต้น ที่จูบแล้วอยากจูบอีก ที่ชอบเวลาได้สัมผัสน้องแพรไหม ความรู้สึกดีเหล่านั้นมันคืออะไรกัน
แล้วที่เขาส่ายหน้า มันเป็นเพราะว่าเขายังไม่อยากให้แพรไหมกลับเย็นนี้ ยังไงก็รอให้หายดีจริง ๆ เสียก่อนค่อยกลับก็ได้
"พี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้องแพร จะจูบทำไมล่ะคะ"
"นั่นสินะคะ ไม่ได้รู้สึกอะไรจะจูบทำไม จะบอกว่าตั้งใจอยากจูบทำไมกัน"
แพรไหมเตรียมตัวจะลุกขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นเดิมที่ไรเฟิลกดคนตัวเล็กไว้บนตัก เขาแค่กำลังสับสนกับการกระทำของตัวเองก็เท่านั้น
ว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพราะอะไร
"ปล่อยค่ะ"
"..."
"น้องแพรจะได้เก็บของ"
"ไม่"
"เดี๋ยวจะได้จองเที่ยวบินด้วย น้องแพรไม่อยากถึงบ้านดึกค่ะ"
"..."
"ปล่อยน้องแพรเถอะนะคะ ถ้าไม่รักจะกั๊กไว้ทำไม"
ไรเฟิลยอมปล่อยในที่สุด และทันทีที่เขาปล่อยมือแพรไหมก็ลุกขึ้นยืน ร่างเล็กไม่หันมามองเขาอีกเลย แพรไหมเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าใบโตออกมาวางไว้บนเตียง จากนั้นก็จัดการรูดเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้ออกมา เขาจำได้ดี หนึ่งในนั้นคือเสื้อตัวที่แพรไหมใส่มาในวันแรก คือเสื้อตัวที่เปื้อนโคลนยังไงล่ะ
ไม่น่าเชื่อว่าแพรไหมมาที่นี่ไม่ถึงสัปดาห์ด้วยซ้ำไป แต่เขากลับผูกพันยังไงก็ไม่รู้
ไม่อยากให้แพรไหมกลับเลย
"ไม่กลับได้ไหมคะ"
"..."
"หมายถึงไม่กลับวันนี้ได้หรือเปล่า รอให้หายดีก่อนค่อยกลับ"
คนที่นั่งอยู่บนโซฟาพูดขึ้น และยิ่งแพรไหมมีท่าทีที่นิ่งเฉยเขาก็ยิ่งร้อนรน
"น้องแพร"
"น้องแพรหายดีแล้วค่ะ แล้วก็จะกลับวันนี้"
"..."
"เหนื่อยแล้วค่ะ น้องแพรรู้แล้วว่าการวิ่งตามความรักมันเหนื่อยอย่างนี้นี่เอง"
"บอกพี่ได้หรือเปล่าแพรไหม ว่าทำไม...ถึงชอบพี่"
แพรไหมหยุดการกระทำทั้งหมดแล้วหันหน้ามามองเจ้าของไร่ เธอไม่สามารถตอบเขาได้หรอกนะว่าทำไมถึงชอบเขา รู้แต่ว่าชอบ ชอบเวลาที่เห็นเขายิ้มแม้จะแค่ในรูปภาพ แต่มันกลับทำให้เธอมีความสุขไปด้วย ได้มาเห็นกับตา ได้ยินเสียง ได้สัมผัสกับเขาก็ยิ่งมากกว่าเดิมอีก เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้ชิดใกล้กับพี่ไรเฟิล และยิ่งชอบมากขึ้นเมื่อได้มาสัมผัสกับบรรยากาศ ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
หากเป็นไปได้เธอก็อยากอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตนั่นแหละนะ
"ไม่มีเหตุผลที่แน่ชัดหรอกค่ะ"
"..."
"รู้แค่ว่าน้องแพรชอบรอยยิ้ม ชอบเสียงพูด ชอบการกระทำที่ดูเหมือนว่าใส่ใจของพี่ไรเฟิล แต่แท้จริงแล้วน้องแพรลืมไปว่าพี่ไรเฟิลทำแบบนี้กับแขกทุกคน"
เหตุผลที่แพรไหมบอกมันก็เหมือนกับที่เขารู้สึกสินะ เขาชอบรอยยิ้มของแพรไหม ชอบที่มีเธอมาเจื้อยแจ้วอยู่ข้าง ๆ และเขาเองก็เพิ่งค้นพบว่าเขาน่ะ ชอบจูบแพรไหมเป็นที่สุด
"บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ได้ทำกับทุกคน"
"แล้วน้องแพรพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหนคะ"
"ตรงที่พี่ไม่เคยจูบใครไง ไม่เคยอยากจูบใครนอกจากน้องแพร ไม่อยากกอดใครเท่าน้องแพร ไม่อยากให้ใครมาอยู่ใกล้ ๆ เท่าน้องแพรเลยสักคน"
"แต่ก็ยังไม่ชอบน้องแพรอยู่ดีใช่ไหมคะ"
"ถ้าพี่บอกว่าชอบ น้องแพรจะอยู่ที่นี่ต่อไหมคะ"
"ถ้าฝืนใจมาก ก็ไม่ต้องหรอกค่ะ"
แพรไหมหันกลับมาพับเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าต่อ ร่างเล็กลอบยิ้มเมื่อต้อนให้เขาจนมุมจนได้ ขนาดนี้แล้วยังจะบอกว่าไม่ชอบเธออีกเหรอ
โอเคให้เวลาพี่ไรเฟิลหน่อยก็ได้ อาจจะกำลังสับสนเพราะเพิ่งเจอกับเธอไม่ถึงสัปดาห์ด้วยซ้ำ เจ้าของไร่อาจจะยังงวยงงอยู่ เขาคงคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเจอกับเธอไม่กี่วันจะชอบเธอได้อย่างไร
"ให้เวลาพี่หน่อยได้ไหม"
จู่ ๆ เจ้าของไร่ก็เดินเข้ามาประชิด ไรเฟิลกอดกระชับร่างเล็กเอาไว้ ตอนนี้เขายังไม่อยากให้น้องแพรไหมหายไปไหน ยอมรับก็ได้ว่ารู้สึกดีด้วย
"ตอนนี้พี่รู้สึกดี นับเป็นชอบหรือเปล่าคะ"
คนที่กำลังพับเสื้อผ้าชะงักมือ แพรไหมลอบยิ้มอีกครั้ง อย่างน้อยเวลาสี่วันก็ทำให้เขารู้สึกดีด้วยได้แหละนะ
"นับก็ได้ค่ะ"
"งั้นอยู่ที่นี่ต่อนะคะ"
"ไม่ไล่น้องแพรกลับแล้วเหรอ"
"พี่ไม่เคยไล่สักหน่อย"
แหมพี่ไรเฟิล สองสามวันก่อนยังไล่ให้เธอกลับเมืองกรุงทุกนาทีอยู่เลยนะ
แต่ยังไงก็แล้วแต่ เธอจะถือว่าประสบความสำเร็จไปอีกขึ้นก็แล้วกันนะ ทำให้พี่ไรเฟิลยอมรับว่ารู้สึกดีด้วยได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วแพรไหม
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กว่าพี่ไรเฟิลจะยอมรับก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันนะ เหนื่อยจนต้องใช้ไม้ตายหลอกว่าจะหนีกลับเลยทีเดียว
"เก็บเสื้อผ้าไว้ที่เดิมดีกว่านะคะ เดี๋ยวพี่ช่วยเก็บ"
ไรเฟิลแนะนำ เสื้อผ้าเหล่านี้เก็บกลับไว้ในตู้เหมือนเดิมน่ะดีแล้ว ก็อย่างที่บอกว่ามาถึงตอนนี้เขาไม่ยอมให้น้องแพรไหมกลับหรอกนะ
แพรไหมต้องอยู่กับเขาอีกสักหน่อย ให้เวลาเขาได้ตัดสินใจ ว่าที่รู้สึกทั้งหมดนั้นเขาคิดยังไงกับเธอกันแน่
โดยที่ไม่รอให้น้องแพรไหมอนุญาต ไรเฟิลรีบเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดเข้าไปแขวนไว้ในตู้ตามเดิม และลำดับสุดท้ายก็ยัดกระเป๋าใบโตกลับเข้าที่ที่มันเคยอยู่
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยด้วยมือตัวเองไรเฟิลก็หันกลับมาหาร่างเล็กที่ยืนยิ้มอยู่ นี่แหละ เขาไม่อยากให้แพรไหมหายไปไหน อยากให้ร่างเล็กยิ้มให้แบบนี้ อยากให้เธอยิ้มให้เขาในทุกวัน
"ยิ้มอะไรคะ"
"เปล่าค่ะ"
"ต้องมีเหตุผลสิ"
"แค่ยิ้มก็ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอคะ"
ไรเฟิลพยักหน้า
"น้องแพรชอบพี่ไรเฟิลยังไม่มีเหตุผลเลยค่ะ"
"..."
"บางครั้งเราก็ต้องเป็นคนไม่มีเหตุผลบ้างนะคะ เพราะถ้าเรามีเหตุผลตลอดสิ่งดี ๆ อาจจะหลุดลอยไปจากชีวิตก็ได้"
"หมายความว่าไงคะ"
"ไม่บอกค่ะ"
ร่างเล็กส่ายหน้า ว่ากันว่าไม่เจอกับตัวก็ไม่รู้สึก เธออยากให้พี่ไรเฟิลเจอกับตัวเองบ้าง ว่าบางครั้งคนเราก็ไม่ต้องมีเหตุผลเสมอไป
"ปากหนักจังนะ"
"พี่ไรเฟิลหนักกว่า"
"ปากพี่เบาจะตาย นุ่มด้วย เคยลองแล้วนี่"
แพรไหมย่นจมูกใส่อย่างนึกหมั่นไส้ พี่ไรเฟิลบอกว่าตัวเองปากเบางั้นหรือ เรื่องนุ่มเธอไม่เถียงหรอกนะ แต่เรื่องเบาเนี่ยแพรไหมขอเถียงใจขาดดิ้นเลยแหละ
"น้องแพรว่ายังไม่เบาเลยค่ะ พี่ไรเฟิลปากแข็งจะตาย"
"..."
"เดี๋ยวน้องแพรนวดให้ดีกว่า"
คนที่ป่วยเมื่อเช้าดันร่างเขาให้กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง จากนั้นร่างเล็กก็ขึ้นมาคร่อมไว้ นับวันแพรไหมก็ยิ่งเหิมเกริมสินะ คนป่วยเมื่อเช้าหายไปไหนเสียแล้วล่ะ ตอนนี้เหลือแต่แม่เสือสาวที่มองเขาราวกับว่าจะกลืนกินไปทั้งตัวแบบนี้
ไม่รอให้พี่ไรเฟิลได้คิดนาน แพรไหมกดริมฝีปากลงกับสิ่งที่นิยามให้ว่าแข็งกว่าแกนโลกเสียอีก นั่นก็คือปากของพี่ไรเฟิลยังไงล่ะ
แต่แตะอยู่นานนมแพรไหมก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับหรือรุกล้ำแต่อย่างใด น้องแพรไหมกำลังร่ายมนตร์คาถาเพื่อที่จะทำให้ปากเขานุ่มอยู่หรือเปล่านะ
และในที่สุดคนใจกล้าก็ถอนริมฝีปากออก จากนั้นก็ก้มหน้างุดพร้อมบ่นอู้อี้ที่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์แถมยังจับใจความไม่ค่อยได้
"น้องแพรทำไม่เป็น"
แพรไหมบ่นอุบอิบ และไรเฟิลก็ได้ยินเต็มสองหู แบบนี้คงต้องทำบ่อย ๆ แล้วสินะ
ทำไมน้องแพรไหมถึงได้น่ารักขนาดนี้กันล่ะเนี่ย
"เดี๋ยวพี่ไรเฟิลจะสอนเองนะคะ"
มือเรียวเชยคงมนของคนบนตัวให้เงยหน้ามาสบตา ใบหน้าของแพรไหมแดงก่ำราวกับว่ากำลังเขินอายนักหนา
"จะได้ทำเป็นไงคะ"
ไรเฟิลพลิกร่างเล็กลงเบื้องล่าง เขาแค่อยากให้น้องแพรไหมอยู่นิ่ง ๆ และแบบนี้ก็สะดวกแก่การสอนให้แพรไหม 'ทำเป็น'แล้ว
ริมฝีปากคืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ สายตาร้อนแรงของเขาเล่นเอาแพรไหมทานทนไม่ไหวจนต้องหลับตาเพื่อหลบสายตา
ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารินรดใบหน้า พี่ไรเฟิลไม่กลัวติดไข้จากเธอหรืออย่างไรนะ แต่เธอหายแล้วนี่เขาคงไม่กลัวหรอก
ในขณะที่แพรไหมกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปกับสายตาของเขาเมื่อครู่ไรเฟิลก็พาริมฝีปากตัวเองมาประกบจนได้
และในขณะที่กำลังจะขยับริมฝีปากเพื่อลิ้มรสความหวานละมุนเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น
"ทำอะไรกันคะ!"
ตีกอล์ฟมั้ง
ไรเฟิลรีบเด้งตัวออกแล้วลุกขึ้นนั่งทันทีราวกับต้องของร้อน ให้ตายสิยัยเฟิร์น เข้ามาขัดจังหวะจนได้สินะ
เฟิร์นยิ้มแห้ง ๆ ไม่น่าขึ้นมาตอนนี้เลยสินะ ดูหน้าพี่สาวเธอสิ ตูมอย่างกับเพิ่งโดนผึ้งต่อยมา สงสัยเธอคงมาขัดจังหวะสินะ
แหมพี่ไรเฟิล ไหนบอกว่าไม่รักไม่ชอบเพื่อนเธอไง แล้วนี่อะไรกัน ขนาดเพื่อนเธอป่วยก็ยังไม่เว้น โอเคค่า ไม่ชอบก็ไม่ชอบ