บ่าวไพร่ทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะสาวใช้รอบกายเสิ่นรั่วซี ทุกคนต้องคอยเฝ้าดูว่าฮูหยินต้องการสิ่งใดหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของร่างเดิมก็มิได้สนใจผู้ใดชอบอยู่เพียงลำพังมากกว่า ซึ่งวันนี้แม้จะให้ทุกคนออกไปจากห้องเหมือนเดิมกลับเพิ่มเติมการเรียกสาวใช้ประจำตัวเข้ามา
“ฮูหยินต้องการสิ่งใดเจ้าคะ” ร่างเล็กคุกเข่าลงกับพื้นเนื่องจากนายหญิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะน้ำชา
“ซิ่วซิ่ว ข้าอยากรู้ว่าท่านพ่อท่านแม่ของข้าเป็นคนเช่นไร พวกท่านรักข้ารึไม่ อย่าได้โกหกข้าเพื่อรักษาน้ำใจเลยเพราะหากเกิดเรื่องราวอะไรที่ต้องหาคนพึ่งพิงข้าจะได้ตัดสินใจถูก” หญิงสาวกังวลว่าหากสถานการณ์ในตระกูลเสิ่นไม่ดีเด็กหญิงตรงหน้าจะไม่กล้าเล่าไปตามจริง
“เอ่อ…เจ้าค่ะฮูหยิน ในตระกูลเสิ่นท่านมิได้โดดเด่นเหมือนพี่น้องคนอื่นเจ้าค่ะ ท่านเจ้ากรมโยธามีสามภรรยาสี่อนุและสาวใช้ข้างห้องอีกเกินจะนับ เสิ่นฮูหยินให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่าบุตรสาวเช่นท่าน อีกทั้งน้องสาวของท่านยังมีนิสัยร่าเริงช่างออดอ้อนจึงถูกนำมาเปรียบเทียบกับฮูหยินบ่อยๆ เจ้าค่ะ” สีหน้าสาวใช้ตัวน้อยหม่นหมองยามนึกถึงชีวิตอันแสนหดหู่ของคุณหนู
คนงามพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แสดงว่าหากเกิดเรื่องขึ้นก็เลิกคิดหวังพึ่งพาบ้านเดิมไปได้เลย หากไปร้องขอความช่วยเหลือคงโดนไล่ตะเพิดกลับมาแน่
“แล้ว….บุรุษที่เจ้าบอกว่าเป็นอดีตคนรักของข้าล่ะ” แม้ไม่อยากสนใจแต่ก็ต้องถามข้อมูลเอาไว้ ถ้าพบเจอกันข้างนอกจะได้หลีกเลี่ยงเสีย
“คุณชายอู๋มีนามว่าหวงลู่ เกิดในตระกูลรองแม่ทัพ เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่กับฮูหยินเจ้าค่ะ” รั่วซีฟังแล้วขมวดคิ้วเคร่งเครียด…เหมยเขียวๆ อะไรนั่นหมายความว่ายังไงเนี่ย!
ต้องเข้าใจก่อนว่านางเป็นคนสมัยใหม่ซึ่งไม่ได้สนใจวัฒนธรรมเก่าแก่มากนัก อีกทั้งนิยายจีนโบราณที่อ่านก็แค่คั่นเวลาแก้เบื่อไม่ได้จริงจัง ดังนั้นพวกคำเปรียบเปรยเหล่านี้มันไกลจากชีวิตประจำวันจึงไม่ได้สนใจจะจำ
“เหมยเขียว….” รั่วซีแสร้งทวนคำหวังว่าจะได้รับการอธิบายเพิ่ม ซึ่งสาวใช้คนสนิทก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
“คุณชายอู๋เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่สนิทสนมแล้วโตมาด้วยกันเจ้าค่ะ พวกท่านแอบคบหาดูใจกันเป็นคู่รักจนกระทั่งสองตระกูลเกิดปัญหาไม่ถูกกันเสียก่อน” ฟังเสียงเจื้อยแจ้วเล่ามาขนาดนี้แต่นางก็หาจำเนื้อความของนิยายได้ไม่ ปรากฏว่าสองบ้านซึ่งเคยปรองดองดันแตกคอกันก่อนทั้งคู่จะได้แต่ง ความวุ่นวายเลยตามมาอย่างนั้นสินะ
“เรื่องคุณชายท่านนั้นข้าไม่สนใจอยากรู้เพิ่มแล้วล่ะ ขอบใจเจ้ามากนะ ว่าแต่ปกติแล้วข้าอยู่ที่นี่ทำอะไรบ้าง” อยากรู้เหมือนกันว่าชีวิตของตัวประกอบต้องยุ่งยากรึเปล่า
“นอกจากตรวจบัญชี จัดการเรื่องในเรือนบ้าง ฮูหยินก็เอาแต่ขังตนเองไว้ในเรือนไม่ออกไปไหนเท่าไหร่เจ้าค่ะ หากจะออกไปก็เพราะนายท่านเป็นคนพาไป” มือบางยกขึ้นคลึงขมับด้วยความปวดหัว ขนาดแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วยังตัดใจจากชายหนุ่มรักแรกนั่นไม่ได้อีกหรือ
“ข้าเข้าใจแล้ว…เช่นนั้นเจ้าออกไปก่อนเถิด” สิ่งที่ต้องทำยามนี้คือวางแผนการรบ อยากให้บ้านสามีประทับใจย่อมต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในหลายด้าน แม้นางจะเคยมีแฟนมาก่อนแต่ไม่เคยไปไกลถึงขั้นใช้ชีวิตคู่สักครั้ง เรียกได้ว่าเลิกกันภายในไม่กี่เดือนเพราะจิตรกรสาวไม่มีเวลาว่าง แม้จะรับโทรศัพท์ยังนับครั้งได้ด้วยซ้ำ หรือพูดให้ถูกคือไม่มีผู้ชายคนไหนทนอาชีพของหญิงสาวไหว
“เจ้าค่ะ” ซิ่วซิ่วรับคำอย่างเข้าใจ ก่อนจะถอยออกไปรอหน้าห้องดังเดิม
เมื่อกลับมาอยู่เพียงลำพังทำให้รั่วซีสามารถเรียบเรียงลำดับความสำคัญจากเรื่องที่ต้องทำได้ อย่างน้อยวันนี้คงต้องผ่อนคลายสมองเสียก่อน จากนั้นพรุ่งนี้จึงขอเข้าพบแม่สามีเพื่อเอ่ยปากขอให้ท่านสอนสั่งการทำงานในจวนให้ แบบนั้นย่อมเป็นการผูกสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ ทางด้านเด็กฝาแฝดหากไม่พบเจอกันเสียก่อนคงไม่รู้ว่าควรเข้าหายังไง ต้องรอคิดวิธีอีกครั้งหลังจากเจอกัน กับพ่อสามีไม่ค่อยได้เข้าพบนักจึงนับว่าไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่ ครานี้ก็เหลือแค่คนสุดท้าย…หยางจื่อหาน บุรุษผู้เป็นสามีอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม
“ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ไม่ควรลังเลอีก” ริมฝีปากอิ่มพึมพำเบาๆ สมองน้อยๆ ไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ นางคือภรรยาของเขา ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตต่อจากนี้เช่นไรก็ควรลุยให้เต็มที่ ความรักก็คล้ายกับงานศิลปะนั่นแหละ หากไม่ลงมือทำจะรู้ได้อย่างไรว่าสุดท้ายแล้วภาพนั้นจะออกมางดงามหรือเปล่า
ครั้นพอคิดไปถึงหน้าที่ของภรรยาดวงหน้าของโฉมสะคราญจึงขึ้นสีแดงก่ำ ชีวิตก่อนนางย่อมผ่านเรื่องพวกนี้มาบ้าง ถ้าถามว่าถึงขั้นช่ำชองเลยรึไม่ก็คงตอบได้เลยว่าไม่ถึงขนาดนั้น แต่ประโยคหนึ่งกลับดังก้องอยู่ในหัว
‘เรื่องบนเตียงมันสำคัญสำหรับชีวิตคู่เหมือนกันนะ’
นั่นคือคำพูดจากเพื่อนจิตรกรด้วยกันซึ่งสนิทกับหญิงสาวมาตั้งแต่วัยเรียน อีกฝ่ายเพิ่งเลิกกับแฟนเพราะฝ่ายชายไม่พอใจที่เพื่อนของนางไม่ยอมให้มีอะไรด้วยจนนอกใจไปกับสตรีอื่น ในนิยายเองก็เหมือนจะมีบรรยายหลายครั้งว่าการเชื่อมต่อกันผ่านร่างกายจะก่อเกิดสายใยผูกพันคนทั้งสองให้แนบแน่น
อีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือ…ไม่มีทางรู้เลยว่านางเอกในนิยายจะทะลุมิติมาเมื่อไหร่ หากมัวชักช้าแล้วบุรุษของตนถูกแย่งไปจะทำเช่นไร ก่อนจะปล่อยให้สตรีอื่นมาดึงดูดความสนใจของเขา นางต้องชิงลงมือโดยเร็ว!
ห้องทำงานเจ้ากรมยุติธรรม
“เป็นอะไรไป” เสียงเข้มงวดถามขึ้นเมื่ออยู่ดีๆ บุตรชายก็ชะงักค้างจากการจดรายงานที่ต้องทำ
“เปล่าขอรับ ท่านพ่อ” หยางจื่อหานสลัดความรู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ ออกไปก่อนเอ่ยตอบบิดา
“เป็นห่วงลูกสะใภ้อย่างนั้นหรือ” เรื่องที่เกิดขึ้นเขาเองก็ทราบมาบ้างจึงพอเข้าใจหากอีกฝ่ายจะไม่มีสมาธิ
“นางปรับตัวได้ดีขอรับ มิได้ทำให้ลูกกังวล” ดวงตาคมหรี่มองความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยซึ่งบุตรชายเองก็คงรู้ตัว แต่ก่อนเมื่อพูดถึงลูกสะใภ้คนนี้ทีไรมักตีสีหน้านิ่งเรียบไร้ความรู้สึกเพื่อกลบเกลื่อนปัญหารอยร้าวไม่ให้เขาได้รู้ มาครานี้กลับตอบรับด้วยท่าทีสบายใจกว่าเดิมมาก
“ดูเหมือนว่าสวรรค์อาจต้องการให้เจ้าได้มีความสุขเสียที เอาล่ะ มาตรวจคำร้องทุกข์ต่อได้แล้ว” ใช่ว่าเขาจะไม่รับรู้เรื่องในจวน เพียงแต่บางเรื่องการไม่พูดคงถนอมน้ำใจลูกมากกว่า
“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำด้วยรอยยิ้มบาง หวังว่าคำของบิดาจะเป็นความจริง
วันนี้เจ้าของจวนกลับบ้านเร็วกว่าปกติ สองขายาวเดินตรงไปยังเรือนหลักเพื่อพบเจอคนที่เฝ้ารอมาทั้งวัน ตั้งแต่ท่านพ่อเอ่ยถึงนางก็ทำเอาใจแกร่งอดนึกถึงใบหน้าเขินอายไม่ได้ สุดท้ายแล้วจึงโดนดุว่าไม่มีสมาธิเสียหลายครั้ง มือหนาเปิดประตูเข้ามากลับไม่พบร่างคุ้นตาแม้แต่น้อย บ่าวไพร่รอบๆ เรือนเองก็หายหน้าหายตาไปหมด ความรู้สึกผิดแปลกทำให้เขาจับดาบตรงเอวเตรียมพร้อมต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ฟึบ!
“ว้าย!”
ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อปลายแหลมของโลหะสีเงินแวววาวจ่อมาตรงลำคอ
“น้องหญิง…”
เสียงทุ้มเรียกคนตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก คนตัวเล็กเปียกปอนไปด้วยหยดน้ำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เสื้อคลุมสีขาวบางจนมองทะลุได้แนบสนิทไปตามเรือนกายนวลเนียนผุดผ่องจนเห็นเต้าหู้นุ่มสองลูกเด่นชัดกระแทกตา เสื้อที่ว่าสั้นลงมาแค่ถึงโคนขาอ่อนเท่านั้น ขาเรียวสวยโผล่พ้นอาภรณ์ไร้การปกปิด ใบหน้างดงามตกตะลึงยิ่งดูน่าทะนุถนอม
เสิ่นรั่วซีกรีดร้องในใจจนแทบหลั่งน้ำตา ก่อนหน้านั้นเพราะตัดสินใจลุยให้สุดจึงได้สั่งคนรับใช้ไปเฝ้าหน้าจวนรอเขากลับมาก็ให้รายงานนางโดยด่วน ระหว่างนั้นจึงเรียกสาวใช้ที่เหลือมาขัดสีฉวีวรรณเนื่องจากผู้หญิงจะหยุดสวยไม่ได้ หากหยุดสวยสตรีอื่นจะข่มเราแน่นอน