ทางเดินทอดยาวภายในอาคารสีขาวสะอาดตา มีเสียงเปียโนคลอเคล้าดังแว่วจากนักเล่นที่นั่งบรรเลงอยู่ตรงโถงกลางห้องกว้าง มีสวนหย่อมจัดอยู่โดยรอบตลอดไปจนถึงห้องตรวจ ถ้าไม่บอกว่าสถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาล ใครหลายคนคงคิดว่าเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวมากกว่า
เสียงฝีเท้าหนักๆ หลายคู่ก้าวลงไปบนทางเดิน คนที่เดินนำหน้าสุดอยู่ในชุดสูทเรียบหรูสีเทา ใบหน้าหล่อเหลาสวมแว่นตากันแดดสีดำแต่ไม่สามารถปกปิดความหล่อเหลาเอาไว้ได้
เจ้าของความสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร คือ ‘จาคอป ออสติน’ มาเฟียหนุ่มรูปงามที่สาวๆ ในโรงพยาบาลต่างเหลียวมองเป็นตาเดียว ไม่ใช่แค่เพียงความหล่อที่พกมาเต็มร้อย แต่เขามีขบวนติดตามที่เฝ้าอารักขาเกือบสิบคน นั่นเรียกสายตาสนใจจากคนทั่วไปได้เป็นอย่างดี หากแต่ว่านี่คือโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดและแพงที่สุด การได้เห็นภาพของสุภาพบุรุษคนหนึ่งมีทีมบอดีการ์ดรายล้อมจึงไม่สร้างความประหลาดใจมากนัก เพราะที่โรงพยาบาลแห่งนี้มีแต่คนระดับเศรษฐีมาใช้บริการ อีกทั้งยังรับคนป่วยกระเป๋าหนักที่เดินทางจากต่างประเทศเพื่อมารักษาที่เมืองไทยโดยเฉพาะ เพราะต่างประเทศนั้นมีข้อจำกัดทางด้านการรักษามากกว่าเมืองไทย
“มิสเตอร์ออสตินเชิญเข้าห้องตรวจได้เลยค่ะ”
เสียงพยาบาลที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างดีสมกับเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำดังขึ้นพร้อมกับเดินมาผายมือเชิญ จาคอปเดินนำเข้าห้องตรวจพร้อมกับทีมอารักขาเต็มอัตราที่เดินตามผู้เป็นนายไปอย่างรู้หน้าที่ พยาบาลสาวจะร้องทักแต่พวกเขาเหล่านั้นก็เดินตามเจ้านายเข้าไปโดยไม่สนใจสีหน้าเหวอๆ ของพยาบาลสาวชาวไทย
การเข้ามาแบบครบทีมของผู้ป่วยทำให้คุณหมอคนสวยเงยหน้าจากแฟ้มประวัติคนไข้ขึ้นมอง ดวงตาคู่กลมโตกะพริบปริบๆ
‘อะไรกัน มาหาหมอหรือจะมาอุ้มหมอ’
‘แพทย์หญิง บัวบุษยา ศิริกุล’ หรือหมอบัว ขมวดคิ้วทันทีที่เห็นภาพนี้ เธอเป็นแพทย์ที่ดูแลการฝังเข็มให้กับผู้ป่วยที่เข้ามารักษาที่ศูนย์เวชศาสตร์การฟื้นและกายภาพบำบัดภายในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งนี้ แม้จะเพิ่งเรียนจบมาได้ไม่นาน แต่เธอก็ได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถในด้านการฝังเข็มเป็นอย่างมาก
ผู้ป่วยรายนี้เป็นคนที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยกโทรศัพท์สายตรงมาให้เธอช่วยรับหน้าที่ตรวจเป็นพิเศษ เพราะเขาเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทผู้อำนวยการ แต่นางพยาบาลลือกันว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกมาเฟียที่มีอิทธิพลมาก
เธอไม่เคยรู้จักพวกมาเฟีย เคยดูผ่านภาพยนตร์ กับช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเคยอ่านผ่านตามาบ้างในนิยายพาฝัน แต่ไม่คิดว่าเดี๋ยวนี้จะยังมีพวกกลุ่มคนที่ตั้งตนเป็นมาเฟียอยู่อีก ท่านผู้อำนวยการบอกเธอว่า เขาต้องการได้รับการรักษาที่ตรงจุด และเธอคือแพทย์เฉพาะทางคนเดียวที่ทางโรงพยาบาลไว้ใจให้ทำหน้าที่รักษาคนสำคัญคนนี้
ใบหน้าน่ารักในชุดเสื้อกาวน์ขาวสะอาดมองจ้องเขม็งมาทำให้จาคอปจ้องกลับ ไม่เคยมีใครสบตาเขาอย่างท้าทายเช่นนี้มาก่อน นั่นคือความคิดที่ทำให้มาเฟียหนุ่มอดประหลาดใจไม่ได้ จนถึงกับต้องถอดแว่นกันแดดออกเพื่อมองคนสวย
สายตาสองคู่สบกัน ขณะที่บัวบุษยาก็ไม่ได้ยอมแพ้ มาเฟียหนุ่มยกยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจ และรอยยิ้มน่าประหลาดนั้นก็ทำให้บัวบุษยาได้สติ อดต่อว่าตัวเองไม่ได้ที่เผลอมองเขานานเกินไป
“มิสเตอร์ออสตินเชิญนั่งค่ะ แต่ก่อนนั่งช่วยเชิญผู้ติดตามของคุณออกไปรอด้านนอกด้วยค่ะ หมอต้องการทำงานอย่างมีสมาธิ”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหันกลับไปสั่งผู้ติดตามรูปร่างกำยำ พูดเป็นภาษาอังกฤษ “พวกมึงได้ยินไหม ไปรอข้างนอก”
“ครับเจ้านาย” พวกเขาไม่เคยชินกับการมาโรงพยาบาล เพราะหากผู้เป็นเจ้านายต้องการพบแพทย์ แพทย์ควรเข้าไปหาเจ้านาย ไม่ใช่ให้เจ้านายต้องเดินทางมาถึงโรงพยาบาล
“คราวนี้ คุณหมอคนสวยพร้อมจะตรวจผมแล้วใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มตอบกลับแต่ดวงตายังไม่ละไปจากดวงหน้าหวาน
“วันนี้ป่วยเป็นอะไรมาคะ”
“ผมปวดข้อมือข้างขวา”
ออสตินยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่รู้เป็นอะไร เขาชอบมองผู้หญิงใส่เสื้อกาวน์ คงเพราะอาชีพหมอเป็นอาชีพในฝันของมาเฟียหนุ่มเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่น
“แต่ตอนนี้อาจต้องเพิ่มโรคหัวใจเต้นแรงผิดปกติอีกโรคครับหมอ”
“ถ้างั้นเชิญคุณไปพบแพทย์ที่แผนกอายุรกรรมโรคหัวใจก่อนดีไหมคะ ถ้าหัวใจเต้นปกติแล้วค่อยกลับมาให้หมอตรวจดูอาการของคุณ”
จาคอปนิ่งอึ้งที่ถูกคุณหมอคนสวยไล่ออกจากห้องทางอ้อม
“เอาละค่ะ ตอบที่หมอถามนะคะ มีอาการอะไรอีกบ้างคะ เล่าให้หมอฟังให้หมด”
“ก็ปวดข้อมืออย่างเดียวครับ”
“ปวดตั้งแต่เมื่อไร อย่างไรคะ ช่วยเล่าอย่างละเอียดด้วยค่ะ หมอจะได้วิเคราะห์ถูกว่าคุณป่วยเป็นอะไร และควรจะรักษาอย่างไรดี”
“ผมปวดข้อมือตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่ว่าเพิ่งปวดมากเมื่ออาทิตย์ก่อน เวลาที่ปวดมากๆ...” จาคอปหยุดไปนิด เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม จ้องหน้าคนสวยก่อนจะพูดต่อ “ก็ตอนที่จับปืน มันจะเสียวแปลบที่นิ้วมือและข้อมือ”
“จับปืน?” คุณหมอสาวทวนคำ
“ใช่ครับ”
“คุณทำอาชีพอะไรหรือคะ” บัวบุษยาถามต่อ ไม่ได้มีความหวาดหวั่นกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึงว่านั่นคือวัตถุอันตราย อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลาที่พยายามทำเหมือนข่มขู่ให้เธอกลัวกลายๆ นั่นอีก มันทำให้เธอนึกหมั่นไส้เขามากกว่า
“ผมเป็น...อืม...ตำรวจ”
“ตำรวจ แต่ทำไมในแฟ้มประวัติบอกว่าคุณเป็นนักธุรกิจ”
“ผมยังพูดไม่จบ ผมเป็นคนที่ตำรวจต้องการตัวต่างหากครับ”
“...”
บัวบุษยาหน้าซีดเหมือนถูกขู่กลับกลายๆ ว่าอย่าลวดลายกับเขาขณะตรวจ
“ผมล้อเล่น ผมว่าคุณหมอรักษาให้ผมได้แล้ว เรื่องที่ว่าทำไมผมถึงต้องใช้ปืนคงไม่จำเป็นต้องรู้เยอะหรอก หมอไม่ใช่เมียผม” เขาหยุดมองหน้าสวยๆ “หรือว่า...”
สายตาของเขาทำให้บัวบุษยาแทบจะเอาสันแฟ้มประวัติการรักษาผู้ป่วยฟาดใส่ใส่เขา “นี่คุณ”
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “ผมเป็นนักธุรกิจ ทำอาชีพสุจริตและ ตอนนี้ ผมปวดข้อมือและนิ้วมาก ผมบอกข้อมูลส่วนตัวแล้ว คุณหมอจะรักษาผมได้หรือยัง”
“การรักษาคุณคือหน้าที่ของหมออยู่แล้ว” บัวบุษยาตอบอย่างข่มอารมณ์ ตกลง เขาต้องกวนประสาทเธออย่างนั้นใช่ไหม แต่ตอนนี้ เขาคือคนไข้ของเธอ บัวบุษยาจึงต้องระงับความไม่ชอบใจเอาไว้ “ถ้าอย่างนั้น หมอขอดูมือหน่อยค่ะ”
“ขอดูแค่มือหรือครับ นึกว่าจะขอดูใจด้วย”
จาคอปยื่นมือไปให้ด้วยแววตาวิบวับที่ทำให้บัวบุษยารู้สึกเริ่มเหลือทน
“ถ้าคุณยังรบกวนการตรวจของหมออีก หมอจะไม่ตรวจอาการคุณแล้วนะคะ”