ปราบครั้งที่ 12

2607 คำ
[ซ่า] พี่ปราบเงียบไปเกือบห้านาที ผมเช็ดน้ำตาบนหน้าออก เกลียดตัวเองที่บังคับน้ำตาไม่ได้ ไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอ “เฮ้อ” จากที่เงียบไปพี่ปราบก็ส่งเสียงถอนหายใจตอบกลับมา “ตอนนี้อยู่ที่ไหน” “อยู่บ้านแม่ ผมไม่อยากไปกลับไปนอนบ้านพี่แนน” และผมไม่อยากกลับไปอยู่ที่นั่นอีกแล้ว “ดีแล้ว อยู่บ้านยายมึงไปก่อนแล้วกัน ไว้กูจะรีบกลับไป แล้วค่อยไปขนของออกมาจากบ้านแม่มึงล่ะกัน” ผมแปลกใจเล็กน้อย “พี่เชื่อว่าผมไม่ได้เอาไปเหรอ” “แล้วมึงเอาไปหรือเปล่าล่ะ” ผมส่ายหน้า ก่อนจะรู้สึกตัวว่าทำไปพี่ปราบก็ไม่เห็น “ผมไม่ได้เอาไป” “กูเชื่อ” บอกไม่ถูกว่ารู้สึกดีมากขนาดไหนที่มีคนเชื่อผมว่าผมไม่ได้ขโมยเงินของพี่เบิร์ด รู้สึกดีใจมากกว่าตอนที่พลอยบอกเสียอีก “กูจะรีบเคลียร์งานแล้วรีบกลับไปยืนยันตัวตนว่านาฬิกานั้นเป็นของกู ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องเครียด มึงไม่ได้ทำอะไรผิดก็ทำตัวตามสบาย ถ้าแฟนใหม่แม่มึงจะเรียกตำรวจก็ให้เรียกมา เดี๋ยวกูส่งคนของกูไปจัดการให้” น้ำใจที่พี่ปราบหยิบยื่นให้ผมรู้สึกดีและอยากขอบคุณเขามากๆที่ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาดีกับผมเสมอ แต่ว่าผมจะรบกวนเขาไปมากกว่านี้ไม่ได้ ถึงผมจะไม่ใช่ผู้ดี แต่ความเกรงใจก็ยังมีอยู่บ้าง “ไม่เป็นไรหรอกพี่ พี่แค่มาบอกเขาก็พอว่านาฬิกานี้เป็นของพี่ แล้วก็ผมคงคืนให้พี่เลย มันไม่เหมาะที่จะอยู่กับผมหรอก ส่วนเรื่องข้าวของ พรุ่งนี้ถ้าผมมีอารมณ์คงเข้าไปเก็บแล้วย้ายออกมา ไม่อยากทิ้งไว้นาน” ผมบอกสิ่งที่ตัวเองคิดไว้เสร็จสรรพ “แน่ใจ” ก็...ยังไม่รู้ “อืม” แต่ผมก็เลือกที่จะโกหก ยังไงซะนี่เป็นปัญหาของผม ผมย่อมต้องจัดการเอง ตอนที่กดโทรหาพี่ปราบจิตใจผมก็แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้แค่ว่าผมอยากได้คนที่เข้าใจผมจริงๆ คนที่รับฟังและเชื่อว่าผมไม่ได้ทำผิดอะไร “งั้นก็ตามใจ แต่จำไว้ว่าถ้ามีอะไรไม่โอเคให้รีบโทรหากูทันที เข้าใจไหม” พี่ปราบสั่งเสียงเข้ม “พี่อาจจะทำงาน” ผมคาดเดา ก็เขาไปทำงานนิ ไม่ได้ไปเที่ยวพักผ่อนที่จะว่างตลอดเวลา “กูพกโทรศัพท์ตลอดเวลา โทรมาได้ทุกเมื่อ” “...” “รับปากกูสิ” “ครับ ถ้าผมโมโหจนทนไม่ไหวจะโทรไปหานะ” “เด็กดี” ฮะ! เมื่อกี้พี่เขาเรียกผมว่าอะไรนะ “ขนลุกว่ะพี่ เด็กดงเด็กดีอะไร” “หึหึ สบายใจแล้วสิ” เสียงของพี่ปราบกลับมารื่นหูอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เสียงเขาค่อนข้างเข้มและดูจริงจัง “ก็โอเค” ถ้าไม่คิดก็จะไม่หงุดหงิด คิดว่านะ “ถ้างั้นมึงก็นอนได้แล้ว กี่โมงแล้ววะเนี่ย ตีสาม ไปๆ วางสายแล้วก็นอนซะ” “ครับ พี่ก็ด้วย” “อืม ฝันดีนะมึง อย่านอนร้องไห้ขี้มูกโป่งล่ะ” “โหยพี่ นี่ใคร ไอ้ซ่านะครับ รุ่นนี้ไม่ร้องหรอก” พูดโม้ไปงั้นแหละครับ ใครจะยอมเสียหน้า ช่วยดูด้วย “เหรออ งั้นเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วกูคงหูฟาดได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ใส่” ถึงพี่ปราบจะเป็นรุ่นพี่ที่น่านับถือมาก พึ่งพาได้ดี แต่ก็กวนตีนสุดๆเช่นกัน “แค่นี้นะพี่” ผมตัดบทและกดวางสาย จากนั้นความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่มีเสียงของเขาดังข้างๆหู รู้สึกโหว่งในอกแปลกๆ ผมเป็นอะไรวะ สงสัยอารมณ์ยังไม่คงที “เฮ้อ ช่างแม่ง กูไม่คิดล่ะ ใครอยากทำอะไรทำไป กูไม่ได้ทำเป็นคนขโมยสักอย่าง หลักฐานก็มี กลัวห่าไรวะ” ผมบ่นกับตัวเองส่งท้ายก่อนจะหลับตาลงแล้วฝืนตัวเองให้นอนเสียที วันถัดมาผมตื่นสาย ถึงแม้จะบอกตัวเองว่าไม่ต้องคิดอะไร แต่กว่าจะข่มตานอนได้ก็เป็นชั่วโมง และที่ตื่นก็ไม่ได้ตื่นเอง แต่ไอ้มิวมาปลุก “ไอ้ซ่า มึงจะตื่นไหม แม่เรียกหลายรอบแล้วนะ” ไอ้มิวทำเสียงขุ่นกระชากผ้าห่มออกตัวผม “เออ เดี๋ยวกูลงไป” ผมแย่งผ้าห่มกลับคืนมา เอาจริง ผมว่าผมยังไม่พร้อมตื่นตอนนี้ ตายังลืมไม่ขึ้นเลย “เมื่อกี้มึงก็พูดแบบนี้แล้วก็นอนต่อ เดือดร้อนกูต้องขึ้นมาปลุกอีก” “กูง่วงไอ้เหี้ย” ผมขึ้นเสียงหงุดหงิด ลืมตาก็ลืมไม่ขึ้น แถมเวียนหัวอีกต่างหากกู “แต่เมื่อวานมึงก่อเรื่องไว้” ไอ้มิวพูดเสียงเอื่อย ยืนพิงกรอบประตู ผมตาสว่างทันที หัวโล่งไปแวบก่อนจะกลับมาปวดอีกรอบ ถ้าไอ้มิวพูดมาแบบนี้ก็แสดงว่ารู้กันทั้งบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย “พี่แนนโทรมาพูดอะไรอะ” ผม ลุกขึ้นจากเตียง คว้าเสื้อยืดที่ถอดทิ้งไว้เมื่อคืนมาสวม “โทรมาบอกว่าเงินหาย พี่เบิร์ดเขาสงสัยมึง” ไอ้มิวเล่า ก่อนจะใช้สายตามองประเมินมาที่ผม “มึงเอาไปจริงเหรอ” ผมจ้องตามัน “มึงคิดว่าไงอะ กูดูร้อนเงิน?” “ก็จริง มึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้นนี่” ไอ้มิวยักไหล่แล้วเดินลงบันไดไป ผมเดินตามไอ้มิวลงมาข้างล่าง แม่กับพ่อนั่งข้างกันบนโซฟาไม้หน้าเครียด พอหันมาเห็นผมแม่ก็ถอนหายใจใส่พร้อมกับส่ายหน้า “วันๆ มีแต่เรื่องให้กูปวดหัวจริงเลยพวกมึงนี่” แม่บ่น ผมทำหน้าบึ้งทันที ปัญหาพวกนั้นผมไม่ได้เป็นคนหามาสักหน่อย โดนยัดเยียดให้ทั้งนั้น “มึงได้เอาเงินเขาไปหรือเปล่าซ่า” พ่อถามผมแทน น้ำเสียงไม่ดุไม่ต่อว่า เหมือนถามเรื่องธรรมดาทั่วไป “ผมไม่ได้เอาไป เงินเขาเก็บตรงไหนผมยังไม่รู้ ไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายกับของในบ้านเขาหรอก” ผมตอบพ่อตามความจริง “แล้วมันโทรมาพูดได้ไงว่ามึงเอาไป” แม่ดูอารมณ์ไม่ดีมาก "แม่ ผมไม่ได้เอาไปนะ" "แล้วทำไมไอ้เบิร์ดมันสงสัยมึง" แม่ถาม "พี่แนนเขาไม่ได้บอกเหรอว่าทำไม" ผมคิดว่าเขาน่าจะบอกจนหมดแล้วเสียอีก "เขาบอกกูแค่ว่า เงินค่าบ้านไอ้เบิร์ดหายไปแล้วเขาสงสัยมึงเพราะมึงอยู่บ้าน แล้วมึงก็เดินออกมาจากบ้านแล้วไม่กลับไป เมื่อคืนแนนมันโทรหามึงก็ไม่รับสาย" ใครจะไปอยากรับ "เงินพี่เบิร์ดผมไม่เคยเห็น ไม่เคยเข้าห้องพี่แนนกับพี่เบิร์ดด้วย ปกติเขาก็ล็อคห้องตลอดผมจะ...." จริงสิ พี่แนนล็อคห้องตลอดตอนที่ไม่อยู่ ผมเคยเผลอไปเคาะเรียกเพราะคิดว่าพี่แนนนอนอยู่บนห้อง ปรากฎว่าห้องล็อคและพี่แนนก็ออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตมา "ถ้างั้นมึงก็ไม่ได้เอาเงินไป แล้วมันซักไซ้อะไร" พ่อพูดบ่นๆ "ก็รุ่นพี่ให้นาฬิกาผมมายืมใช้เพราะของผมพัง แล้วราคามันก็แพง พี่เบิร์ดเห็นเลยคิดว่าผมขโมยเงินเขาไปซื้อไง แต่มันของรุ่นพี่ผม จะให้ผมไปขายแล้วเอาเงินมาคืน ฝันไปเถอะ" ยิ่งผมแน่ใจว่าตัวเองกำลังเป็นแพะรับบาปก็ยิ่งโมโห "นาฬิกาอะไร" แม่ถามอย่างสงสัย ผมถอนหายใจเบาๆ แอบเคืองเจ้าของนาฬิกาเจ้าปัญหา ถ้าวันนั้นผมยืนยันจะไม่รับมาก็คงดี "ใช่นาฬิกาที่อยู่บนหัวเตียงป่ะ ยี่ห้อนี้แพงมากเคยเดินผ่านเคาน์เตอร์ในห้าง บางเรือนเป็นแสนเป็นล้านก็มีนะแม่" ไอ้มิวทำเสียงตื่นเต้นชี้มือชี้ไม้ไปมา "ซื้อนาฬิกาอะไรเป็นแสนเป็นล้าน ทำยังกับเงินหากันง่าย พวกคนรวย" แม่ผมเริ่มบ่นไปเรื่อย "แล้วนาฬิกานั้นตกลงเป็นของใคร" พ่อยังไม่ลืมว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรอยู่ "ของรุ่นพี่" "รุ่นพี่คนไหน ชื่ออะไร" แม่หันมาสนใจบ้าง "แม่ไม่รู้จักหรอก" คงไม่ทีใครคาดถึงว่าผมจะมีรุ่นพี่ที่เป็นคนดีมีระดับต่างจากตัวเองราวฟ้ากับเหว “แล้วมึงไปรู้จักเขาได้ยังไง มึงแน่ใจนะว่านาฬิกานั่นของรุ่นพี่มึง” พอแม่พูดแบบนี้จากที่อารมณ์เริ่มจะเย็นลงแล้วก็ดีดตัวขึ้นสูงอีกครั้ง “ถ้าแม่ไม่เชื่อเดี๋ยววันหลังผมพามาหาเลย ให้เจ้าตัวเขามายืนยันว่านั่นเป็นนาฬิกาของเขา” “อืม บอกให้เขามาล่ะกัน ไอ้แนนกับไอ้เบิร์ดมันจะได้หายข้องใจ” พ่อตัดบท ก่อนจะลุกไปทำงาน ส่วนผมแม้จะง่วงนอนแต่ตอนนี้คงนอนต่อไม่หลับแล้ว ก็เลยลุกขึ้นไปอาบน้ำกินข้าวจากนั้นก็ไปช่วยพ่อทำงาน พอได้ทำงานหนักๆเหนื่อยๆ ผมก็ลืมเรื่องเงินแสนของพี่เบิร์ดที่หายไปได้ชั่วขณะ จนกระทั่งเย็นผมทำงานเสร็จและได้เงินค่าแรงจากแม่ คืนนี้ผมคิดว่าผมคงไม่ออกไปไหน เพราะอยากจะเก็บเงินนี้เอาไว้เป็นค่าเช่าหอพักใหม่ ผมไม่มีทางกลับไปอยู่บ้านพี่แนนอีกแล้ว ก่อนจะเปิดเทอม นอกจากทำงานกับแม่แล้ว ยังมีเงินที่ได้จากการทำงานในร้านสะดวกซื้ออีก ช่วงค่ำพี่แนนกับพี่เบิร์ดมาที่บ้าน ครอบครัวผมกำลังนั่งกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย แค่เห็นหน้าเขาเท่านั้นผมก็หมดอารมณ์ หมดสิ้นความอยากอาหาร คงไม่ต้องบอกหรอกว่าเขามาที่นี่ทำไมถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน “ตามมาหาเรื่องถึงที่นี่” ผมบ่นลอยๆ พ่อกระแอมในคอใส่ผมให้ผมเงียบ “กินข้าวมากันยัง มาๆ มากินข้าว” แม่เอ่ยปากชวนพวกเขา “ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวแนนกับพี่เบิร์ดกลับไปกินที่บ้าน” พี่แนนพูด พี่แนนกับพี่เบิร์ดนั่งรอที่โซฟาไม้จนกระทั่งเรากินข้าวเย็นเสร็จ ผมกับไอ้มิวช่วยกันล้างจาน ส่วนแม่กับพ่อก็นั่งคุยอยู่กับพวกเขา “แม่คงรู้เรื่องจากแนนแล้วว่าเงินค่าบ้านผมหาย” พี่เบิร์ดอ้าปากพูดเรื่องที่ทำให้เขามาที่นี่ในวันนี้ทันทีเมื่อมีโอกาส “อืม เมื่อเช้าแนนโทรมาบอกแม่แล้ว และบอกด้วยว่าเอ็งคิดว่าไอ้ซ่าขโมยเงินไป” แม่พูด “คือผมก็ไม่ได้อยากพูดว่าซ่าขโมยไปนะครับ แต่เราอยู่กันแค่สามคน เงินนั่นผมก็ไว้โปะค่าบ้าน เมื่อวานตอนเช้าก่อนผมออกจากบ้านเงินยังอยู่เลย กะว่าวันนี้จะเอาไปจ่าย ตกเย็นพอกลับมาเงินก็หายไปแล้ว และซ่าก็กลับไปที่บ้าน อยู่บ้านแค่คนเดียว ผมดูแล้วบ้านช่องก็ไม่มีร่องรอยการถูกงัด ในเมื่อซ่ายืนยันว่าก่อนออกจากบ้านล็อคบ้านเรียบร้อยแน่นหนา ถ้าขโมยเข้าบ้านก็ต้องมีร่องรอยงัดเข้า แต่นี้ไม่มีแล้วแม่จะให้ผมคิดว่าใครเอาเงินไป” “เอ็งไม่คิดว่าเป็นแนนเอาไปหรือไง” พ่อที่นั่งเงียบมานาน พอเอ่ยพูดก็ทำให้พี่แนนกับเบิร์ดถึงกับอึ้ง “พ่อ! ทำไมพ่อพูดอย่างนี้ล่ะ แนนจะขโมยเงินค่าบ้านตัวเองได้ยังไง” พี่แนนโวยวายขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ไอ้ซ่ามันอาจจะไม่ใช่เด็กดี ทำตัวเกเร แต่เรื่องเงินเรื่องทองข้ามั่นใจว่ามันไม่ขโมยแน่ๆ ข้าเลี้ยงมันมากับมือ เอ็งไม่ได้เป็นคนเลี้ยงนะแนน ข้าก็เข้าใจว่าเอ็งคงไม่รู้จักลูกของเอ็งดีพอ...” “แต่คนเราถ้ามันหน้ามืดอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น” พี่เบิร์ดว่ากัดใส่ผม “รู้ดีแบบนี้เป็นเองหรือเปล่า” ผมก็พูดขึ้นลอยๆบ้าง “ซ่า เฉยๆไปไม่ต้องพูด” พี่แนนหันมาดุผม ให้ผมไม่ต้องพูดเหรอ ในเมื่อผมเป็นคนที่เดือดร้อนจากเรื่องนี้ เหอะ โคตรดี “แล้วพวกเอ็งจะเอายังไง มันบอกว่ามันไม่ได้เอาไป” แม่เริ่มอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด เพราะแกไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย “แต่เงินผมหายไปนะแม่” พี่เบิร์ดขึ้นเสียงใส่แม่ ผมชักสีหน้าใส่ทันที ด่าว่าผมกล่าวหาผม ผมยังไม่โกรธเท่ากับทำมารยาทแย่ใส่แม่ “พี่เบิร์ด ใจเย็นๆ” พี่แนนรีบเกาะแขนห้ามพี่เบิร์ด “ใจเย็นอะไรล่ะ ใครเอาไปก็น่าจะรู้ตัว รีบๆเอานาฬิกาไปขายแล้วเอาเงินมาคืน แล้วจะไม่ถือสาหาความ” ที่มาวันนี้ก็เพราะต้องการสิ่งนี้สินะ จะให้ผมขายนาฬิกาของพี่ปราบให้ได้ คนอะไรโคตรหน้าด้าน “โทษที่เถอะพี่เบิร์ด ผมไม่ได้เอาเงินพี่ไป ผมไม่เคยอยากได้ของๆคนอื่น ทำไมพี่ต้องมาอยากได้ของที่ไม่ใช่ของๆตัวเองด้วย” “หมายความว่าไง แนนเลี้ยงลูกยังไงให้ก้าวร้าวขนาดนี้เนี่ย” พี่เบิร์ดหันไปว่าพี่แนน “เฮ้ย! เลิกเถียงกันได้แล้ว กูรำคาญ” พ่อโพล่งขึ้นเสียงดังด้วยความโมโห ทุกคนจึงหุบปากแล้วนั่งกันเงียบๆ มีเพียงเสียงลมหายใจฮึดฮัดบ้างบางๆ “ซ่า รุ่นพี่เอ็งจะมาเอานาฬิกาวันไหน” พ่อหันมาถามผม “พี่เขาลงไปทำงานต่างจังหวัด กลับมาแล้วจะแวะมา” ผมตอบ “แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นของรุ่นพี่จริงๆ ไม่ได้แอบอ้าง” พี่เบิร์ดถาม “เขาเป็นเจ้าของ เขาต้องมีพวกกล่องพวกใบประกันอะไรพวกนี้อยู่แล้ว พี่ไม่ต้องห่วงหรอก รุ่นพี่ผมเขาไม่กระจอก” ผมพูดใส่หน้าแม่งเลย กวนตีน หาเรื่องจะเอาของๆคนอื่นให้ได้ “ถ้างั้นก็รอให้รุ่นพี่ไอ้ซ่ากลับมาก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน ไม่งั้นก็หาหลักฐานมา จากนั้นเอ็งจะจับมันเข้าคุกหรือจะให้มันหาเงินมาใช้กูจะไม่ยุ่งเลย” แม่พูดจบก็โบกมือไล่ ลุกขึ้นเดินเข้าห้องไปนอน “แล้วผมจะต้องรออีกกี่วัน” “กี่วันมึงก็ต้องรอ กูปวดหัวแล้ว” แม่ว่าเข้าให้ “กลับกันเถอะพี่เบิร์ด ให้พ่อกับแม่พักผ่อน” พี่แนนดึงแขนพี่เบิร์ดให้ลุกขึ้น มืออีกข้างก็คว้ากระเป๋าสะพายเตรียมกลับ “ไปๆ กลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว” พ่อลุกขึ้นเดินออกไปส่งพี่แนนกับพี่เบิร์ดข้างนอกพร้อมกับปิดล็อครั้วบ้าน หมดไปอีกวัน คืนนี้ผมไม่ได้โทรหาพี่ปราบ และพี่เขาก็ไม่ได้ส่งข้อความอะไรมา ผมนอนมองเพดานแล้วก็หลับไปด้วยจิตใจที่ค่อนข้างจะเหน็ดเหนื่อย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม