ปราบครั้งที่ 3

3024 คำ
[ซ่า] ขณะนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาล กำลังรอรับยาและข้างๆ กันก็คือพลอยแฟนผมกับเพื่อนผมอีกสี่คน ทุกคนอยู่ในความสงบต่างจากเหตุการณ์ที่เจอมาก่อนหน้านี้ “ทำไมต้องมีเรื่องตลอดเลย ไม่เข้าใจ” พลอยบ่น “ก็พวกมันกวนตีน” ผมตอบเสียงแข็ง แม้ว่าปากจะเจ็บก็ตาม “เหอะ ทำตัวอย่างกับหมา ชอบนักกัดกัน” พลอยด่าใส่ผมและเพื่อน หน้าชาดิกู พลอยมองผมด้วยหางตาอีกทีก่อนจะเดินหนีไป “เฮ้ย จะไปไหนวะ” ผมลุกตามไปกระชากมือพลอยแต่เธอสะบัดมือผมออก “จะกลับบ้าน ไม่อยากยุ่งกับอันธพาล” เป็นอีกครั้งที่ผมหน้าชา ไม่ใช่เพราะรู้สึกอ่อนไหวที่โดนด่า หนักกว่านี้ผมก็เจอมาแล้ว แต่ว่า...ก่อนหน้านี้แม้ว่าผมจะมีเรื่องต่อยตีกินเหล้าเที่ยวกลางคืนยังไง ถึงพลอยจะบ่น ถึงจะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่เคยมองกันด้วยสายตาที่แสดงออกมาว่ารังเกียจและรำคาญ คำว่าไม่อยากเข้าใกล้กับสีหน้ามันไปในทิศทางเดียวกันจนผมหวั่นใจ ผมเดินเข้าไปคว้าแขวนพลอยไว้ เธอหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าผมเซ็งๆ “ปล่อย” “เดี๋ยวดิ รอกลับพร้อมกัน อีกไม่กี่คิวก็ได้ยาแล้วเนี่ย” “ไม่ จะไปไหนก็ไปเลย วันนี้แยกย้ายกันกลับ” “อะไรวะ ก็ไหนบอกว่าวันนี้จะไปหาไรกินกันแล้วดูหนังไง” “ไม่มีอารมณ์” “ต้องให้กูทำอารมณ์ให้ก่อนไหม” ผมเดินย่างสามขุมเข้าไปใกล้ เริ่มขึ้นมึงขึ้นกูเพราะอารมณ์เสีย ผมอาจจะผิดที่ไปมีเรื่องต่อยตี ถึงผมจะไม่ชอบที่พลอยชอบบ่น แต่ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเธอไม่เคยแสดงออกว่าไม่อยากอยู่ใกล้หรือไม่อยากเจอหน้าผมอย่างวันนี้ “อย่ามาพูดจาแบบนี้นะ” “หึๆ” ใช่สินะ กูมันกุ๊ยนี่ จะไปอะไรกับเด็กนักเรียนโรงเรียนเอกชนบ้านรวยล่ะวะ แม่งก่อนจะคบกันก็บอกว่ารับได้ กูเป็นแค่เด็กเทคนิคก็ไม่เป็นไร รับได้ ความรักไม่แบ่งแยก กูพยายามบอกแล้วว่าคบกับกูไม่สวยหรู แต่ก็บอกว่ารักกูรับได้ทุกอย่าง แล้วนี่คืออะไรวะ ได้ใจกูไปแล้วทำแบบนี้เหรอ “ปล่อย” พลอยพูดย้ำอีกครั้ง “ได้” ผมเดาะลิ้นที่กระพุ้งแก้ม พยักหน้าหัวเสีย “กูจะปล่อยให้มึงกลับบ้านวันนี้ แต่กูไม่ปล่อยมึงไปตลอดแน่พลอย จำไว้” ผมชี้หน้าพลอยที่หงุดหงิดเป็นอย่างมาก เธอด่าผมหนึ่งคำแล้วเดินกระแทกเท้าจากไป ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขาประกาศเรียกชื่อให้ไปรับยา “ไหวไหมมึง หน้ามึงเหี้ยมาก” ไอ้ตูนถามสีหน้าเป็นห่วง ผมไม่พูดอะไร เดินออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมพวกมัน เงินค่าข้าวหายไปหลายมื้อกับค่ายาและค่ารักษา แถมมีเมียคนหนึ่งแม่งก็ไม่ได้ดั่งใจ “อย่าหาว่ากูยุแยงเลยว่ะ แม้พูดไปมึงอาจจะไม่เชื่อ แต่พลอยมันมีคนอื่นนอกจากมึงจริงๆ นะเว้ยไอ้พัช” ไอกานมันพูดหน้าเครียด ผมหันไปจ้องหน้ามัน ไม่ได้โกรธเพื่อนแม้ว่าคำพูดของมันจะทำให้ผมหน่วงในอกก็ตาม “เออ แล้วไหนจะท่าทีเบื่อมึงนักหนาขนาดนั้นอีก กูเห็นแล้วรำคาญลูกตา ถ้าจะมีคนอื่นก็บอกเลิกมึงไปเลยเหอะ ทำแบบนี้แม่งเรียกว่าสำส่อนชัดๆ” ไอ้หวายก็ใส่อารมณ์มาเต็ม ผมตวัดตามองมันอย่างไม่ชอบใจ คือยังไงพลอยก็ยังได้ชื่อว่าเป็นแฟนเป็นเมียผมอยู่ มันจะทำตัวไม่ดียังไงผมก็ไม่อยากให้เพื่อนเอามันมาพูดไม่ดีแบบนี้ “จนกว่ากูจะเลิกกับมัน อย่าพูดแบบนี้ให้กูได้ยินอีกนะไอ้หวาย กูไม่ชอบ” ผมกระแทกเสียงใส่มัน ไอ้หวายเลยทำหน้าโกรธใส่ผมกลับมา “ให้มึงเลิกกับมัน เหอะ รอให้มันเอากับผัวคนใหม่ให้มึงเห็นก่อนละมั้ง วันนั้นถึงจะมาถึง” ผมแสยะยิ้มแล้วกัดฟันพูด “ก็รอให้วันนั้นมาถึงก่อนละกัน” เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนคบกับพลอยต่อได้ไหม “เออๆ พอๆ คืนนี้ไปหาเหล้ากระแทกปากกันดีกว่าว่ะ” ไอ้นุ๊กเสนอขึ้นมาตอนที่เรากำลังนั่งรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ วันนี้ผมไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์มา ซึ่งก็ดี ไม่งั้นรถอาจจะพังระหว่างตีกับคู่อริ “หาคนเลี้ยงเหล้าสิหรือมึงจะจ่ายไอ้นุ๊ก ค่าหมอค่ายาเมื่อกี้หมดไปหกร้อยกว่าบาท เงินของอาทิตย์นี้กูไม่เหลือแล้ว” ไอ้กานบ่นครับ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับพวกมันทั้งสองคน หนึ่งคือทั้งอยากกินเหล้า สองคือเงินไม่มี คืนนี้ผมต้องไปทำงานแต่กำลังคิดว่าจะโทรไปลาดีไหม แม้ว่าโควตาการขาดงานของผมจะเข้าใกล้เส้นแดงมากขึ้นทุกที แต่สภาพผมตอนนี้ไม่เหมาะให้ไปทำงานเท่าไหร่ รวมไปถึงสภาพจิตใจด้วย บอกตามตรงว่าผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลย ถ้าได้เมาก็คงดี “เดี๋ยวกูหาคนเลี้ยงเหล้าให้ พวกมึงก็กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวก็แล้วกัน ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวกูโทรบอก” ไอ้หวายที่สูบบุหรี่อยู่เอ่ยขึ้น “เยี่ยมมากมึง หาให้ได้นะ” ไอ้ตูนยิ้มแป้นแล้นทันที “เออ แล้วมึงล่ะพัช คืนนี้จะไปไหม มึงต้องไปทำงานนี่” ไอ้หวายเงยหน้าถามผม “เออ เดี๋ยวกูโทรไปลางาน” ผมบอก รู้สึกอยากบุหรี่ขึ้นมาเหมือนกัน แต่แม่งหมด “มึงลางานบ่อยขนาดนี้ไม่เสี่ยงโดนไล่ออกเหรอวะ” “ก็คงงั้น แต่มึงจะให้กูไปทำงานสภาพนี้เนี่ยนะ คงโดนไล่กลับอยู่ดี” ทั้งหน้าและตามแขนขาลำตัวมีแต่แผล เขาคงให้ผมทำงานหรอกวันนี้น่ะ “เออ เอาไงก็เอา แยกย้าย ดึกๆ เจอกัน” ไอ้นุ๊กตัดจบเพราะรถที่มันต้องขึ้นกลับบ้านมาแล้ว จากนั้นต่างคนก็ต่างทยอยกลับ ผมกลับมาถึงห้องพักก็เจอกับไอ้กฤษกับแฟนมันนอนคุยบนเตียงกะหนุงกะหนิง มันสองคนหันมามองผมเล็กน้อยก่อนที่รูมเมตของผมจะเอ่ยทัก “ไปตีกับใครมาวะ สภาพดูไม่ได้เลย” “พวกเดิมๆ วันนี้ทำไมมึงไม่ไปเรียน” ผมถาม เมื่อคืนผมกลับไปนอนบ้าน ไม่ได้นอนห้อง พอไปถึงวิทยาลัยก็ถึงได้เห็นว่ามันไม่ได้ไปเรียน เพราะถ้ามันไปสภาพมันตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน อย่าถามเลยครับว่าตีกันไปทำไม ตีกันไปเพื่ออะไร มันไม่มีเหตุผลนอกจากคำว่าศักดิ์ศรีหรอก ยิ่งเห็นคนที่กวนตีนจนน่าเอาตีนถีบยอดหน้า ขาและมือมันก็กระตุกไปเอง “กูไม่สบายนิดหน่อย แฟนกูก็เลยมาดูแลที่ห้อง” ผมมองสำรวจสภาพมัน ทุกอย่างก็ดูปกติดี ไม่เห็นว่ามันจะเจ็บไข้ได้ป่วยตรงไหน สงสัยจะป่วยการเมืองอยากอยู่กับแฟน ไม่ว่ากันครับ ชีวิตใครชีวิตมัน เพราะชีวิตผมก็ไม่ได้ดี อยากทำอะไรทำไปเถอะถ้าพอใจ ผมเดินไปอาบน้ำและขึ้นมานอนบนเตียงของตัวเอง เสียบหูฟังเพลงไปด้วย ไม่อยากรับรู้ความหวานจากเตียงข้างๆ ก่อนจะเผลอหลับไปจนกระทั่งมีสายโทรเข้ามา เป็นไอ้หวายที่โทรมาบอกว่าพวกเฮียที่มันรู้จักจะเลี้ยงเหล้า ครั้งก่อนที่ไปผมก็ยังไม่ได้กิน ครั้งนี้กะว่าเอาให้เต็มที่ หงุดหงิดอยากระบาย ผมเปิดตาให้กว้างแล้วมองรอบๆ ห้อง มีเสียงหยดน้ำจากห้องน้ำ มองดูที่เตียงข้างๆ ไอ้กฤษกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า คงไม่ต้องบอกว่าตอนที่ผมหลับพวกมันทำอะไรกัน “เดี๋ยวกูจะออกไปข้างนอกนะ ไม่แน่ใจว่าคืนนี้จะกลับไหม” ผมบอก ถ้าเมามากอาจจะไปนอนบ้านเพื่อนคนใดคนหนึ่ง “คืนนี้แฟนกูก็จะนอนที่นี่เหมือนกัน” แปลง่ายๆ คือคืนนี้กูไม่ควรกลับมานอนที่ห้องสินะสินะ โอเค กูเข้าใจ “เอ่อพัช กูมีเรื่องจะบอก” ไอ้กฤษวางมือถือลงแล้วมองหน้าผมก่อนจะหลุบตาต่ำทำหน้าลำบากใจ “อะไรวะ” ผมถาม ลุกขึ้นเดินไปหาเสื้อผ้าเปลี่ยน ไอ้หวายบอกว่าเฮียมันจะพาไปร้านเหล้าร้านใหม่ที่ค่อนข้างดูดีนิดหนึ่ง เสื้อผ้าก็เลยต้องดูดี ผมกะว่าจะใส่คู่กับรองเท้าที่พี่จี้ซื้อให้ ก็คงจะพออัปเกรดให้ผมดูไม่สถุลมากนัก “คือ แฟนกูจะย้ายมาอยู่นี่ด้วย” ไอ้กฤษพูดเสียงเบา ผมหยุดมือที่กำลังหาเสื้อแล้วหันไปมองหน้ามัน “ที่ห้องนี้อะนะ” ผมทวนถาม คือหอพักนี้มันเล็กมาก แค่ผมอยู่กับมันสองคนก็แทบจะเดินชนกันอยู่แล้ว ถ้ามีแฟนมันมาอยู่ด้วยอีกคนจะอยู่กันยังไงวะ ไม่ขี่คอกันเลยเหรอ อีกอย่างแฟนมันเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชายจะอยู่กันยังไง ไหนจะตอนที่มันกับแฟนเอากันอีก ผมไม่ต้องออกไปรอนอกห้องจนกว่ามันจะทำกิจธุระเสร็จเหรอวะ บอกตามตรงว่าผมไม่อยากออกไปนอนพิงกำแพงหน้าประตูอีกแล้ว กูเมื่อย กูหนาว ยุงก็เยอะ “อืม กูก็เลยอยากจะ...” “...” ผมหันไปมองไอ้กฤษทั้งตัว ลุ้นคำที่มันกำลังจะพูด ทำไมกูรู้สึกว่าสีหน้ามันกับประโยคถัดมามันจะไปในทิศทางที่เลวร้ายวะ “คือ มึงหาหอใหม่อยู่ได้เปล่าวะ กูอยากได้ความเป็นส่วนตัวอยู่กับแฟนสองคน” “มึงว่าอะไรนะ” ผมกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ แต่ประโยคเมื่อกี้ทำเอากูมึนหัวหนักมาก “คือห้องนี้กูเป็นคนเช่าตั้งแต่แรกใช่ไหมล่ะ และตอนนี้แฟนกูจะมาอยู่ด้วย มึงหาหอใหม่ได้ไหมวะ กูไม่ได้ปุบปับจะให้มึงย้ายออกนะเว้ย มึงหาหอก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูช่วยหา” ผมเหมือนถูกเอาหินปาหัว โอเค สิ่งที่มันพูดผมก็พอเข้าใจได้ “กูขอโทษนะเว้ยพัช แต่...” “ไม่ต้องขอโทษหรอก กูเข้าใจ ห้องนี้เป็นชื่อมึงนี่ ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูหาที่อยู่ใหม่ได้” ผมบอกกับมัน พยายามฝืนยิ้ม แต่แม่งโคตรยาก “มึงไม่โกรธกูใช่ไหม” ผมหลุดขำ...แบบฝืนๆ “เออ อย่าคิดมาก กูเข้าใจ” ผมยักคิ้วให้มันก่อนจะหันหน้าเข้าหาตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกเสื้อต่อ แต่การเลือกเสื้อตอนที่จิตใจว้าวุ่นเป็นอะไรที่ยากลำบากพอควร สุดท้ายคว้าอะไรได้ผมก็ใส่ รีบแต่งตัวแล้วรีบออกจากห้อง มานั่งสูบบุหรี่ที่โต๊ะม้าหินด้านล่าง สูบบุหรี่ไปได้ครึ่งมวนไอ้หวายก็โทรมา ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์มากดรับ “เออ” “พัช มึงรออยู่ที่หอนะ เดี๋ยวเฮียปราบขับรถไปรับ กูกับเฮียใกล้จะถึงหอมึงละ ลงมารอข้างล่างเลย” เสียงไอ้หวายดังมาตามสายแข่งกับเสียงเพลงที่น่าจะเปิดในรถ “เออ กูอยู่ข้างล่างหอแล้ว” ผมพูด “โอเคมึง เจอกัน” ไอ้หวายเป็นคนตัดสาย ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงก่อนจะอัดบุหรี่เข้าปอดไม่กี่ทีก็หมดมวน สมองผมยังไม่โล่ง มันปวดตุบๆ เรื่องน่าปวดหัวประเดประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน ไหนจะเรื่องพลอย เรื่องเงิน เรื่องหอพัก หน้าตัวก็เจ็บ แม่งมีอะไรน่าหงุดหงิดกว่านี้อีกไหม ผมนั่งหลับตานิ่งๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถยนต์ ลืมตามองก็เจอกับรถยนต์คันหรูที่มีตราสี่ห่วงกลมๆ อยู่ด้านหน้า จะบอกว่าคุ้นตาก็คงประหลาด แต่เหมือนว่าผมจะเคยเห็น “ไอ้พัช ขึ้นรถเร็ว” กระจกรถเบาะหน้าเลื่อนลงแล้วหน้าไอ้หวายก็โผล่ออกมา นี่คงเป็นรถของเฮียมันแต่ไม่รู้คนไหน ผมเปิดประตูหลังเข้าไปนั่ง ยกมือไหว้และเอ่ยทักเจ้าของรถ “หวัดดี...พี่” เสียงของผมกระตุกเบาลงเมื่อเจ้าของรถหันมาให้เห็นชัดๆ ว่าเป็นใคร “เฮียปราบ นี่พัชเพื่อนผมเอง ไอ้พัชนี่เฮียปราบ ครั้งที่แล้วมึงกลับก่อนเลยไม่ทันได้เจอ รู้จักกันไว้เพราะคืนนี้เขาจะเป็นคนเลี้ยงเหล้าพวกเราเอง” ครั้งที่แล้วงั้นเหรอ...อยากจะบอกไอ้หวายว่ากูเจอแล้ว แต่ไม่คิดว่าไอ้นี่มันจะเป็นรุ่นพี่ของไอ้หวาย “ทำตัวตามสบายนะ ไม่ต้องเกร็ง” เฮียปราบของไอ้หวายพูดกับผม ดวงตาของมันมีแต่ความเจ้าเล่ห์บวกกับมุมปากที่ยกยิ้มข้างเดียว ดูแล้วกวนประสาทสุดๆ ไม่คิดเลยว่าผมจะต้องวนเวียนมาเจอกับมันอีก ‘กูชื่อปราบ ครั้งหน้าเจอกันอย่าลืมเรียกกูว่าพี่นะครับน้องซ่า’ แต่ในเมื่อต้องมาเจอกันอีกครั้ง แถมยังเป็นรุ่นพี่ของไอ้หวาย แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะไม่ค่อยชอบใจ แต่หากว่ามันเป็นคนดีผมก็จะนับถือมันเป็นพี่ด้วยอีกคน “ทำแผลก่อนออกมาหรือยัง” อยู่ๆ ระหว่างทางเจ้าของรถก็พูดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “เฮียถามผมเหรอ” ไอ้หวายเป็นคนตอบ “เออ ถามมึงกับเพื่อนมึงนั่นแหละ” ตอบก่อนจะมองหน้าผมผ่านกระจกมองหลัง “ผมทำแล้ว มึงทำยังไอ้พัช” ไอ้หวายชะโงกหน้ามามองผมที่อยู่ข้างหลัง “ยัง” หลังกลับจากโรงพยาบาลผมก็ยังไม่ได้ทำแผลใส่ยาหรือกินยาแก้อักเสบด้วยซ้ำเพราะไม่มีแก่ใจจะทำ “เอ้า ทำไมไม่ทำวะ” ไอ้หวายโวยวายใส่ผม “กูลืม” ผมตอบ ทีแรกว่าจะทำ แต่พอไอ้กฤษพูดเรื่องให้ผมย้ายออกจากห้อง ผมก็ลืมหมดว่าจะต้องทำอะไรบ้าง “ไอ้หวาย มึงเปิดคอนโซลข้างหน้า มียาทาแก้ฟกช้ำอยู่ เอาให้ซะ...ให้พัชทาไป” พี่ปราบพูด เขามองหน้าผมตอนที่กำลังจะหลุดเรียกชื่อเล่นที่แท้จริงของผมออกมา ก่อนจะเปลี่ยนไปเรียกชื่อเล่นที่เพื่อนผมและคนอื่นๆ เรียก มันก็ไม่ใช่ความลับหรอก แต่ตอนที่แตกเนื้อหนุ่มใหม่ๆ ผมรู้สึกว่าชื่อซ่ามันไม่ค่อยเท่ เลยให้คนอื่นเรียกว่าพัชแทนก็แค่นั้น ไม่มีอะไรพิเศษ “นี่ใช่ไหมเฮีย อะมึง เอาไปทาซะไอ้พัช” ไอ้หวายส่งตลับยาทามาให้ผม แต่ผมไม่รู้ว่าต้องทาตรงไหนบ้าง ไอ้หวายเลยเป็นคนทาให้ “เฮียปราบนี่สมกับเป็นลูกเจ้าของโรงฝึกชื่อดังจริงๆ มีของแบบนี้ติดรถด้วย” “ลูกเจ้าของโรงฝึก” ผมทวนคำไอ้หวาย ก่อนเหลือบมองพี่ปราบ แบบนี้ก็แสดงว่าต่อยตีเก่งสิวะ ต้องบอกว่าผมโชคดีหรือเปล่าที่ไม่ได้มีเรื่องกับพี่เขาจนโดนตีน ไม่ใช่ว่ากลัวนะครับ แต่ที่ต่อยตีกันอยู่ทุกวันกับอริต่างสถาบันมันคือการตีกันมั่วซั่ว มีอาวุธและพรรคพวก แถมตัวก็ไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่สูงใหญ่แบบพี่ปราบ “กูถามหน่อยสิ ตีกันมันสนุกตรงไหนวะ” พี่ปราบถามขึ้น ผมกับไอ้หวายมองหน้ากันก่อนที่ไอ้หวายจะหลุดขำ “ความสะใจไงพี่” ไอ้หวายตอบ สั้นๆ ง่ายๆ แม้จะไม่ใช่คำตอบของทั้งหมด แต่อย่างที่บอก มันเลยจุดที่ต้องมาถามแล้วว่าทำไปทำไม เพราะถ้าเราไม่ทำ มันก็ทำเราอยู่ดี มันคือการอยู่รอด อย่ามาพูดว่าต่างคนต่างอยู่ มันไม่มีจริงในโลกของเด็กช่าง “วันไหนตายห่าขึ้นมาไมใช่พวกมึงหรอกนะที่จะเสียใจ จำเอาไว้ กูก็พอจะเข้าใจ แต่ว่า...” พี่ปราบหยุดพูดก่อนจะมองสบตากับผม “คิดจะต่อยตีกับชาวบ้านก็อย่าแพ้กลับมา มึงเจ็บอีกฝั่งต้องเจ็บมากกว่า เข้าใจไหม” ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกว่าประโยคเมื่อกี้พี่ปราบเน้นย้ำให้ผมเข้าใจ “ค้าบ ทราบแล้วครับพ่อ” ไอ้หวายทำทะเล้นกลับ เพียะ! “เดี๋ยวมึงจะโดน” ไอ้หวายโดนพี่ปราบตบหัวอย่างแรงจนหน้าเกือบกระแทกคอนโซลรถ “เฮียปราบ! มือหรือตีนเนี่ย ผมเจ็บตัวอยู่นะเว้ย” ไอ้หวายโวยวายเสียงดันลั่นรถ แต่ทำไมผมรู้สึกขำก็ไม่รู้ “สม มึงอยากกวนตีนกูดีนัก ช่วยเรียบร้อยเหมือนเพื่อนมึงหน่อยได้ไหม” “โหย อย่างไอ้พัชเนี่ยนะเรียบร้อย พูดผิดผมให้พูดใหม่ เฮียยังไม่รู้จักมันดีพอ ส่วนมึงไม่ต้องมายิ้มเลย อู้ย มึนหัว” ผมหมั่นไส้เลยผลักหัวมันเล่นซ้ำรอยที่พี่ปราบเพิ่งจะตบไป ไอ้หวายโวยวายใหญ่โต ทั้งผมและพี่ปราบก็ได้แต่หัวเราะเยาะใส่มัน สมน้ำหน้า พูดมากดีนัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม