[ปราบ]
วางสายจากซ่าผมก็เดินไปอาบน้ำลวกๆ เพราะวันนี้ฝึกคาราเต้ให้ตัวเก็งของโรงฝึกที่เตรียมจะไปประกวดระดับประเทศทั้งวัน พอสอบเสร็จก็ดันคิดถึงไอ้เด็กซ่าขึ้นมาก็เลยโทรหา ใครจะไปคิดว่าโทรตอนได้จังหวะพอดี
เสียงที่ผมได้ยินตอนที่อีกฝ่ายพูดคือเสียงที่แหบและสั่นเล็กน้อย ผมรู้สึกผิดปกตินิดหน่อย และต่อมาเมื่อซ่าตอบคำถามเพียงสั้นๆ แล้วเงียบไป ผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ปกติ นึกถึงสิ่งที่ที่ไอ้หวายเคยบอกไว้เกี่ยวกับซ่า เพราะผมโทรไปถามมันเรื่องที่ซ่าต้องออกจากหอพักหลังจากที่ส่งซ่ากลับบ้าน บวกกับผมอยากเจอด้วยเลยอาสาจะไปรับ
‘มันเป็นพวกชอบเก็บเงียบ ยิ่งเวลาไม่สบายใจนะเฮีย อย่างกับปากถูกเย็บไว้’
‘หมายความว่าถ้ามันเงียบก็แสดงว่ามันกำลังรู้สึกไม่ดีเหรอ’
‘ประมาณนั้น จะหลุดพูดตอนเมานั่นแหละ แต่ก็ไม่ทุกครั้งเสมอไป’
เท่าที่ประเมินด้วยสายตาหลังจากที่เจอกันไม่กี่ครั้ง ซ่าไม่ใช่เด็กอ่านยากแต่ก็ไม่ง่าย มันชอบทำตัวเป๋ไปเป๋มาให้คนรอบข้างเดาอารมณ์ไม่ถูก ผมค่อนข้างสนใจและรู้สึกสนุกไปกับการเรียนรู้ตัวตนจริงๆ ของมัน
“ป๊า กลับก่อนนะ” ผมตะโกนบอกพ่อหมายเลขหนึ่งที่กำลังเฝ้าเด็กทำความสะอาดโรงฝึกอยู่ เพราะดันจำได้ว่าเด็กที่มีเวรทำความสะอาดวันนี้เกเรงาน ทำไม่เรียบร้อย โดนผมจัดการไม่เท่าไหร่ โดนป๊าพูดได้คำเดียวว่าเละ ฮ่าๆๆ
“มึงจะรีบกลับไปไหน” ป๊าตะโกนกลับมา ยืนเท้าเอวทำหน้าขรึมแบบที่สาวน้อยสาวใหญ่ต่างลงความเห็นว่าเท่โคตร และผมก็เห็นด้วยว่าป๊าผมอย่างเท่ ยังไม่แก่เลยสักนิด
“จะแวะไปทำธุระข้างนอก บอกพี่ริชกับพี่เค้กให้ด้วยว่าเดี๋ยวกลับไปกินข้าวที่บ้าน ขอของโปรดเยอะๆ”
“เออ ขากลับบ้านแวะซื้ออาหารหมามาด้วย ไม่งั้นลูกมึงอดตายแน่” ป๊าสั่ง
“รับทราบครับคุณสงคราม”
“อย่ากลับบ้านเย็นล่ะ กูขี้เกียจรอกินข้าว”
“คร้าบบบ” ผมลากเสียงกวนป๊า แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ ขับไปตามเส้นทางที่จำได้อย่างดีแม้ว่าจะไปมาแค่ครั้งเดียว ผมกดโทรหาซ่าเมื่อใกล้จะถึงปากซอยบ้านมัน ผมยังไม่รู้เลยว่าบ้านมันอยู่ตรงไหนของซอย
“กูใกล้ถึงแล้ว” ผมบอก
“ผมรออยู่ปากซอย”
ผมเลิกคิ้วสูง แล้วกดวางสาย ไม่นานก็เห็นเด็กร่างสูงแต่ผอมแห้งยืนก้มหน้าเอาเท้าเขี่ยพื้นอยู่หน้าปากซอยบ้านมัน ผมจอดรถตรงหน้าเด็กซึมที่ซ่าไม่ออก เลื่อนกระจกรถให้มันเห็นว่าเป็นผม
“ขึ้นรถ”
ซ่าก้มหน้าลงมองก่อนจะเปิดประตูเข้ามานั่ง จากนั้นผมก็ออกรถขับไปเรื่อยๆ ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนดี คนข้างๆ เงียบไม่พูดไม่จา สีหน้ามันดูเรียบเฉย
“ซ่า” ผมเรียกให้มันหันมามอง ตาไม่แดงแหะ แสดงว่าไม่ได้ร้องไห้ หรือร้องไปแล้วก็ไม่รู้
“พี่จะไปไหน” ซ่าถาม จากตอนนี้เท่าที่สังเกตมันก็ดูไม่ได้แย่อะไร หรืออาจจะแย่แต่ปกปิดได้มิดชิด
“อยากไปไหนหรือเปล่า” ผมถาม
ซ่าส่ายหน้า “ไม่รู้สิ”
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือไง” ผมถาม ซ่าเบนหน้ามองนอกกระจกรถ แล้วก็เงียบ ถ้าสิ่งที่ไอ้หวายพูดคือสิ่งที่ถูก แสดงว่าตอนนี้ซ่ากำลังมีเรื่องไม่สบายใจ
เห็นมันทำหน้ากึ่งนิ่งกึ่งเศร้าแล้วขัดใจชอบกล ผมชอบมองหน้ามันตอนกวนตีนหรือหาเรื่องมากกว่า เป็นไปได้ตอนยิ้มนี่ดีสุดล่ะ
“บางที ถ้าพูดมันออกมา อาจจะดีกว่าเก็บไว้กับตัวเองก็ได้” ผมค่อยๆตะล่อมให้เด็กพูดสิ่งที่อยู่ในใจ
แต่ซ่าก็ยังคงเอาแต่เงียบ ผมขับรถพามันไปเดินเล่นที่สวนสันติชัยปราการ แดดตอนเย็นๆไม่ค่อยร้อน ได้รับลมเย็นๆมันคงจะรู้สึกดีขึ้น
“เวลาเครียดๆกูชอบมานั่งดูวิวแถวๆนี้ มองเรือแล่นผ่านไปมา ไม่ต้องคิดอะไร แค่มองไปเรื่อยๆ จนว่าจะใจเย็นลงและรู้สึกสบายใจขึ้น” ผมพูด เราสองคนจับจองม้านั่งตัวหนึ่งที่หันหน้าออกแม่น้ำเจ้าพระยา
“อินดี้ดีเนอะ” ซ่าขำเบาๆ
“เก็บเรื่องเครียดๆไว้กับตัวไม่ดีหรอก มึงต้องปล่อยมันออกมา”
“...” ทีนี้เงียบกริบ
ผมว่ามันเป็นเด็กที่รับมือยากตรงเวลาที่มันตัดสินใจที่จะไม่พูดออกมาเนี่ยแหละ
และผมกำลังเดาว่า เวลามันเครียด มันจะระบายออกทางไหนได้ถ้าไม่พูด ร้องไห้ ทำลายข้าวของ หรือการใช้กำลังต่อยตี เท่าที่คิดสองอย่างหลังก็ดูเป็นไปได้ ผมเคยเจอเด็กประเภทนี้มาเยอะ ส่วนมากก็เด็กที่มาเรียนต่อสู้นั่นแหละ
ผมยังเดาไม่ออกหรอกว่าชีวิตของมันเป็นแบบไหน รู้แค่ว่ามันเป็นเด็กเรียนช่างกล มีเรื่องต่อยตีกับคู่อริ มีแฟนที่กำลังระหองระแหง นอกจากเรียนแล้วก็ยังต้องทำงาน โดนรูมเมทไล่ออกจากหอพักแบบประนีประนอม ภายนอกที่แสดงออกดูแข็งกร้าว แต่ไม่ได้ดูเข้มแข็ง
เพราะคนที่เข้มแข็งแล้ว จะสามารถพาตัวเองออกมาจากความทุกข์ได้โดยที่ไม่ต้องให้ใครนำทาง
ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากที่มาถูกใจคนอย่างมัน ก็แค่เด็กอายุสิบเก้า จะเอาอะไรมาก
“พี่ปราบ”
หลังจากที่ผมปล่อยให้ซ่าได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง โดยที่ผมทำเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนมัน ทุกครั้งที่มันมองมาก็จะเห็นว่าผมมองมันอยู่
ในที่สุด ดูเหมือนว่ามันกำลังจะเปิดเผยเรื่องที่อยู่ในใจ
“หืม” ผมตอบรับสั้นๆในคอ
“ถ้าพี่ต้องไปอยู่กับคนที่ไม่อยากไปอยู่ด้วย พี่จะทำยังไง” ซ่าเริ่มด้วยการตั้งคำถามใส่ผม
ผมประมวลคำถามที่ได้ยินก่อนจะตอบ “ไม่ทำยังไง ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป”
ทันทีที่ผมพูดจบ ม่านตาที่บีบตัวก็ขยายกว้างเหมือนถูกใจในคำตอบของผม ผมจับจ้องทุกอากัปกิริยา แต่ไม่ปล่อยให้ซ่ารู้สึกฮึกเหิมกับคำตอบของผมนาน ก็พูดประโยคต่อมาเพื่อขัดความคิดที่กำลังจะฟุ้งซ่านไปไกลของอีกคน
“ถ้าเป็นกูเมื่อตอนอายุเท่ามึงคงตอบแบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่”
“อ้าว” ซ่าทำหน้าเหวอ ดูแล้วตลกดี แต่ก็...น่ารัก
“จำเป็นต้องไปหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับเหตุผลมากกว่า”
“ทำไมต้องคิดถึงเหตุผล ก็คนไม่อยากไป” หน้ามันหงอย ก้มลงมองมือตัวเองที่บีบกันแน่น
มองยิ้มบางๆให้กับภาพที่เห็น “ตอนอายุสิบสองขวบ ป๊าต้องการให้กูไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษ ตอนนั้นกูไม่อยากไปและต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ต้องไป รู้ไหมว่าตอนกูไปถึงนู่นทุกอย่างดูน่ากลัวไปหมด แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทุกอย่างแม่งดูสนุกไปหมด ท้าทาย ทั้งผู้คนใหม่ๆที่ต้องพบเจอ และท้าทายใจตัวเอง”
คิดย้อนไปถึงตอนนั้นผมก็ตลกตัวเองนะ งอนป๊ากับพ่อ (งงไหมว่าทำไมมีสองคน ไว้ถ้าผมมีอารมณ์ผมจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน) ตอนนั้นไม่พูดไม่กินข้าวแม้จะแค่วันเดียวก็ตาม ไหนจะพี่ริชกับพี่เค้ก(เมียป๊ากับพ่อ)ก็เห็นดีเห็นงามไม่สงสารผมที่ต้องไปอยู่กับคนไม่รู้จัก แม้ว่าจะเป็นเพื่อนของป๊าก็ตาม
แต่วันนี้ผมต้องขอบคุณที่ได้ไปอยู่ที่อังกฤษเป็นเวลาสามเดือนเพราะผมได้เรียนรู้โลกมากขึ้น ที่สำคัญผมเอาชนะความกลัวในใจตัวเองได้
“แม่ผมจะให้ผมไปอยู่กับเขาที่บ้าน ต้องไปอยู่กับแฟนใหม่ของแม่ ผมไม่อยากไปเพราะไม่สนิทด้วย” ซ่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆเป็นโทนเดียว ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ผมกำลังสงสัยว่าถ้าแม่มันต้องการให้ไปอยู่ด้วย แล้วตอนนี้มันอยู่กับใคร
“ปกติไม่ได้อยู่บ้านกับแม่เหรอ” ผมถามอย่างสงสัย
“ผมอยู่กับยายและตา แต่ว่าผมเรียกยายกับตาว่าแม่ เพราะเขาเป็นคนเลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิด”
“แล้วแม่?”
“เรียกพี่แนน”
แปลกดี
กับที่บ้าน ผมเรียกเมียป๊ากับเมียพ่อว่าพี่ริชกับพี่เค้กเพราะเรียกแม่หรือหม่าม๊าคงฟังดูไม่ดี แม้บางครั้งจะเรียกก็เถอะ แต่เป็นการเรียกแบบขำๆมากกว่า เพราะทั้งคู่เป็นผู้ชาย ส่วนผมเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงน่ะ คุณคงไม่งงนะ
“แล้วไงต่อ” ผมพูดเพื่อให้ซ่าเล่าต่อ
“ก็นั่นแหละ ผมกำลังเซ็ง เพราะต้องย้ายไปอยู่กับพี่แนน ผมไม่อยากไปอยู่หรอก ผมไม่ชอบแค่คิดก็อึดอัดแล้ว แต่แม่กลับไล่ให้ผมไปอยู่กับพี่แนน”
แม้จะต้องใช้ความพยายามในการเข้าใจลำดับเครือญาติของมัน แต่ผมจับจุดได้ว่า สาเหตุที่ทำให้ซึมไม่สมกับชื่อน่าจะเพราะน้อยใจที่ถูกยายที่มันเรียกว่าแม่สนับสนุนให้มันไปอยู่กับแม่แท้ๆมากกว่า
เท่าที่ฟังมา ผมก็ไม่รู้หรอกว่าครอบครัวมันเป็นยังไง อบอุ่นดีไหม หรือมีปัญหาอะไรกันภายในหรือเปล่า เพราะซ่ามันไม่ได้เล่ามากไปกว่านี้ และถ้าเมื่อมันไม่เล่าผมก็ไม่อยากถาม เรายังไม่สนิทกันขนาดจะถามซักไซ้มากความ
“ลองไปอยู่ดูก่อนสิ” ผมแนะ
ดวงตากลมโตตวัดมองผมเคืองๆ “ผมไม่อยากไป”
“แต่กูอยากให้มึงไป อย่าเพิ่งเถียง” เห็นมันอ้าปากจะเถียงกลับมาผมเลยต้องรีบหยุด “ฟังกูนะซ่า มันไม่ตายหรอกถ้ามึงจะไปอยู่บ้านแม่กับพ่อใหม่ กูบอกให้มึงลองดู มันอาจจะดีกว่าที่มึงคิด สำหรับกูแล้ว วัยของมึงอยู่บ้านดีที่สุด เพราะมันไม่สิ้นเปลืองเงินทอง ถึงมึงจะทำงานหาเงินได้แล้ว แต่งานพาร์ทไทม์แบบนั้นมันพอใช้หรือไง”
ผมเว้นช่วง สายตาก็จ้องหน้ามันไม่ลดละ เด็กแสบที่ทำหน้าแข็งใส่ผมเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย แต่แววตาของมันยังเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
“ผมไม่ใช่เด็กดี” เสียงพูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“กลัวพ่อใหม่มึงรับนิสัยมึงไม่ได้”
“เหอะ ไม่ใช่สักหน่อย”
หึหึ เด็กหนอเด็ก
“มึงก็แค่ไปย้ายเข้าไปอยู่ ถ้ามันไม่เวิร์คมึงก็ลองคุยกับแม่มึงดู กูบอกเลยว่ามันอาจไม่สวยหรูหรอก แต่ว่า คนที่ไม่เคยอยู่ด้วยกันพอมาอยู่ด้วยกันมันก็ต้องปรับตัวเข้าหากันบ้าง มึงเป็นเด็กมึงต้องปรับก่อน ส่วนพ่อใหม่มึงกูว่าเขาน่าจะรู้ว่าต้องทำตัวยังไง”
“แล้วถ้าเขาไม่รู้ล่ะ” มันถามประโยคนี้ด้วยแววตาที่ติดจะเอาเรื่อง “เขาก็นิสัยไม่ดี ผมไม่ชอบเขา”
“ทำไม” ผมจี้ถามทันที
ซ่าเม้มปากเข้าหากันแล้วค่อยๆคลายออก “เขาขี้โมโหและโวยวาย”
“มึงรู้ได้ไง” ในเมื่อไม่เคยไปอยู่กับเขา ทำไมมันถึงว่าเขาใจร้อนและขี้โวยวาย
“ก็เวลาพี่แนนไปไหนมาไหนแล้วไม่บอกเขา เขาชอบโทรมาตามหาและโวยวายกับที่บ้าน แถมพี่แนนยังชอบมาบ่นให้แม่ฟังบ่อยๆว่าเขาด่า บางครั้งทำร้ายร่างกายก็มี” ริมฝีปากบางเฉียบที่ติดจะคล้ำจากการบุหรี่บ่นขมุบขมิบขัดใจ
ฟังจากที่มันเล่าแล้วก็ไม่ค่อยน่าไปอยู่ด้วยเท่าไหร่ แต่แค่คำพูดของมันอย่างเดียวยังสรุปอะไรไม่ได้ ผมยังคิดว่ามันควรลองก่อนดีที่สุด
“กูยังย้ำคำเดินนะซ่า ว่าให้มึงลองไปอยู่ ถ้ามันแย่จริงๆ ไม่ไหวจริงมึงก็แค่กลับไปอยู่กับยาย แม่มึงจะได้รู้ด้วยว่าการที่มึงย้ายไปอยู่กับเขามันไม่โอเค เขาจะได้ไม่บังคับมึงอีก กับอีกทางก็คือ มันอาจจะดีมากๆก็ได้ แบบมึงกับพ่อเลี้ยงมึงเข้ากันได้ดีงี้ ใครจะไปรู้วะถ้าไม่ลอง”
ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ถ้าถามความเห็นจริงๆของผมล่ะก็ บอกได้เลยว่าไม่เกินอาทิตย์หรอก ไอ้ซ่าร้องไห้แงๆวิ่งกลับไปซบอกยายมันแทบไม่ทันแน่
“ผมอึดอัด โคตรอึดอัดเลยพี่รู้ไหม ทำไมมีแต่เรื่องให้หงุดหงิดก็ไม่รู้ แม่งขัดใจไปหมด” มันกัดฟันพูด มือก็กำแน่นทุบกับต้นขาตัวเอง
“มึงจะผ่านมันไปได้” ผมให้กำลังใจ
ซ่ามองตอบสายตาของผม เราสองคนจ้องตากันเกือบสิบวินาที
“ผมกลัวผมทนไม่ไหว” ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อที่มันยอมพูดความรู้สึกออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ผมแบมือตรงหน้ามัน ซ่ามองตามมือของผม หัวคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย
“อะไรอะพี่” มันถาม ก้มมองมือผมที่แบออกด้วยความสงสัย
“เอามือมึงมาวางบนมือกูสิ” ผมบอก
“ทำไมอะ” ยังคงถามมาก
“เออน่า”
ผมนั่งจ้องหน้ามัน รอให้มันเอามือตัวเองวางลงมา
มือที่เล็กกว่าผมค่อยๆยกขึ้นจากหน้าขาตัวเอง แล้ววางลงบนมือผมช้าๆ ผมบีบมือมันเอาไว้แน่น จ้องมองเข้าไปในดวงตาที่สั่นไหวขาดความมั่นใจ จากที่กำลังสัมผัสมือของมัน บอกได้เลยว่าเด็กคนนี้คงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากพอควร คงจะทำงานตั้งแต่เล็กแต่น้อย เพราะมือของมันสากและแห้งแตกระแหง ไม่นุ่มเหมือนมือใครที่ผมเคยจับ
“กูจะเติมพลังให้ เมื่อไหร่ที่มึงคิดว่าไม่ไหว ให้ส่งมือมาแล้วกูจะช่วยมึงเอง”
“...”
“กูให้เบอร์ไปแล้วนิ โทรหากูได้ตลอด”
“ถ้าผมอยู่กับเขาไม่ได้ล่ะ”
“กูรู้ว่ามึงเก่ง และมึงเป็นคนที่เข้มแข็ง” วิธีจัดการกับเด็กนั้นไม่ยาก ชมสักหน่อยความมั่นใจก็จะมา
“ผมกลัวเขาไม่ดีกับผม”
ผมเข้าใจความรู้สึกของมันในวันนี้ เพราะผมเคยผ่านมันมาแล้ว
“มึงจะอดทนใช่ไหม” ผมถามพร้อมลุ้นในคำตอบ ทำไมกูทำเหมือนกำลังปลอบลูกให้เข้าไปอยู่ในโรงเรียนประจำวะ
มันนิ่งก่อนจะพยักหน้าช้า “ผมจะพยายาม...พยายามอดทน”
“ดีมาก” ผมลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู
“แต่ถ้าผมทนไม่ไหว...” แป๊บเดียวก็มีข้อแม้ซะแล้ว จะไหวไหมเนี่ยไอ้ซ่า!
ผมบีบมือมันแน่นแล้วใช้มืออีกข้างประกบมือมันให้อยู่ในสองมือของผม
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็โทรหากู เดี๋ยวกูไปรับมึงกลับบ้านเอง โอเคไหม”
“...”
“แต่ต้องหลังจากที่มึงพยายามที่จะอยู่กับแม่และพ่อใหม่ของมึงแล้วจนถึงที่สุดจริงๆ ไม่อย่างนั้นกูจะไม่ไปรับเด็ดขาด” มีผ่อนก็ต้องมีตึงไม่อย่างนั้นเอามันไม่อยู่ เด็กแบบนี้เอาใจอย่างเดียวไม่ได้มันจะเหลิง
“โด่ ไม่ง้อหรอก ผมนั่งรถกลับเองได้”
“กวนตีน” ผมด่าเข้าให้ เรียบร้อยว่าง่ายได้ไม่นานจริงๆไอ้เด็กคนนี้
“เปนเด็กดีนะมึง”
เพราะกูชอบเด็กดี ที่แสบและซ่า
“พี่ปราบ ขอบคุณนะ” มันยิ้มอ่อนให้ผม ดวงตาที่เศร้าหมองมีประกายสดใจขึ้น
จนถึงตอนนี้ ผมเริ่มสงสัยในตัวเองหน่อยๆแล้วว่า ผมถูกใจไอ้เด็กเก็บกดคนนี้ที่ตรงไหนกัน
หน้าตา
ความกวนตีน
หรือความหว้าเหว่ที่ซ่อนลึกในดวงตาคู่นั้นกันแน่
หลังจากที่ปรับทุกข์กันเสร็จ และสีหน้าซ่าดูดีขึ้น ผมก็พามันไปส่งที่บ้าน และมันยังคงให้ผมจอดส่งมันที่หน้าปากซอย พอถามว่าทำไมไม่ให้เข้าไปส่งถึงในบ้าน มันก็ตอบมาแค่ว่าขี้เกียจอธิบายกับที่บ้านว่าใครมาส่ง มันไม่เคยรู้จักคนรวยๆแบบผม มันว่าอย่างนี้นะ เลยกลัวคนที่บ้านสงสัยแล้วจะถามซอกแซก มันบอกมันรำคาญขี้เกียจตอบ
จากเรื่องราวข้างต้น ผมก็พอสรุปได้ว่า นอกจากมันจะแข็งกระด้าง เป็นเด็กเก็บกด และใจร้อนแล้ว มันยังเป็นคนขี้รำคาญอีกด้วย
เออดี แต่ละอย่าง กูควรสนใจต่อดีไหม
แต่ทำไงได้...ทั้งหมดที่มันเป็น แม่งเรียกเลือดร้อนในกายผมให้รู้สึกอยากปราบ อยากสยบมันให้อยู่ ทำให้มันเชื่องและเชื่อฟังแต่ผม นอกจากนั้นผมยังอยากทำให้มันโตขึ้นเป็นเด็กดียังไงไม่รู้
ผมกลับมาถึงบ้านในเวลาทุ่มกว่า เลยเวลากินข้าวมาเกือบครึ่งชั่วโมง ทีแรกคิดว่าจะโดนด่าแล้ว ทว่าพอเดินเข้าบ้าน ทุกคนยังอยู่ละครซิทคอมกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่มีใครสนใจการมาของผมนอกจากเจ้าสองตัวที่วิ่งกระดิกหางระริกๆใส่ผม
ตัวแรกก็เจ้าซู่ซ่า ตัวที่สองชื่อปาปิก้า หมาพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ สองชื่อนี้ไม่ได้เป็นคนตั้ง คนตั้งก็คือพี่ริชกับพี่เค้ก เป็นหมาที่ผมซื้อมาเลี้ยงได้สามปีแล้ว ที่บ้านนี้ก็เคยมีหมาและแมวอย่างละตัว แต่ว่ามันก็ตายไปนานแล้วเหมือนกัน รู้สึกจะช่วงผมอายุเจ็ดแปดขวบมั้งถ้าจำไม่ผิด หมาชื่อสายไหมพันธุ์ปอม ส่วนแมวชื่อลูกหิน ผมจำความทรงจำช่วงนั้นได้รางๆ ตอนที่จะเลี้ยงเจ้าสองตัวนี้ก็คิดอยู่นานว่าคนที่บ้านจะเห็นด้วยไหม เพราะพี่เค้กกับพี่ริชไม่เคยคิดจะเลี้ยงสัตว์อะไรอีกเลยตั้งแต่เจ้าสองตัวนั้นตายจากไป แต่สุดท้ายผมก็ได้เลี้ยงและไม่มีใครห้าม
“ไง หิวเหรอไง นี่อาหารใครหืม อาหารใคร” ผมชูถุงอาหารมาให้เจ้าสองแสบดู พอเห็นถุงอาหารเจ้าซู่ซ่าก็กระโจนใส่ผมทันที ตัวมันก็ใช่ว่าจะเล็กๆ ทำเอาเซ ก่อนจะถูกหมาบ้าทำร้ายร่างกาย ผมก็รีบพามันออกไปกินข้าวนอกบ้าน
“พ่อ ผมพาไอ้สองแสบออกไปกินข้าวก่อนนะ” พ่อทราฟหันมาเจอผมพอดี
“อืม เค้กครับ ตั้งโต๊ะเลยแล้วกัน ลูกกลับมาแล้ว”
“กลับมาช้านะมึง กูบอกว่าอย่ากลับช้าๆ”
“อย่าบ่นนะป๊า แก่แล้วดิ” ผมแซวก่อนจะเรียกหมาทั้งสองตัวให้ตามไปกินข้าวข้างนอก
นั่งเฝ้าดูเจ้าแสบสองตัวกินอาหารเม็ดด้วยความหิวโหย เวลามองมันก็รู้สึกมันเป็นหมาโคตรเท่ แต่ว่านิสัยจริงปัญญาอ่อนไม่เข้ากับหน้าตา
เจ้าซู่ซ่ากินหมดก่อนและกำลังจะเข้าไปแย่งเจ้าปาปิก้า ผมเลยต้องจับมันไว้จนกว่าเมียมันจะกินข้าวเสร็จ เป็นผัวที่ใช้ไม่ได้จริงๆ พยายามจะเข้าไปแย่งให้ได้จนผมต้องดุ นั่นแหละถึงจะหยุด
ฮัสกี้เป็นสุนัขสายพันธุ์เดียวกับหมาป่า เป็นหมานักล่า ทว่าพออยู่กับคนมากๆเขา ถูกเลี้ยงดูสั่งสอน ก็กลายเป็นหมาเชื่องๆน่ารักตัวหนึ่ง
จะว่าไปแล้ว ผมเพิ่งสังเกตว่าชื่อหมาผม กับชื่อของซ่ามันเหมือนกัน
“หึหึ ซ่า อย่าดื้อนะ” ผมจับหน้าของเจ้าซู่ซ่าเอาไว้ ผมเรียกแค่ซ่าสั้นๆ มันก็ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ใช่ว่าจะเชื่อฟัง เพราะมันไม่เคยฟังไง พี่ริชถึงได้ตั้งชื่อว่าซู่ซ่า ซนยิ่งกว่าลิงเสียอีก ข้าวของหลายอย่างในบ้านพังเสียหานก็เพราะมัน ไม่เหมือนปาปิก้าที่เรียบร้อยกว่า อาจจะเพราะมันเป็นเพศเมียก็ได้มั้ง
เฝ้าตัวแสบสองตัวกินอาหารเสร็จ ก็ถึงเวลาที่คนต้องกินข้าวบ้าง แน่นอนว่าคนไม่มีคู่ก็เปล่าเปลี่ยวไป นั่งกินข้าวมองดูคู่รักสองคู่เอาใจกันอย่างชูชื่น เห็นแล้วมันอิจฉาโว้ย
ปลีกตัวกลับขึ้นห้องได้ผมคว้าโทรศัพท์มาดูเป็นอย่างแรก ครั้งก่อนผมได้เบอร์ ครั้งนี้ผมได้ไลน์ของซ่ามา คิดว่าคุยกันทางนี้น่าจะคุยได้บ่อยกว่า เพราะคนอย่างซ่ามันคงไม่โทรหาผมอยู่แล้วถ้าผมไม่โทรไปหามันก่อน แต่ถ้าเป็นพิมพ์ข้อความในไลน์ มันน่าจะทำ
MuePrab : ซ่า
Patcharakan :ครับ
ตอบซะสุภาพไม่เข้ากับตัวจริงเลย
MuePrab : ทำอะไรอยู่
Patcharakan :เพิ่งคุยโทรศัพท์กับแฟนเสร็จ
MuePrab : เป็นไง ทะเลาะกันอีกไหม
Patcharakan :วันนี้ไม่ทะเลาะ
เรื่องแฟนมัน จะว่าไม่รู้สึกก็ไม่ใช่นะ แต่ทำไงได้ มาที่หลัง ตอนนี้กูยังแค่ถูกใจ ไม่ได้รู้สึกว่ากูต้องแย่งมาหรืออะไร อีกอย่างดูท่ามันจะไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชาย เลยคิดว่าตะล่อมให้มันค่อยๆซึมซับผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจนขาดไม่ได้ดีกว่า
MuePrab : แล้วบอกแม่หรือยังว่าจะไปอยู่กับเขา
Patcharakan :ไม่บอกหรอก
Patcharakan :ยังไงเขาก็บังคับอยู่แล้ว
MuePrab : มึงนี่มันมึงจริงๆซ่า
Patcharakan :ก็ผมน่ะสิ พี่คิดว่าใคร
MuePrab : คิดว่าเป็นเด็กหน้าหงอยงอนยายล่ะมั้ง
แซวแม่งเลย กวนตีนได้แบบนี้แสดงว่าดีขึ้นแล้ว
Patcharakan :โหยพี่ ใครทำแบบนั้น ไม่มีเหอะ
MuePrab : แล้วต้องย้ายไปบ้านแม่เมื่อไหร่
Patcharakan :อาจจะอีกสองสามวัน
Patcharakan :แล้วแต่ว่าเขาจะเข้ามาเมื่อไหร่
MuePrab : เออ ทำตัวดีๆนะมึง
MuePrab : อย่าให้สิ่งที่กูสอนต้องเสียเปล่า
Patcharakan :ค้าบบบบบบ
MuePrab : รีบนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ตื่นไปเรียนเช้า
Patcharakan :ค้าบบบบพ่อ
MuePrab : เดี๋ยวมึงจะโดน
Patcharakan :55555
MuePrab : พรุ่งนี้มึงทำงานไหม
Patcharakan :ทำดิ ไม่ทำเอาเงินไหนกินอะ
MuePrab : เลิกกี่โมง
ถามไว้ก่อน เผื่อผมว่างอาจจะแวะไปหา
Patcharakan :ทุ่มหนึ่ง
MuePrab : อืม
Patcharakan :ทำไม พี่จะมาเหรอ
MuePrab : อยากให้กูไปไหมล่ะ
Patcharakan :เลี้ยงข้าวไหมล่ะ พี่เคยบอกว่าจะเลี้ยงนิ
MuePrab : เออ อยากกินไรคิดไว้เลย กูเลี้ยง
Patcharakan :ของแพงได้ไหม
MuePrab : ถ้ามึงอยากกิน กูก็จ่ายไหว
Patcharakan :ป๋ามากก
Patcharakan :ขอขอบคุณล่วงหน้าครับผม
เอาล่ะ เงินที่กูทำงานเก็บมาค่อนชีวิต จะได้ทำประโยชน์ล่ะ