ตอนที่ 4 รักแรกพบขององค์ราชัน/2

4691 คำ
10 วันผ่านไป  ทิวาราตรีหมุนเวียนพาดผ่าน ท่ามกลางกระแสน้ำแห่งไนล์อันเย็นยะเยียบในเวลาค่ำคืน และท่ามกลางเปลวแดดอันแรงกล้าจากแสงแห่งสุริยะเทพในยามกลางวันต่างพลัดเปลี่ยนไปหลายทิวาราตรี ในเพลานี้มิมีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าฟาโรห์แห่งอียิปต์ทรงเป็นเช่นไรบ้าง พระองค์จะทรงพระเกษมสำราญอยู่ ณ แห่งหนใดกันเล่า ทว่าก็หามีผู้ใดล่วงรู้ในชะตากรรมของฟาโรห์แห่งอียิปต์แต่อย่างใดไม่ พระองค์ถูกลอบสังหาร ราชองครักษ์ที่ติดตามเสด็จ ต่างสูญสิ้นชีวาไปด้วยกันทั้งหมดแล้วพระองค์เล่าในยามนี้จะทรงเป็นเช่นไร ในยามนี้ฟาโรห์เซติ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิอียิปต์ บรรทมอยู่บนฟูกหนาภายในบ้าน[1] ของสามัญชนคนธรรมดา ภายในบ้านปูด้วยเสื่อที่ทอมาจากต้นกกครอบคลุมพื้นดิน ชาวบ้านโดยทั่วไปจะนอนอยู่บนเสื่อที่ปกคลุมด้วยผ้าลินิน ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์กษัตริย์ในยามนี้เช่นกันแตกต่างกันแค่ตรงที่ พระองค์ประทับบรรทมอยู่บนฟูกหนานุ่มที่ทำมาจากขนห่านเท่านั้นเอง พระวรกายสูงใหญ่ กำยำ เต็มไปด้วยผ้าลินินขาวสะอาด ไม่ว่าจะเป็นพระอุระซึ่งบัดนี้ดาบที่ปักคาพระอุระถูกเอาออกไปจากพระวรกายจนหมดสิ้นเหลือร่องรอยของบาดแผลฉกรรจ์ที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลพันไว้โดยรอบ พระหัตถ์ที่เกิดจากคมดาบบาดลึกจนเป็นแผลเหวอะหวะ ก็ถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดีรวมไปถึงพระอูรุ [2]บาดแผลที่ทรงถูกแทงเป็นรูกว้างตามขนาดของดาบบัดนี้ได้รับการเยียวยารักษาเช่นเดียวกัน ในยามนี้องค์กษัตริย์รอดพ้นภยันตรายอย่างปาฏิหาริย์และพระองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ พระพักตร์ที่เคยซีดขาวเมื่อครั้งยามแรกในการรักษาเยียวยา เพลานี้เริ่มมีสีเลือดเจือจาง พระโอษฐ์ที่เคยแห้งผากแตกระแหงเริ่มลดลงแต่ก็ยังคงแห้งแล้งอยู่เช่นเดิม ด้วยเพราะพระองค์ยังไม่ได้พระสติประทับบรรทมนิ่งเข้าสู่วันที่ 10 ทว่าดั่งเทพเจ้าคอยคุ้มครองพระองค์ กลุ่มคนที่เข้ามาช่วยเหลือพระองค์ได้อย่างหวุดหวิด บัดนี้คือผู้ที่คอยดูแลเฝ้าไข้อย่างใกล้ชิดทั้งกลางวันและกลางคืน คอยป้อนข้าว ป้อนน้ำและยาอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาดเลยทีเดียว ชายชราสูงวัยกำลังใช้ช้อนบรรจงตักยาที่อยู่ในแก้วน้ำ ค่อยๆ หยอดใส่ลงในพระโอษฐ์แบบค่อยเป็นค่อยไป “เอ้า! กินยาเสียพ่อหนุ่ม”ชายชรากล่าวเบาๆ “เฮ้อ! นอนไม่ได้สติแบบนี้มา 10 วันแล้ว เมื่อไรจะฟื้นสักทีหนอ หน้าตา ท่าทาง รูปงามเสียนี่กระไร เป็นชาวอียิปต์จากหัวเมืองใดก็ไม่รู้ ป่านนี้ที่บ้านคงตามหากันจนวุ่นวายไปหมดเสียแล้วกระมัง” ชายชรารำพึงรำพันอยู่แต่ผู้เดียว ก่อนจะหันกลับไปมองประตูทางเข้าเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา “วันนี้อาการพี่ชายเป็นอย่างไรบ้าง ลุงชอร์ตี้ มีทีท่าว่าจะฟื้นบ้างหรือไม่” เสียงผู้มาเยือนเอ่ยถามไถ่อาการ “เหมือนเดิม นอนนิ่งไม่ได้สติ แล้วถ้าเกิดไม่ฟื้นขึ้นมาเลยจะทำเช่นไร” ผู้สูงวัยรำพึงรำพัน “พี่ชายอีกไม่นานก็จะฟื้น บาดแผลฉกรรจ์หลายที่ เสียเลือดไปก็มาก รอดตายมาได้ถือว่าอึดมากเลยเชียวล่ะ” ผู้มาใหม่เอ่ยบอก พร้อมวางพืชนานาพรรณที่เพิ่งไปเก็บมาลงในตระกร้าไม้ “นั่นเจ้าไปเก็บสมุนไพรมาต้มยาอีกแล้วหรือ ต้องกินอีกนานเพียงใดกันเล่าชายผู้นี้จึงจะหายเป็นปกติ” “ตัวยาที่ข้าเพิ่งไปเก็บมานอกจากจะบรรเทาไข้ได้แล้ว ยังช่วยทำให้คนเจ็บฟื้นตัวได้เร็วและมีเรี่ยวแรง ปู่ของข้าได้จดบันทึกตำรายาและถ่ายทอดให้แก่ข้า เพื่อที่ข้าจะได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์” เสียงเล็กๆ กล่าวอธิบาย ชายสูงวัยพนักหน้าขึ้นลงด้วยความเข้าใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ปู่ของเจ้าเป็นผู้รอบรู้มาก นอกจากจะอ่านออกเขียนได้ยังสามารถรักษาคนเจ็บป่วยได้อีก เจ้าโชคดีเป็นยิ่งนัก อายุเพียงน้อยนิดแต่ก็ได้รับการถ่ายทอดจนสามารถรอบรู้ไม่น้อยไปกว่าปู่ของเจ้า ซึ่งน้อยคนนักในอียิปต์จะหาผู้คนที่อ่านออกเขียนได้เช่นนี้” ชายชรากล่าวตามความเป็นจริง ร่างเล็กๆ ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปหาองค์กษัตริย์ พร้อมใช้มือค่อยๆ ง้างผ้าลินินที่ปิดบาดแผลฉกรรจ์ทุกจุดเพื่อสำรวจดูบาดแผล “อืมมม...น้ำผึ้งเริ่มทำหน้าที่สมานแผลแล้ว อีกไม่นานแผลจะสมานเข้าหากันแต่ก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะออกไปหาตัวยามาเพิ่มและหาอุปกรณ์ทำแผลมาเปลี่ยนให้ใหม่ที่ตลาดแลกเปลี่ยน” ร่างเล็กๆ เอ่ยบอกชายชรา ผู้สูงวัยพยักหน้าขึ้นลงแทนการตอบรับ ก่อนจะเอ่ยทักท้วง “ถ้าเจ้าจะออกไปหาตัวยาและอุปกรณ์มาทำแผล ข้าไปเองจะดีกว่า ใครๆ ก็รู้จักข้าแต่ถ้าเจ้าไปจะโดนพวกพ่อค้ากดราคา อีกอย่างเจ้าก็ตัวเล็กนิดเดียวจะไปสู้ผู้ใดได้เล่า” ชายชรากล่าวด้วยความเป็นห่วง “ลุงชอร์ตี้” ร่างเล็กๆ เอ่ยชื่อด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำแต่ยังมิทันกล่าวสิ่งใด ชายชราเอ่ยแทรกขึ้น “ข้าพูดตามความเป็นจริง ข้ารับปากปู่ของเจ้าแล้วว่าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุดเสมือนหนึ่งว่าเจ้าคือลูกของข้า ข้าก็ต้องห่วงลูกของข้าเป็นธรรมดา” “ข้าจะระวังตัวให้จงหนักแต่ถึงอย่างไรเสียข้าต้องไปเลือกเอง เพราะท่านไม่ล่วงรู้ตัวยาที่จะต้องนำมารักษา ข้าไปไม่นานจะรีบกลับมา ท่านลุงคอยดูแลพี่ชายท่านนี้ต่อเถอะ เดี๋ยวข้าจะมาผลัดเปลี่ยนช่วงกลางคืน” ร่างบางกล่าวพร้อมส่งยิ้มให้กับผู้สูงวัยพร้อมค่อยๆ ก้าวเดินออกจากประตู “เฮ้อ! ห้ามไม่ได้เหมือนเดิม” ผู้สูงวัยบ่นพึมพำพลางทอดสายตามองร่างเล็กๆ ที่ก้าวผ่านพ้นประตูบ้านตรงดิ่งไปขึ้นเรือที่จอดเทียบท่าเพื่อไปตลาดแลกเปลี่ยนการค้า ทันใดนั้นเอง “น...น้ำ...น้ำ” เสียงแหบแห้งดังขึ้นแผ่วเบา ผู้สูงวัยหันกลับมามองคนเจ็บที่นอนอยู่บนฟูกตรงหน้าโดยพลัน ด้วยไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินแผ่วเบานั้นมาจากร่างใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้านี้ใช่หรือไม่ “น้ำ...ขอน้ำ” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นอีกครา “ฟื้นแล้ว!” ผู้สูงวัยเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ พร้อมกระวีกระวาดรีบรินน้ำใส่แก้วก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปช้อนร่างคนเจ็บให้ลุกขึ้นเพื่อดื่มน้ำตรงหน้า บัดนี้ฟาโรห์เซติทรงได้พระสติแล้ว พระองค์เสวยน้ำด้วยความกระหายอย่างยิ่งยวด พระองค์เสวยน้ำหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว “ขอ...ข้าขอน้ำอีก” พระองค์รับสั่งขอน้ำเพิ่ม ทันทีที่ได้ยิน ผู้สูงวัยรีบคว้าไหน้ำที่วางอยู่ข้างคนเจ็บพร้อมเปลี่ยนภาชนะจากแก้วมาเป็นชามเทน้ำลงอย่างรวดเร็วประคองร่างคนเจ็บให้ดื่มน้ำเพิ่มตามความต้องการ “อึก...อึก...อึก” เสียงดื่มน้ำบ่งบอกได้ว่ามีความกระหายมากมายเพียงใด ก่อนจะหมดลงเหลือเพียงชามที่ว่างเปล่า พระวรกายค่อยๆ ถูกวางลงบนฟูกนอนอย่างช้าๆ พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรไปโดยรอบและหยุดลงที่ใบหน้าของชายชราตรงหน้า “นี่ข้ายังไม่ตายหรอกหรือ” องค์กษัตริย์รับสั่งถามด้วยสุระเสียงแหบแห้ง “ก็เกือบตายเหมือนกัน โชคดีที่มีคนรู้วิธีการรักษาแล้วก็เป็นเพราะเจ้าด้วยที่อึดทานทนกับพิษบาดแผลได้ ถ้าเป็นผู้อื่นคงสิ้นใจตายไปนานแล้ว” ชายสูงวัยเอ่ยบอกองค์กษัตริย์ พระองค์พยักพระพักตร์ขึ้นลงแทนการตอบรับด้วยความอ่อนแรง สายพระเนตรสังเกตไปรอบบริเวณบ้าน “นี่ข้าอยู่ที่ใดกันเล่า เพื่อนของข้าที่มาด้วยกันเป็นเช่นไรบ้าง” พระองค์รับสั่งถามด้วยความห่วงใยราชองครักษ์คู่พระทัย “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงแล้ว ส่วนเพื่อนของเจ้าไม่มีผู้ใดรอดสักคน ตายหมด” ผู้สูงวัยเอ่ยบอกองค์กษัตริย์ ฟาโรห์เซติประทับนิ่งเมื่อชายชราเอ่ยบอกเช่นนั้น พระองค์เศร้าพระทัยเป็นยิ่งนักเมื่อราชองครักษ์ทั้งสองต้องมาจบชีวิตเช่นนี้ “ไอ้พวกฮิตไทต์!” องค์กษัตริย์รับส่งรอดไรพระทนต์ด้วยความแค้นเคือง ก่อนจะทรงมีรับสั่งกับชายสูงวัยตรงพระพักตร์ “ข้าขอขอบใจท่านลุงเป็นยิ่งนักที่ได้ช่วยชีวิตข้าจนรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด หากท่านไม่ได้มาช่วยข้าไว้ข้าคงตายไปแล้ว” องค์กษัตริย์รับสั่งด้วยความซาบซึ้งพระทัย “โอ๊ย! ข้าไม่ได้เป็นคนช่วยเจ้าหรอก เนพเป็นคนยิงธนูปลิดชีพพวกที่จะฆ่าเจ้า แล้วก็เป็นคนที่คอยรักษาบาดแผลให้กับเจ้าด้วยเช่นกัน” ผู้สูงวัยกล่าวอธิบายเป็นเหตุให้ฟาโรห์แห่งอียิปต์แปลกพระทัยขึ้นมาทันที “ผู้ที่ช่วยชีวิตข้าเป็นหญิงเช่นนั้นหรือ” ฟาโรห์แห่งอียิปต์รับสั่งถามขึ้นมาโดยพลัน เล่นเอาชายชรานิ่งงันไปเลยทีเดียว “ทำไมเจ้าจึงคิดว่าผู้ที่ช่วยเหลือเจ้าเป็นหญิงแทนที่จะเป็นชาย” ชายชราเอ่ยถามเลียบๆ เคียงๆ องค์กษัตริย์กลับไป “ที่แท้เป็นชายเช่นนั้นหรอกหรือ คราแรกข้าคิดว่าเป็นหญิงด้วยเพราะมีนามที่แปลว่าดอกไม้ ข้าจึงคิดเป็นเช่นนั้นจึงได้เอ่ยถามออกไป” องค์กษัตริย์มีรับสั่งตอบกลับไปตามความเป็นจริง “อ๋อ...เป็นเช่นนี้เอง แสดงว่าเจ้าต้องอ่านออกเขียนได้เช่นเดียวกับเนพ จึงล่วงรู้ความหมายของชื่อเรียก” ชายสูงวัยเอ่ยบอกพระองค์ พระขนงเข้มได้รูปสวยขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกพระทัย เมื่อทรงได้ยินเช่นนั้น “เนพ อ่านและเขียนได้อย่างนั้นหรือ แปลกยิ่งนักไม่คาดคิดว่าดินแดนที่ห่างไกลเช่นนี้มีคนอ่านออกเขียนได้อยู่ภายในหมู่บ้านเช่นนี้ด้วย” องค์กษัตริย์รับสั่งเบาๆ ก่อนจะได้ยินชายชราเอ่ยสำทับขึ้น “ไม่เพียงอ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยอีกนะพ่อหนุ่ม ปู่ของเนพมีบันทึกตำรายามากมายเอาไว้คอยรักษาผู้คนและก็ได้ถ่ายทอดให้เนพสืบทอดต่อ ไม่เพียงเท่านั้นฝีมือในการยิงธนูเป็นที่แม่นยำยิ่งนักเนพเป็นผู้ยิงธนูเจ้าคนที่จะปลิดชีพของเจ้า เจ้าจึงรอดชีวิตมาได้หาไม่แล้วคงตายด้วยน้ำมือของมัน” ฟาโรห์แห่งอียิปต์แย้มพระโอษฐ์บางๆ เมื่อทรงได้ยินชายชราเอ่ยเช่นนั้น พระองค์ก้มพระพักตร์ขึ้นลงแทนการมีรับสั่ง องค์กษัตริย์ทอดพระเนตรไปทั่วบริเวณที่พระองค์ประทับบรรทมอยู่ในขณะนี้ เหตุการณ์ที่เพิ่งประสบทำให้พระองค์ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมนับเท่าทวีคูณ พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรลักษณะความเป็นอยู่ประชาชนของพระองค์ เครื่องเรือนภายในบ้านมีเพียงไม่กี่ชิ้น จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ภาชนะทำมาจากไม้และดินโคลนจากแม่น้ำไนล์นำมาปั้นให้ได้รูปทรงแล้วจึงนำไปเผาไฟก่อนที่สายพระเนตรจะสะดุดหยุดลงที่ดู-หน้า[3] ซึ่งทำมาจากเงินล้วนๆ วางอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆ มิหนำซ้ำพระองค์กำลังประทับบรรทมอยู่บนฟูกที่ยัดด้วยขนห่าน แทนที่จะเป็นเสื่อที่ทอจากต้นกกและปูเพียงผ้าลินินหยาบๆ เท่านั้น องค์กษัตริย์สะดุดพระทัยโดยพลัน หากแต่ทรงเก็บความสงสัยไว้ภายในพระทัยและทรงระมัดระวังพระองค์มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม “ข้าไม่ได้สติไปกี่เพลาท่านลุง”องค์กษัตริย์รับสั่งถามผู้สูงวัย “เจ้านอนไม่ได้สติมาตลอดเกือบ 10 วัน และก็เพิ่งจะฟื้นเอาวันนี้ซึ่งเป็นวันที่ 10 พอดี” ชายสูงวัยเอ่ยบอกองค์กษัตริย์ตามความเป็นจริง “ข้านอนมิได้สตินานถึงเพียงนั้นเชียวหรอกหรือ” พระองค์รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์ข้างที่มีบาดแผลขึ้นลูบพระพักตร์คมเข้มก่อนจะทอดพระเนตรผ้าพันแผลที่พันไว้รอบพระหัตถ์ ภาพการต่อสู้ของพระองค์กับมือสังหารผุดขึ้นมาโดยพลัน “ท่านเห็นกริชของข้าหรือไม่” องค์กษัตริย์รับสั่งถามกริชคู่พระวรกายกับผู้สูงวัย ชายชรานั่งครุ่นคิดเมื่อได้ยินชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยถามอาวุธ หากแต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้เนื่องด้วยมิเคยผ่านสายตาตนเองแม้แต่น้อย “เอ...ข้าก็ไม่ได้สังเกตเลยพ่อหนุ่ม ตอนนั้นมันวุ่นวายไปหมด รีบเร่งช่วยเหลือเจ้าเอาออกจากเรือมาไว้บนเรือของพวกข้าก็เลยไม่ทันสังเกต ว่าแต่กริชของเจ้ามีลักษณะเป็นเช่นไรรึ” ชายชราเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ ครั้นองค์กษัตริย์ได้ยินเช่นนั้น ทรงเสียดายกริชคู่พระวรกายของพระองค์เป็นยิ่งนักด้วยเพราะเป็นอาวุธที่พระราชบิดาประทานให้แก่พระองค์เมื่อทรงออกรบทำศึกสงครามและมีชัยเหนือศัตรูกลับมา หากแต่พระองค์มิรับสั่งใดๆ ออกไป ด้วยกริชดังกล่าวทำมาจากทองคำ ด้ามทำมาจากงาช้างประดับด้วยอัญมณีสีแดงสุกปลั่ง หากอธิบายลักษณะของกริชจะทำให้มีประเด็นชวนสงสัยว่าพระองค์มีของสูงค่าเยี่ยงนี้ได้อย่างไร องค์กษัตริย์จึงได้แต่ประทับบรรทมนิ่งด้วยทรงรู้สึกปวดพระเศียรขึ้นมาอีกคำรบ พระเนตรค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ ท่ามกลางความแปลกใจของชายชรา “อ้าว! จู่ๆ ก็หลับไปเสียดื้อๆ ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามกันเลย ท่าทางคงจะยังเหนื่อยอ่อนน่าดู แต่อย่างไรเสียก็คงจะปลอดภัยเป็นแน่แท้” ผู้สูงวัยเอ่ยพร้อมลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวเดินออกจากห้องปล่อยให้ชายหนุ่มรูปงามที่เพิ่งจะฟื้นคืนสติพักผ่อนอีกครา ท่ามกลางหมู่ดาวนับหมื่นล้านดวงในยามรัตติกาล ความเย็นจากสายน้ำไนล์เริ่มแผ่เข้าปกคลุมโดยรอบ กลิ่นยาสุมนไพรหอมกรุ่นด้วยตัวยามากมายผสมเข้าด้วยกันเพื่อใช้รักษาคนเจ็บ ผ้าลินินสีขาวสะอาดถูกจัดแจงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ยาแก้ปวดที่นำมาจากเปลือกต้นวิลโลว์[4]เพื่อใช้ระงับอาการปวด ขมิ้นนำมาทาแผลในบางจุดที่เริ่มสมานเข้าด้วยกัน ส่วนแผลฉกรรจ์จะใช้น้ำผึ้งนำมาทาแผล เพื่อให้น้ำผึ้งช่วยดูดซับของเหลวในแผลทำให้ไม่เกิดอาการบวมและยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้อีกด้วย กองไฟที่ลุกโชนอยู่ตรงกลางบ้านเผยให้เห็นเงาตะคุ่มๆ กำลังสาละวนทำแผลให้กับคนเจ็บที่นอนหลับสนิทในยามนี้ ตัวยาจากสมุนไพรต่างๆ และผ้าพันแผลอันเก่าถูกเปลี่ยนเป็นผืนใหม่ด้วยความชำนาญ และจุดที่ยากที่สุดคือบาดแผลฉกรรจ์ตรงหน้าอกของคนเจ็บ ซึ่งบาดแผลลึกและกว้างต้องใช้เวลารักษาไม่น้อยเลยทีเดียว มือเล็กๆ กำลังใช้มีดบางๆ เล่มเล็กค่อยๆ กรีดผ้าพันแผลผืนเก่าออกเพื่อเปลี่ยนผืนใหม่ ก่อนจะนำมีดที่ทำจากออปสิเดียน[5]บรรจงกรีดปากแผลเพื่อนำตัวยาสมุนไพรยัดใส่ลงไปในแผลมิให้เกิดเป็นหนอง พระเนตรที่ปิดสนิทค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อองค์กษัตริย์ทรงรู้สึกได้ว่าพระอุระของพระองค์เจ็บปวดจี๊ดขึ้นมาโดยพลัน ครั้นเมื่อทรงทอดพระเนตรมีดเล็กๆ กำลังพุ่งตรงมาที่พระอุระ พระหัตถ์ใหญ่และหนาตรงเข้าจับข้อมือเล็กๆ พร้อมบิดแขนเรียวให้มีดที่อยู่ในมือร่วงหล่นลงทันใด “กร๊อบบบบ!!! โอ๊ยยย!!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดคล้ายเสียงกระดูกหักดังขึ้นโดยพลัน “เจ้าเป็นใคร! มันผู้ใดส่งเจ้ามา!” ฟาโรห์แห่งอียิปต์รับสั่งตะคอกพระสุรเสียงช่างน่าสะพรึงกลัวเป็นยิ่งนัก ยังมิทันที่ร่างเล็กๆ จะกล่าวสิ่งใดพระองค์ลุกประทับนั่งพร้อมเปลี่ยนมาใช้ท่อนพระกรอย่างรวดเร็วข้างหนึ่งรวบเข้าที่ต้นคอ พระกรอีกข้างตรงเข้ากอดรัดบริเวณอกของร่างดังกล่าว “บอกมา! ว่าเจ้าเป็นใคร! หาไม่แล้วข้าจะหักคอของเจ้าบัดเดี๋ยว...” องค์กษัตริย์รับสั่งได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดลงโดยพลันเมื่อท่อนพระกรของพระองค์อีกข้างสัมผัสถูกทรวงอกอวบใหญ่ของสตรีเพศเข้าให้แล้ว ซ้ำร้ายร่างเล็กๆ ในยามนี้อยู่ในอ้อมกอดของพระองค์ก็ว่าได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฟาโรห์แห่งอียิปต์ แตะต้องกายของอิสตรีในระยะใกล้ชิด พระนาสิกแนบชิดริมหูร่างเล็กๆ จนสัมผัสกลิ่นกายสาวหอมกรุ่นอ่อนๆ จนพระองค์ถึงกับชะงักงัน “ข...ข้า...คือคนรักษาเจ้า!” ร่างเล็กๆ เอ่ยบอกกระท่อนกระแท่น ด้วยเพราะถูกต้นแขนใหญ่กำยำรัดบริเวณรอบคอจนแทบหายใจไม่ออก ฟาโรห์แห่งอียิปต์ตกตะลึงเป็นยิ่งนักเมื่อทรงได้ยินร่างเล็กดังกล่าวเอ่ยบอกพระองค์เช่นนั้น คนที่รักษาพระองค์ก็คือคนที่ช่วยพระองค์จนรอดพ้นจากการปลงพระชนม์ด้วยเช่นกัน พระองค์รีบปล่อยร่างเล็กๆ นั้นทันที “ตุ๊บ!” ร่างน้อยฟุบใบหน้าลงไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก ด้วยแขนเรียวถูกบิดจนกระทั่งหักเลยก็ว่าได้ ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทอดพระเนตรร่างอรชรตรงเบื้องพระพักตร์อย่างพินิจพิเคราะห์ พระองค์ค่อยๆ ยื่นพระหัตถ์หมายประคองให้ร่างดังกล่าวลุกขึ้นได้อีกครั้ง “เพียะ!” มือเล็กๆ ฟาดลงบนพระหัตถ์ขององค์กษัตริย์อย่างเต็มเหนี่ยว พร้อมตวาดแว้ดขึ้นมาทันใด “อย่ามาแตะต้องตัวข้า!” เสียงเล็กๆ เอ่ยบอกพระองค์ “นี่เจ้า!” องค์กษัตริย์รับสั่งด้วยทรงเริ่มพิโรธขึ้นมาทันใด หากแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อทรงแน่พระทัยว่าร่างเล็กๆ ตรงพระพักตร์คืออิสตรีหาใช่บุรุษแต่อย่างใด “ผู้หญิง! นี่เจ้าเป็นหญิงหรอกหรือ” ฟาโรห์แห่งอียิปต์รับสั่งด้วยความตกพระทัย พร้อมทอดพระเนตรร่างบางที่กำลังลุกขึ้นนั่งในชุดที่มีผ้าคลุมปกปิดอย่างมิดชิด ร่างอรชรค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมใช้มือจับท่อนแขนของตนอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองใบหน้าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าที่เพิ่งทำร้ายตนเมื่อครู่ที่ผ่านมา “จะฆ่ากันให้ตายหรืออย่างไร ถ้าข้าล่วงรู้ว่าทันทีที่เจ้าตื่นขึ้นมาแล้วเป็นแบบนี้ ข้าจะไม่รักษาให้เจ้าฟื้นขึ้นมาเลย น่าจะปล่อยให้ตายไปเสียยิ่งนัก โอ๊ยยย!!!” หญิงสาวกล่าวด้วยความไม่พอใจ มือเล็กๆ คอยจับท่อนแขนของตนอยู่ตลอดเวลา องค์กษัตริย์ทรงแน่พระทัยอย่างแจ่มชัดว่าผู้ที่รักษาและช่วยพระองค์เป็นอิสตรี พระองค์ขยับพระวรกายหมายจะช่วยเหลือร่างเล็กๆ ตรงหน้าอีกครา “ไม่ต้องขยับ! บาดแผลของเจ้าจะฉีกขาด ข้าช่วยเหลือตัวเองได้” เสียงเล็กๆ กล่าวห้วนๆ ทว่าเสียงเล็กๆ ดังกล่าวกลับทำให้ฟาโรห์แห่งอียิปต์หยุดชะงักโดยพลัน ได้แต่ประทับนิ่งทอดสายพระเนตรไปที่ร่างดังกล่าวด้วยทรงรู้สึกผิดที่ทำให้อิสตรีตัวเล็กๆ ได้รับบาดเจ็บ “ข้า...ข้าขอโทษ...ข้ามิได้ตั้งใจที่จะทำให้เจ้าได้เจ็บแต่อย่างใด ข้าเข้าใจว่าเจ้าคือคนที่จะมาสังหารข้า” องค์กษัตริย์รับสั่งอธิบายพร้อมทอดพระเนตรร่างบางที่กำลังขยับเรือนกายของตนราวกับว่ากำลังพยายามรักษาตัวเอง หากแต่ร่างดังกล่าวมิกล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบงัน ร่างบางขยับแขนของตนไปมาเพื่อจับจังหวะของกระดูก ใบหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ปริปากร้องโวยวายแต่อย่างใด ยังคงคลำหาจุดที่คาดคิดว่ากระดูกของตนจะหัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ พร้อมใช้มืออีกข้างจับแขนที่ห้อยร่องแร่งดันกลับเข้าไปที่เดิม “กรอบบบบ!!!” เสียงกระดูกลั่นจนได้ยินออกมาอย่างชัดเจน “ดีนะที่แค่ไหล่หลุด ถ้าหักคงต้องเข้าเฝือกกันนานเลยทีเดียว” ร่างบางกล่าวพร้อมหันกลับไปมองหน้าชายหนุ่มรูปงามที่ทำให้ตนได้รับบาดเจ็บตาไม่กระพริบ ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทอดพระเนตรการรักษาตัวเองของหญิงสาว ดังกล่าวด้วยความสนพระทัย หากแต่ยังมิทันจะรับสั่งสิ่งใด มือบางตรงเข้าไปดึงผ้าที่ใช้ปิดปากแผลตรงพระอุระออกมาทันที “ท่านอยู่เฉยๆ ปากแผลของท่านเปิดอีกแล้ว” เสียงหวานเอ่ยบอกพร้อมใช้ความชำนาญดึงผ้าพันแผลที่พันไว้รอบพระวรกายออกจากพระองค์อย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองข้าหรอกหรือ ที่ข้าทำให้เจ้าเจ็บ” องค์กษัตริย์รับสั่งถามด้วยทรงรู้สึกเป็นห่วงร่างเล็กตรงหน้า พระองค์รู้สึกผิดที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องบาดเจ็บถึงเพียงนั้น “โกรธ...แต่ท่านกับข้าค่อยคิดบัญชีกันภายหลัง หน้าที่ของข้าตอนนี้ก็คือต้องรักษาท่านก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน” เสียงแหลมเล็กเอ่ยบอกองค์กษัตริย์ ก่อนจะคว้าท่อนฟืนที่ลุกติดอยู่ในกองไฟ นำมาส่องบาดแผลที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ แสงจากคบไฟเผยแผลที่อ้าออกกว้าง โลหิตเริ่มไหลซึมออกมาอีก “บ้าเอ๊ย! แผลฉีกจนได้” ร่างบางสบถออกมาอย่างหัวเสีย พร้อมใช้มือบางดันพระอุระที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อให้พระองค์ประทับบรรทมราบเพื่อสะดวกในการรักษา “ข้าจะต้องเย็บแผลให้ท่าน แผลของท่านฉีกและลึกมากปล่อยให้สมานเองคงไม่ได้แล้ว เป็นเพราะท่านที่ออกแรงเมื่อครู่ที่ผ่านมาทำให้ข้าต้องรักษาท่านยากเพิ่มขึ้นไปอีก” ร่างบางเอ่ยบอกองค์กษัตริย์เสียงเข้มพร้อมหันไปเตรียมเครื่องมือที่จะนำมาเย็บแผล คำกล่าวของร่างบางเล่นเอาพระองค์อึ้งไปโดยพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่พระองค์ถูกเอ็ดเช่นนี้ ท่ามกลางกองไฟที่ลุกโชน องค์กษัตริย์ทอดสายพระเนตรมือเรียวบาง หากแต่ขาวสะอาดลออตาเป็นยิ่งนัก ร่างบางกำลังก้มหน้าก้มตาเย็บแผลให้พระองค์ด้วยความตั้งใจ ดวงตากลมโตหากแต่หวานซึ้งจนตราตรึงในดวงจิตกำลังจดจ้องบาดแผลที่อยู่ตรงหน้านาง แสงไฟเหลืองอร่ามที่ลุกโชนทำให้องค์กษัตริย์ได้ทอดพระเนตรร่างเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมปิดบังร่างกาย ไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้าเห็นเพียงดวงตาสีดำสนิทกลมโตภายใต้ขนตางอนยาว ทุกจังหวะที่นางกำลังปักเข็มและดึงด้ายเพื่อให้บาดแผลแนบชิดเข้าด้วยกันอยู่ในสายพระเนตรขององค์กษัตริย์อยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่นางทาบทับมือเรียวบางบนพระอุระของพระองค์ สัมผัสของนางนุ่มนวลและเบามือเป็นยิ่งนัก พระองค์มิรู้สึกเลยว่าทรงเจ็บบาดแผลในขณะที่นางกำลังเย็บแผลให้พระองค์แบบสดๆ “เฮ้อ! เสร็จเสียที...ท่านเจ็บมากไหม” เสียงหวานเอ่ยถามองค์กษัตริย์ หากแต่สิ่งที่ได้รับคือความเงียบงัน ด้วยเพราะองค์กษัตริย์ทรงทอดพระเนตรร่างบางตรงพระพักตร์จนลืมพระองค์ “ท่าน! ท่าน!” ร่างบางเอ่ยพลางใช้มือเรียวบางของนางยกขึ้นตบพระพักตร์ทั้งสองข้างขององค์กษัตริย์ไปมาเบาๆ เพื่อเรียกสติและนั่นทำให้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกพระองค์ขึ้นมาทันใด พระหัตถ์หนารวบมือบางเล็กๆ พร้อมทอดสายพระเนตรมือเรียวบางตรงพระพักตร์อย่างไม่ละสายพระเนตรไปแม้แต่น้อยเล่นเอาเจ้าของมือบางดังกล่าวเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมาโดยพลัน “เออ...ท...ท่านจับมือข้าไว้ทำไม...จะทำร้ายข้าเช่นนั้นหรือ” เสียงคนตัวเล็กเอ่ยถามอย่างตื่นกลัว ครั้นองค์กษัตริย์ได้ยินเสียงหวานเอ่ยถามเช่นนั้นพระองค์รีบวางมือบางลงโดยพลัน พระองค์ก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงทรงทำเช่นนั้น “เออ...ข้าขอโทษ...ข้าไม่คิดที่จะทำสิ่งใดให้เจ้าต้องหวาดกลัวในตัวข้า หรือแม้แต่จะทำอันตรายเจ้าให้ได้เจ็บ ข้าเพิ่งจะรู้สึกตัวไม่รู้ว่าใครคือผู้ใดบ้างจึงเผลอตัวทำให้เจ้าได้เจ็บ อภัยให้ข้าด้วยเถิดนะเจ้า” องค์กษัตริย์รับสั่งสุระเสียงอ่อนโยนสายพระเนตรจับอยู่ที่ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมปกปิดมิดชิด “ข้าไม่ถือโทษโกรธท่านหรอก เป็นใครก็คงต้องทำเช่นนั้น แม้แต่ข้าเองก็ต้องทำเช่นเดียวกัน โดนทำร้ายเกือบเอาชีวิตไม่รอดจะให้ไว้ใจใครได้ไม่มีหรอก” เสียงหวานเอ่ยบอกพระองค์พร้อมลงมือเก็บอุปกรณ์ในการรักษาตรงหน้าโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก แต่ตรงข้ามกับองค์กษัตริย์พระองค์ใคร่อยากทำความรู้จักร่างบางนี้เป็นยิ่งนัก “เจ้าจะไม่บอกข้าเชียวหรือว่าเจ้ามีชื่อเรียงเสียงใด ไม่ให้ข้าได้รู้จักกับกับผู้ที่ช่วยชีวิตข้าเลยเชียวหรือ” องค์กษัตริย์รับสั่งถามด้วยความใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งแม้จะทรงล่วงรู้แล้วก็ตามทีเถอะ ร่างบางเงยหน้ามององค์กษัตริย์ ดวงตาที่ทอดมองมายังพระองค์สามารถบอกพระองค์ได้ว่านางส่งยิ้มให้ภายใต้ผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้า “ข้าชื่อ เนพธิส แต่แถบนี้จะรู้จักข้าในนามที่ชื่อว่าเนพ” ร่างบางเอ่ยบอกชื่อของตน “เนพธิส เป็นชื่อเทพีแห่งโชคลาภ” องค์กษัตริย์รับสั่งความหมายของชื่อกลับไป ร่างน้อยๆ ที่กำลังสาละวนเก็บอุปกรณ์ทำแผลหยุดชะงักโดยพลัน พร้อมหันกลับมามองชายหนุ่มรูปงามที่ตนได้ทำการรักษา “ท่านล่วงรู้ความหมายชื่อของข้าด้วยหรอกหรือ และรู้ว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นหญิงหาใช่บุรุษแต่อย่างใด” ร่างบางเอ่ยถามกลับไปด้วยความแปลกใจ แต่ในขณะเดียวกันหากผู้ใดได้เห็นใบหน้าของนางในตอนนี้ ก็จะล่วงรู้โดยพลันว่านางเขินอายมากมายเพียงใดด้วยเพราะถูกบุรุษหนุ่มตรงหน้าสัมผัสกายสาวของนางเป็นครั้งแรกด้วยความบังเอิญ องค์กษัตริย์ก้มพระพักตร์ขึ้นลงแทนการรับสั่ง หากแต่ยังมิทันได้รับสั่งสิ่งใดร่างบางกล่าวสำทับตามติดมา “ท่านมีชื่อเรียงเสียงใดกันเล่า” เสียงหวานเอ่ยถาม พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรร่างบางภายใต้ผ้าคลุมปกปิดร่างกายที่แสนจะมิดชิดตรงเบื้องพระพักตร์ด้วยความรู้สึกยากที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาได้ พระองค์รู้สึกเพียงแต่ว่า ร่างบางช่างเต็มไปด้วยปริศนาและน่าค้นหาเป็นยิ่งนัก กลิ่นกรุ่นกายสาวยังหอมหวนติดพระนาสิกของพระองค์มิรู้วาย พระองค์มีรับสั่งตอบกลับไป “ข้าชื่อ เซติ” ดวงเนตรสีนิลกาฬสบประสานสายตาเข้ากับดวงเนตรสีดำกลมโตหวานซึ้ง ท่ามกลางแสงไฟที่ลุกโชนในยามค่ำคืน บัดนี้ฟาโรห์แห่งอียิปต์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าตลอดทั้งพระชนม์ชีพอุทิศพระวรกายเพื่อแผ่นดินอียิปต์มาโดยตลอด ยากยิ่งนักที่จะผูกจิตเสน่หากับอิสตรีนางใดได้ ทว่าบัดนี้พระองค์มิทรงล่วงรู้เลยว่าพระหทัยที่เคยว่างเปล่าไร้สิ้นอิสตรีใดเข้าครอบครอง หญิงสาวปริศนาภายใต้ผ้าคลุมปกปิดร่างกายแสนมิดชิดกำลังก้าวเข้าไปอยู่ภายในพระทัยอย่างไม่คาดฝัน ดวงเนตรกลมโตหวานซึ้งผูกจิตเสน่หาฟาโรห์แห่งอียิปต์นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ทรงสัมผัสและอยู่ในพระหทัยของพระองค์ชั่วนิจนิรันดร์
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม