บทที่ 2

2449 คำ
บทที่ 2 อะไรก็ได้ขอไม่ใช่นางร้ายก็พอ บานประตูเรือนถูกเปิดออกโดยชายแปลกหน้า ตัวของหยงเล่อนิ่งค้างในขณะที่มองไปยังกลางห้อง ปรากฏหนึ่งสตรีที่ถูกกล่าวขานว่าร้ายกาจอย่างป๋ายอวี้ชิง นางอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าเป็นสตรีเสียสติก็ไม่ปาน นางอยู่หน้ากระจกพลางพูดอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าตื่นตระหนกสุดขีด ผมเผ้าถูกสางอย่างลวกๆ ในขณะที่สวมใส่เพียงเสื้อคลุมสีแดงทับกับผ้าด้านในสีขาวบาง หน้าอกคว้านลึกจนเห็นทรวดทรงอวบอัด หยงเล่อรีบหันหน้าหนี เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองมองไปยังสิ่งที่ไม่ควรมอง! ‘สตรีหน้าไม่อายคิดยั่วยวนข้าอีกคนกระนั้นหรือ’ หยงเล่อครุ่นคิดในใจ หน้าขึ้นสีในขณะที่เซมองไปทางอื่น “ข้าเป็นตัวละครบทไหนกันแน่ ข้าเป็นนางเอกงั้นหรือแต่ว่านางเอกไม่ไดัหมั่นหมายกับไท่จื่อนี่..” “องค์หญิงทรงบาดเจ็บตรงไหนอีกหรือเพคะ” เสี่ยวตั๋นกล่าวด้วยความกังวล นางไม่รู้ว่าองค์หญิงของตนเป็นอะไรขึ้นมา จู่ๆองค์หญิงก็ลุกพรวดขึ้นมาส่องใบหน้าของตนเองในกระจกพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง ทางด้านป๋ายอวี้ชิง นางในกระจกยังคงมีใบหน้าเช่นเดิมเหมือนในอดีต.. ทั้งชื่อของนางยังเป็น ‘ป๋ายอวี้ชิง’ ดังเดิม เป็นชื่อไอดีเดียวกันกับตอนที่นางล๊อคอินเล่นบทนางเอกครั้งแรก แต่นางกลับถูกเรียกว่าองค์หญิง..มันหมายความว่าอย่างไรกัน นางร้ายชื่อฟางเหนียงนี่ทั้งยังมีองค์หญิงอยู่อีกหลายเผ่า "อึก" มือเล็กยกขึ้นกุมศีรษะ อาการปวดหัวรุนแรงแล่นเข้ามาในความรู้สึก "องค์หญิงเป็นอะไรหรือไม่" นางยกมือขึ้นราวกับจะบอกว่าไม่ต้องห่วงนางไม่เป็นอะไร เอาเถิดนางจะทะลุมิติมาเป็นอะไรก็ได้ ขออย่าเป็นนางร้ายก็พอ นางไม่อยากถูกท่านพี่ของนางเกลียด และไม่อยากอภิเษกกับพระเอกเพื่อพาตัวเองไปตาย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองส่วนอวบอัดที่เด่นชัดแม้ไม่ตั้งใจมอง พรอย่างหนึ่งที่นางสมหวังที่สุดคงจะเป็นการมีความอึ๋มในโลกนี้ ในโลกเก่านางแบนเสียยิ่งกว่ากำแพงปูน ความหวังมีอกอึ๋มภายในเกมส์นั้นถูกตัดไปได้เลย! เนื่องจากในเกมส์นางไม่อาจปรับเปลี่ยนใบหน้าหรือสัดส่วนของตัวละครได้ นางจึงมีเพียงหน้าอกที่แบนยิ่งกว่ากล้วยถูกรถเหยียบ “อย่างน้อยก็มีสิ่งนี้ที่ฉันไม่ต้องเสียตังทำขึ้นมา" ป๋ายอวี้ชิงกล่าวเสียงเบาก่อนจะหันไปหาหญิงสาวในตอนแรก "เสี่ยวตั๋นใช่หรือไม่..” "เจ้าค่ะ" เสี่ยวตั๋นกำลังมีสีหน้ากังวลอยู่มากทีเดียว นางชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป "ทำไมข้าถึงเป็นองค์หญิงเล่า ตัวข้ามีสถานะอะไรในที่นี่หรือ ที่นี่คือเผ่าสวรรค์ใช่หรือไม่" "องค์หญิง.." เสี่ยวตั๋นน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุดทำเอาคนที่เพิ่งตั้งสติได้เช่นนางตกอกตกใจแสดงสีหน้าเหลอหลา “เจ้าจะร้องอีกทำไมกัน ข้าจะไม่ถามแล้วหยุดร้องเถิด" ป๋ายอวี้ชิงเดินเข้าไปหาพลางยกเสื้อของตนขึ้นซับน้ำตาให้กับนาง ส่วนเสี่ยวตั๋นชะงักไปสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “อะแฮ่ม” หยงเล่อที่ทนรอจนปวดเมื่อยขากระแอมไอขึ้นมาเรียกคนทั้งสอง “!" เสียงทุ้มมีเสน่ห์ชวนให้นางหันไปมอง สบเข้ากับดวงตาเรียวหางตาตกเล็กน้อยดูเบื่อหน่ายกับโลก ใบหน้าเฉยเมยกลับคมเข้มน่ามอง บรรยากาศรอบตัวดูสูงส่งราวกับเทพเซียน นางเผลอตกตะลึง คิ้วหนาขมวดเป็นปมเมื่อเห็นท่าทางประหลาด การกระทำดูผิดแผกไปจากเดิมอย่างมาก หยงเล่อเดินเข้ามาตรงหน้าคนตัวเล็กก่อนจะกล่าวเสียงเบื่อหน่าย “ข้ามาดูอาการของท่าน” เขาพูดกับนางแต่สายตาจ้องมองเพียงอากาศที่อยู่เหนือหัวของป๋ายอวี้ชิงเท่านั้น ป๋ายอวี้ชิงเงยหน้ามองตามก็ไม่เห็นสิ่งใดปรากฏขึ้นบนหัวของนางเลย คนตัวเล็กเอียงคอด้วยความสงสัย สลับมองใบหน้าของหยงเล่ออย่างงุนงง “ได้โปรดท่านไปนั่งพักบนเตียงก่อน” เสียงทุ้มราวกับเบื่อโลกพูดขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่ป๋ายอวี้ชิงทำตามอย่างว่าง่าย “ยื่นแขนของท่านมา” หยงเล่อเป็นอดีตศิษย์จากสำนักสวรรค์ มากความสามารถด้านการปรุงยาและการจับจุดอย่างมาก ถึงแม้เขาจะเก่งกาจเพียงใดหากไม่มีการบำเพ็ญสูงกว่าผู้ป่วย ก็ไม่อาจสามารถระบุปัญหาให้ตรงจุดได้ นั่นหมายความว่า หยงเล่อเป็นซ่างเซียนเช่นเดียวกันกับนาง ร่างบางยื่นแขนเล็กบอบบางไปตรงหน้าหยงเล่อ คิ้วหนากระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายเช่นนี้จากคนร้ายกาจอย่างนาง ขาเรียวปัดแกว่งไปมาบนเตียงราวกับเจอเรื่องชอบใจ ด้วยความที่นางตัวค่อนข้างเล็กจึงทำให้เวลานั่งบนเตียงที่ถูกยกขึ้นสูงเท้าของนางจะลอยเหนือจากพื้นมากกว่าสามชุ่น ดูน่ารักราวกับตุ๊กตา แม้จะสวมเสื้อคลุมสีแดงชาดดั่งที่นางโปรดปราณ แต่กลับดูไม่ร้ายกาจเฉกเช่นทุกที จากสตรีผู้เคร่งครัดในความสง่างาม กริยา และวาจาตอนนี้กลายเป็นเพียงเด็กสาวน่ารักสมวัยเท่านั้น “ท่านหมอ ข้าเป็นอะไรหรือ” เสียงหวานใสกล่าวถามดึงสติหยงเล่อที่ลอบมองนางโดยไม่รู้ตัว คนถูกถามตั้งใจตรวจดูอีกครั้งก่อนพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ มีเพียงแต่การเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นเท่านั้น “..หายดีแล้ว” น้ำเสียงเรียบเฉย แต่ภายในจิตใจเริ่มไม่อยู่กับตัวเมื่อมองใบหน้าสะอาดหมดจดไร้ซึ่งการแต่งแต้มของนาง ดวงตากลมโตนัยน์ตาสีรัตติกาลยามต้องแสงเปล่งประกายสีเงินยวงกำลังจับจ้องมาที่เขา ดวงตาคู่นั้นไร้ซึ่งแววเหยียดหยามดั่งเคย “ไม่มีสิ่งใดผิดแผก หากแต่นางอาจจะได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเล็กน้อย ทำให้..เลอะเลือนไปบ้าง” ดูจากที่นางพูดคุยกับเข้าได้เหมือนคนปกติ นางคงสติเลอะเลือนแล้วจริงๆ นางมารร้ายเช่นนางจะทำท่าทางน่ารักราวกับเด็กต่อหน้าเขาได้เช่นไรเป็นไปไม่ได้ เสี่ยวตั๋นและอู่ชุนมีสีหน้าไม่สู้ดี องค์หญิงของพวกเขาบาดเจ็บถึงขั้นสติเลอะเลือนเชียวหรือ ก่อนจะส่งสายตาเป็นห่วงไปยังเจ้านายของตน ทางด้านป๋ายอวี้ชิงผงกหัวขึ้นลงราวกับเห็นด้วย เพราะนางเพิ่งถูกไฟช๊อตตายมาไงล่ะ สะเทือนใจอยู่นะ! “หมดธุระแล้วข้าขอตัว” หยงเล่อไม่รั้งรออยู่นานเขาก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป นางมองตามไปพลางขบคิด ขนาดตัวประกอบโนเนมยังดูดีถึงเพียงนี้ ท่านพี่ของนางจะหล่อเหลาถึงเพียงใด “งืม" เสี่ยวตั๋นกระวนกระสายใจอีกครั้ง องค์หญิงของนางคงสะเทือนใจมากทีเดียว ป๋านอวี้ชิงนิ่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ในเกมส์หรือนิยาย จำได้แม่นว่าแม่นางเอกจะต้องเข้าสำนักสวรรค์และพบกับหรางหยานเป็นคนแรก เนื่องจากทั้งคู่นับถือกันเป็นพี่น้องตั้งแต่เด็ก และด้วยสกิลของนางเอก นางจึงได้บัฟการมีพรสวรรค์โดดเด่น และหรางหยานพี่น้องที่นับถือกันยังเป็นศิษย์รักของไท่ฝูโม่เหยียนหนึ่งในฮาเร็มของนาง ด้วยความที่นางเป็นศิษย์ใหม่ หรางหยานมักจะพานางไม่ด้วยทุกที่จึงสบโอกาสได้ช่วยไท่ฝูโม่เหยียนผู้เป็นอาจารย์ของไท่จื่อลู่จิ่งเหอในการทดสอบทักษะกระบี่และตำรายุทธ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นจนถึงขนาดได้รับการเชิญพิเศษให้เข้าร่วมการสอนของไท่ฝูโม่เหยียนอยู่หลายครา นางกลายเป็นที่อิจฉาของเหล่าศิษย์หญิงในสำนัก กระทั่งนางไปเตะตาไท่จื่อลู่จิ่งเหอเข้า ด้วยตัวนางนั้นเป็นเพียงเสินหนวี่ หรือเทพเซียนธรรมดาแต่กลับเรียนรู้ได้ไวจนเกือบจะได้เลื่อนขั้นเป็นซ่างเซียนระดับต่ำ และความสนใจเพียงเล็กน้อยจากไท่จื่อ ทำให้นางร้ายอย่าง ‘ฟางเหนียง’ ไม่พอใจและเริ่มกลั่นแกล้งนาง นางจำได้ว่าตอนนางเล่นต้องอดทนอดกลั้นเป็นที่รองมือรองเท้าให้นางร้ายทุบตีอยู่สักพักทีเดียว กว่าพระเอกตัวดีจะสังเกตเห็นแล้วลงโทษนางร้ายอย่างหนัก ทำเอาเทียนจวินมีโทสะสูงเทียมฟ้า สั่งให้มีการจัดอภิเษกไท่จื่อเฟยเร็วขึ้น อันที่จริงนั่นเท่ากับทำให้ความตายของนางร้ายเร็วขึ้นต่างหาก! "การเป็นนางร้ายนี่ช่างน่าสงสารเสียจริง" หลังจากนั่งคิดไม่ตกอยู่นานนางจึงได้คำตอบกับตัวเองว่า ตัวนางอาจจะเป็นตัวประกอบภายในนิยายที่นางไม่เคยเห็นหน้าหรือชื่อ แต่นางหมั้นหมายกับพ่อพระเอกเนี่ยสิ มีส่วนไหนของเรื่องที่นางพลาดไปงั้นหรือ.. “สิ่งใดหรือเพคะ” เสี่ยวตั๋นถามด้วยความสงสัย “ปะ เปล่า ไม่มีอะไร..อืม ว่าแต่ทำไมข้าถึงโดนทำร้ายจนบาดเจ็บเล่า ข้าเป็นหนึ่งในตัวประกอบที่ชอบไประราน ร้องขอความรักหรือวางยาไท่จื่ออะไรเถือกๆนั่นรึเปล่า” “อะ องค์หญิง.. ข้าไม่มั่นใจว่าท่านหมายถึงอะไร ท่านเป็นตัวประกอบหรือ.." เริ่มสะอื้นอีกครั้ง “ไม่ๆ! เจ้าอย่าร้องสิ ข้าเพียงจดจำเรื่องเก่าๆไม่ได้เท่านั้น อาจจะพูดจาแปลกๆไปบ้างเจ้าอย่าได้กังวล ข้าต้องการให้เจ้าช่วยแต่ข้าจะทำอย่างไรหากเจ้ายังร้องไห้อยู่เช่นนี้ข้าคงไม่กล้าถามต่อ" คนตัวเล็กกล่าวเสียงอ่อน แต่ยังคงมีความกังวลอยู่เล็กน้อย ทางด้านเสี่ยวตั๋นก็อดแปลกใจไม่ได้ที่นางดูใจเย็นลงและพูดคุยกับนางดีมากกว่าแต่ก่อนเช่นนี้ “คะ คือว่าองค์หญิงพระองค์ทรงจำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือเพคะ” "หากข้าจำได้ข้าคงไม่ถามพวกเจ้าหรอก" ให้ตายเถอะปกติแล้วคนที่ทะลุมิติมาในนิยายจะได้ความทรงจำจากร่างเก่าไม่ใช่หรือ! นี่นอกจากไม่ได้อะไรมาแล้วกลับเป็นใครก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ! "...." “พวกเจ้าอย่าเงียบสิ” ป๋ายอวี้ชิงคะยั้นคะยอ มือขาวพ่องสัมผัสลงบนบ่าของทั้งสอง พวกเขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบหลีกถอยไปด้านหลังหนึ่งกระดานไม้ ป๋ายอวี้ชิงมองพวกเขาด้วยความไม่เข้าใจแต่ไม่ได้ซักไซร้อะไรมาก เพราะนางอยากมากกว่าว่าในตอนนี้เนื้อเรื่องกำลังดำเนินไปมากน้อยเพียงใด “อันที่จริงแล้ว.. สาเหตุที่ท่านต้องพักฟื้นถึงสองอาทิตย์เป็นเพราะ..” “เพราะ..” เสี่ยวตั๋นชั่งใจ กลัวว่าหากนางได้พูดออกไปแล้วจะไปกระทบกับความทรงจำอันเลวร้ายขององค์หญิงผู้บอบบางของนางเข้า กลับกันป๋ายอวี้ชิงพาดมือทั้งสองข้างไว้บนเข่าสองมือประสานกันขณะจ้องมองเสี่ยวตั๋นไม่วางตา เสี่ยนตั๋นกดดันจนเหงื่อไหลพราก “เพราะะะะ..” ใบหน้าของป๋ายอวี้ชิงขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง ดวงตากลมโตกว้างจนเกือบถลน ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มจนเป็นเส้นตรง เพราะลุ้นจนตัวโก่ง ความกดดันทำให้เสี่ยวตั๋นยอมอ้าปากเพื่อตอบคำถามของนาง ป๋ายอวี้ชิงเผลอเหลือกตาขึ้นด้วยความลุ้น “เพราะ-” ปัง! เสียงดังทำเอานางตกใจ แขนทั้งสองข้างล่วงลงอย่าแรงจนหัวนางโยกไปด้านหน้า ริมฝีปากบางเบะออกดวงตาแสดงถึงความไม่พอใจ ความอยากรู้อยากเห็นของนางถูกขัดด้วยบุคคลมาใหม่กว่าสิบคน พวกเขาสวมชุดเกราะสีทอง สองคนด้านหน้าถือง้าวสีทองเฉกเช่นเดียวกับชุดแนบไว้ข้างลำตัว ทหารคนหนึ่งเดินขึ้นมาด้านหน้าพร้อมกับม้วนป้ายประกาศในมือ อู่ชุนและเสี่ยวตั๋นทั้งสองก้มหมอบลงไปกับพื้น ในขณะที่ป๋ายอวี้ชิงรีบทำตามอย่างรวดเร็ว ภาพนั้นทำเอาพวกเขาหน้าเหลอหลาไปตามๆกัน ไม่ถึงเสี้ยววินาทีพวกเขาก็รีบหมอบคุกเข่าลงเช่นกันอย่างพร้อมเพียง ปึก!! เสียงดังปึกทำให้ป๋ายอวี้ชิงเงยหน้าขึ้นมอง ‘ละ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ก้มหัวให้ข้ากันล่ะ’ บางคนถึงขั้นนอนนาบไปกับพื้นเพื่อให้อยู่ต่ำกว่านางเสียด้วยซ้ำ! นี่มันเกิดอะไรขึ้น! สีหน้าเหลอหลาของป๋ายอวี้ชิงหันเป็นเชิงถามกับทั้งสองคนข้างๆ ส่วนอู่ชุนและเสี่ยวตั๋นนั้นแทบอยากจะร้องไห้เสียตรงนั้น พวกเขารีบบอกให้องค์หญิงลุกขึ้น! “ลุกขึ้นเถิดเพคะ ท่านไม่สามารถก้มหัวให้พวกข้าได้เพคะ!” “อะ อื้ม” ป๋ายอวี้ชิงยิ้มแห้งขณะลุกขึ้นมายืนอย่างงงๆ นายทหารที่ถือม้วนประกาศในมือเห็นดังนั้น พวกเขาถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะโดนโทษร้ายแรงเสียแล้ว พวกเขากลับมานั่งคุกเข่าพร้อมกับกล่าวคำในม้วนสีแดงเสียงดัง “องค์หญิงป๋ายอวี้ชิง เนื่องจากไท่จื่อลู่จิ่งเหอได้กระทำการดูหมิ่นให้ท่านเสียเกียรติต่อหน้าผู้คน สร้างความอับอายต่อราชวงศ์อันเก่าแก่และไร้ซึ่งความคุณธรรามดั่งที่บุรุษพึงมีต่อสตรี ข้าเทียนจวินผู้ปกครองดินแดนชั้นฟ้า จึงขอยื่นคำสั่งลงมาให้ไท่จื่อลู่จิ่งเหอรับผิดชอบต่อองค์หญิงป๋ายอวี้ชิง โดยการเลื่อนเวลาแต่งตั้งไท่จื่อเฟย ซึ่งจะถูกหารือภายในวันนี้ได้โปรดองค์หญิงป๋ายรับราชโองการและเข้าพบเทียนจวินโดยเร็วที่สุด” เสร็จสิ้นการประกาศทหารทั้งหมดได้พากันออกไปประจำตำแหน่งเพื่อรอด้านหนักตำหนัก ผิดกับอีกคนที่สติหลุดไปตั้งแต่คำว่า ‘ไท่จื่อลู่จิ่งเหอได้ทำการดูหมิ่น..’ ทำไมบทมันช่างคุ้นหูอย่างน่าแปลก.. อย่าบอกนะว่าข้าเป็นนางร้ายจริงๆ แต่นางร้ายมันชื่อฟางเหนียงป่าววะ! โอ้ยงง!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม