“แหวนจะกลับเลยเหรอลูก” แม่แก้วถามขณะที่กำลังทานของหวาน เอาจริงคือฉันยัดของหวานเข้าท้องแทบไม่ไหว
อาหารคาวผ่านไปด้วยความจุก จะไม่กินแม่ของฉันก็จับจ้องสร้างความกดดัน สุดท้ายฉันจึงต้องยัดของโปรดของน้องชายใส่กระเพาะตัวเอง
“ค่ะ” ต้องกลับแหละ อยู่นานกว่านี้คงได้ทะเลาะกับแม่แน่นอน
“รีบกลับทำไม ดินต้องเข้าบริษัท คนละทางกับคอนโดไม่ใช่เหรอ เสียเวลาดินแย่” แม่ของฉันออกความเห็นในเชิงขัดแย้ง
ฉันกลับแท็กซี่ก็ได้ไหม จะลำบากคนอื่นทำไม ฉันโตจนใกล้จะเข้าคำว่าแก่แล้วไหม ทำอย่างกับว่าฉันเป็นเด็กไปได้
“แหวนกลับแท็กซี่ได้ค่ะ”
“เข้าไปดูบริษัทบ้าง สองปีมานี้แกโยนภาระให้ดินดูแลมาตลอดรู้ตัวบ้างไหม” แม่ของฉันเอ่ยอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันหันมองหน้าดิน เพราะฉันไม่รู้เลยว่าดินเข้าไปทำงานที่บริษัทของครอบครัวฉัน
“มองดินแบบนี้คือแกไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมแหวน นั่นสิเนอะ แม่จะหวังอะไรจากแกได้ ที่ผ่านมาแกก็ปิดหูปิดตาปิดปาก เอาแต่ใจตัวเองทุกอย่าง ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนรอบข้าง แม่ลืมไปว่าแกมันฝากฝังอะไรไม่ได้เลย ถ้าหวายยังอยู่แม่ก็คงไม่ต้องมาบากหน้าพึ่งพาผู้ชายที่แกวางยาเพื่อให้มาเป็นผัวแก แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่ได้รักแก แม่ก็คิดโง่ ๆ เนอะ ดันลืมไปซะได้ว่าผู้ชายคนเดียวแกยังไม่มีปัญญาทำให้เขารักแกได้ จะให้แกไปดูแลบริษัทใหญ่โตขนาดนั้นได้ยังไง”
“พอแล้วหยาด เธอพูดแรงไปแล้วนะ นึกถึงความรู้สึกลูกบ้าง แหวนอย่าไปใส่ใจเลยลูก” แม่แก้วห้ามปราม แต่ปรามตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหม ทุกคำที่แม่ของฉันพูดมันฝังเข้ามาในความรู้สึกของฉันแล้ว
แน่นอนว่าฉันไม่เถียงแม่ เพราะถ้าเกิดว่าฉันเถียง ไม่น้ำเปล่าก็ของหวานอาจจะอาบใบหน้าของฉัน
แม่ตอนนี้คือแม่ที่ไม่เมา แต่สามารถพูดระบายความอัดอั้นได้ แม่ร่างนี้ก็น่ากลัวไม่ต่างจากร่างเมา
“ผมขอตัวก่อนนะครับ ใกล้ได้เวลาเข้าประชุมแล้ว เดี๋ยวจะไปไม่ทัน ปะแหวน” ดินลุกจากเก้าอี้และเดินมาคว้ามือของฉันให้ลุกขึ้นยืน
“แหวนลานะคะ แล้วจะแวะมาใหม่” ฉันยกมือไหว้แม่ทั้งสองก่อนจะเดินตามดินออกจากบ้าน
นี่ไงหนึ่งสาเหตุที่ไม่กลับบ้าน บ้านสำหรับฉันมันไม่น่าอยู่มานานมากแล้ว
ไม่ว่าจะตอนที่หวายยังมีชีวิต หรือตอนที่หวายจากไป เมื่อก่อนฉันไม่เหงาเท่าตอนนี้เพราะมีน้องชายฝาแฝดร่วมแชร์ความรู้สึก
ต่างจากตอนนี้ที่ฉันเหงาจนหนาวจับขั้วหัวใจจะแชร์จะเล่าระบายให้ใครฟังก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะจะกลายเป็นการเอาครอบครัวมาขาย
“จะไปบริษัทด้วยกันไหม” ดินขับรถออกจากบ้านของเขาแล้ว
“ไม่” จะให้ฉันไปทำไม ฉันไปแล้วจะช่วยอะไรได้ ไปแล้วถ้าเจอพ่อกับผู้หญิงคนใหม่ของพ่อ ฉันจะต้องวางตัวแบบไหนกันล่ะ ฉันปั้นหน้าไม่เก่งด้วยสิ
ผู้หญิงที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า ผู้หญิงที่แม่ของฉันเกลียดชัง มันไม่ยากเลยถ้าฉันอยากรู้ว่าเธอคือใครและมันไม่ยากเลยที่ฉันจะราวีเธอ
แต่ที่ฉันไม่ทำ เพราะฉันไม่กล้าพอไง ไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ไม่กล้าพอที่จะโดนพ่อตบอีกครั้ง
ฉันไม่อยากพบเจอความเจ็บปวดอีก ฉันจึงพยายามปิดตายทุกอย่าง พร้อมวิ่งหนีปัญหา
“ไปร้านไหมอะ เดี๋ยวประชุมเสร็จจะมารับไปส่งห้อง” ร้านที่ว่าหมายถึงร้านเหล้าของดินไง ดินเปิดร้านเหล้าตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว และฉันไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นเลยตั้งแต่แต่งงานกับดิน กระทั่งเราเลิกรากัน
เพราะดินเคยบอกฉันว่า ‘ที่นั่นพื้นที่ส่วนตัว ขอร้องเว้นไว้ให้หายใจบ้าง’
ฉันก็เลยไม่เคยไปเหยียบอีก
“ไม่”
“แหวน”
“จอดข้างทางนี่แหละ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปเอง” ฉันรู้ว่าเขากำลังรีบที่จะต้องเข้าประชุมให้ทัน ถ้าเกิดเข้าไม่ทันก็เป็นปัญหาอีก ไม่พันแม่มาต่อว่าฉัน โยงว่าต้นเหตุมาจากฉันเหมือนเดิม
“26 แล้วแหวน” ดินกำลังหาว่าฉันทำตัวเด็ก
ฉันคิดว่าฉันเริ่มจับทางพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของดินได้แล้ว “ขอร้องอย่ามาสงสาร ที่หย่าให้คือคืนอิสรภาพให้แล้ว ไม่ต้องทำตามที่ใครขอเลย ทำตามใจตัวเองเถอะ บริษัทถ้ามันจะพังก็ปล่อยให้มันพังไป มันไม่ใช่หน้าที่ที่นายต้องรับผิดชอบเลย เลิกแบกรับเถอะปัญหาของครอบครัวนี่ นายก็รู้ว่ามันแก้ไม่ได้ อะไรที่มันแตก มันหาย มันกลับมาประกอบให้เหมือนเดิมไม่ได้ ไปใช้ชีวิตของนายให้มีแต่ความสุขเถอะนะ”
ใช่ ที่ดินเป็นแบบนี้เพราะเขาสงสารครอบครัวฉัน ที่เขาแบกรับเพราะเขาสงสารแม่ฉัน และเขาติดค้างคำฝากฝังของหวายที่เคยขอให้ดูแลฉัน
“…” ดินหันมามองหน้าฉันก่อนจะหันกลับไปตั้งใจขับรถต่อ
“หวายตายไปแล้ว ไอ้คำที่หวายพูดก็ลืม ๆ ไปเถอะ นี่ดูแลตัวเองได้ หาเงินใช้เองได้ นายอย่าฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบเลย ชีวิตมันสั้น สรรหาความสุขให้ตัวเองเถอะ”
“…”
“เลิกทำงานที่บริษัท แล้วก็พาผู้หญิงของนายมาไหว้แม่แก้ว แม่แก้วบ่นอยู่ว่าอยากได้หลาน นายควรทำให้…”
“หยุดพูด นั่นเรื่องของดิน” ดินส่งเสียงแทรกเข้ามา
“…” อะ ฉันเงียบ ฉันก็ผิดจริงที่ไปยุ่งเรื่องของเขา
เรื่องส่วนตัว ฉันไม่ควรก้าวก่าย
“จอดข้างทางให้ด้วยนะ” ฉันไม่ได้ประชด หรือไม่พอใจเขานะ ก็แค่คิดว่าเราไม่ควรร่วมทางเดียวกัน เพราะฉันไม่เข้าบริษัทแน่ ๆ
“จะไปไหน” ดินถามระหว่างติดไฟแดง
“อาจจะไปหาน้ำใจ ยังไม่อยากกลับห้อง” ฉันก็ตอบไปงั้น ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่ไม่กลับห้องแน่ ๆ ยังไม่อยากตอบคำถามเพื่อน
ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ
“ก็บอกให้ไปอยู่ที่ร้านก่อน”
“ที่นั่นเป็นพื้นที่ส่วนตัวไม่ใช่เหรอ นี่ไม่ได้อยากไปเหยียบพื้นที่ส่วนตัวของใคร เดี๋ยวจะไปรบกวนอากาศหายใจ”
การแทนตัวเองว่า ‘นี่’ และ ‘นาย’ ก็เพราะว่าไม่รู้ระหว่างเราสองคนมันต้องแทนคำไหนที่จะเว้นระยะห่างมากพอไง
“เอาโทรศัพท์มานี่” ดินแบมือมาที่ฉัน
“เอาไปทำอะไร” ใครจะให้กัน
“แอดไลน์ไง ประชุมเสร็จเดี๋ยวดินทักหา”
“ไม่ต้องอะ” จะทักมาทำไม เราสองคนไม่มีความจำเป็นต้องคุยกันเลย
“ถ้าไม่เอามาก็ไปบริษัทด้วยกัน”
ฉันจ้องหน้าดินก่อนจะล้วงกระเป๋าแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้เขา เขาไม่ใช่คนชอบพูดเล่นแบบนาฟ ทุกอย่างที่พูดเขาล้วนลงมือทำจริง ๆ
การไปบริษัทไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการในเวลานี้ เพราะงั้นทำตามที่ดินพูดไปก่อนดีกว่า
ถ้าถามว่าทำไมรถจอดติดไฟแดงแล้วไม่ลง ก็เพราะระบบรถมันล็อคจากฝั่งของดินไง ฉันจึงลงไม่ได้
“เดี๋ยวดินจะจอดให้แหวนข้างหน้าตรงนั้น จะไปไหนก็ไลน์มาบอกไว้ ประชุมเสร็จจะไปรับ”
“…” แค่ลงจากรถเขาได้ทุกอย่างก็จบแล้วไหม
“เข้าใจที่พูดใช่ไหม”
“อืม” เข้าใจอยู่แล้ว แต่จะทำตามไหมนั่นอีกเรื่อง
“แล้วถ้าไม่ทำตามที่ดินบอก การเข้าไปช่วยงานที่บริษัทจะถูกเร่งเข้ามาเร็วกว่าเดิม แหวนคงรู้จักพ่อกับแม่ของแหวนดี” ดินกำลังเอาเรื่องงานมาขู่ฉัน เรื่องงานที่ฉันไม่คิดจะเข้าไปสานต่อ
“รู้แล้ว เดี๋ยวจะทักไปบอก” ฉันรีบรับปาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันจะไม่สน แต่นี่ดินเข้าไปทำงานในบริษัทของพ่อแม่ฉัน ตำแหน่งอะไรฉันยังไม่รู้ แต่ฉันเชื่อว่าเขาสามารถพูดให้ฉันเข้าทำงานที่นั่นได้เร็วกว่าเดิมแน่นอน ดูก็รู้ว่าแม่ของฉันพึ่งพาเขา อะไรก็ตามที่เขาต้องการ แม่ของฉันยินดีทำตามที่เขาเสนอ
“อย่าลืมทักมา” ดินขับรถมาจอดข้างทางให้ฉัน
“อืม” ฉันขานรับประตูถึงได้ถูกปลดล็อค
ฉันรีบลงจากรถก่อนที่ดินจะเปลี่ยนใจแล้วพาฉันเข้าบริษัทไปด้วย
ดีที่แท็กซี่จอดพอดี ฉันจึงไม่รีรอเปิดประตูเข้ามานั่งในรถแท็กซี่ ซึ่งดินยังไม่ทันได้ออกรถด้วยซ้ำ
“ไปคอนโด×××” ฉันเอ่ยชื่อคอนโดของเพื่อนคนหนึ่งก่อนจะกดโทรหาเพื่อนคนนั้น
(อืม) ปลายสายกดรับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“รับงานไว้หรือเปล่า”
(ไม่ได้รับ)
“งั้นอีก 20 นาทีลงมารับหน้าคอนโดด้วยนะ”
(กลับมาไม่กี่วันก็เอาเลยเหรอวะ) ปลายสายโอดครวญ
“จ่ายตังค์ก็ได้เถอะ ทำพูดเยอะ ก็คิดเงินเหมือนลูกค้าคนอื่นสิ”
(แต่ไม่ได้ทำแบบลูกค้าไง)
“พูดเหมือนอยากทำ”
(ก็อยากลองอยู่)
“ถ้ากล้าก็ตามใจ”
(หึ)
“อืม ๆ อย่าลืมลงมารับนะ”
(ครับแม่ เดี๋ยวจะลงไปรอตอนนี้เลยครับ)
“ดีเลย ส้มตำไก่ย่างป้าข้างคอนโดยังขายอยู่ไหมอะ”
(จะแดกว่างั้น)
“อืม ขายไหมอะ”
(ขาย แต่ต้องต่อคิวคนเยอะ)
“ลงมาต่อคิวให้เพื่อนหน่อยนะจ๊ะ”
(ทำไมไม่กินข้าวมาจากบ้าน)
“กินมาแล้ว จุกมากด้วย แต่กินแบบไม่มีความสุขเลย ก็เลยอยากกินใหม่”
(อืม ๆ เดี๋ยวไปต่อคิวซื้อให้ เอาเหมือนเดิมชะ)
“ใช่แล้วจ้ะ ขอบคุณนะจ๊ะ”
(หึ) เพื่อนของฉันกดวางสายทันที คงกลัวว่าฉันจะอยากกินอะไรอย่างอื่นอีก
เมื่อก่อนเวลาไม่สบายใจมาก ๆ ฉันก็มักมาขลุกตัวอยู่กับเพื่อนคนนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมสินะ ฉันถึงได้คิดถึงเขาเป็นคนแรก
ฉันมีเพื่อนสนิทก็จริง ปรึกษากันทุกเรื่องก็จริง แต่มันจะเหมือนมีเส้นบาง ๆ กั้นความสัมพันธ์เอาไว้ว่าบางเรื่องที่สำคัญมาก ๆ จะเล่าให้ฟังไม่ได้ ซึ่งต่างจากเพื่อนคนนี้ที่ฉันเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด
เขาเป็นเพื่อนที่เหมือนจะไม่สนิท แต่ความจริงเขาเป็นคนที่เข้าใจฉันที่สุด
ฉันเคยไว้ใจเขามากกว่าเพื่อนสนิทของฉัน และยิ่งตอนนี้ฉันก็ยิ่งไว้ใจเขามากที่สุด
เพราะฉันเชื่อว่าเขาคือคนที่จะไม่หักหลังฉัน