“ผมไปดื่มอะไรที่ห้องคุณหน่อยได้ไหม มีเรื่องจะคุยด้วย”
พรลักษมีเม้มปากแล้วมองหน้าเขา จักรพรรดิเลยยิ้มแล้วบอกเสียงเย้า “ผมไม่จนตรอกขนาดนั้นหรอกน่า”
เธอเลยพยักหน้าเดินนำเข้ามาในห้องแล้วถามว่าเขาจะดื่มอะไร วางของที่แวะซื้อไว้บนโต๊ะในส่วนที่เป็นทั้งที่กินอาหาร นั่งเล่นและรับแขกในที่เดียวกัน
“ผมนึกว่าคุณยังต้องการเงินอยู่ เห็นบอกว่าไม่ค่อยมีเงิน แต่ไอ้เมื่อครู่คงอยู่แบบสบายได้อีกหลายเดือนเลยสินะ ถ้าไม่ช็อปจนเงินหมดไปก่อน”
พรลักษมีบอกได้เลยว่าเธอชักเริ่มฉุน แต่ยังควบคุมตัวเองเอาไว้ถามออกไป
“คุณมีอะไรจะคุย ก็ว่ามาเถอะค่ะ”
“ผมอยากคุยเรื่องเมื่อวันก่อน”
“เรื่องอะไรคะ”
“ที่คุณบอกว่าผมก็เหมือนนายตฤน”
“อ้อ เรื่องนั้นเอง ทำไมคะ มันเป็นปัญหาสำหรับคุณมากนักเหรอ หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่เหมือนกับนายตฤน”
“แล้วไอ้ความเหมือนที่คุณบอกมันแง่ไหนล่ะ คุณลองแบบไหนกับนายตฤนไปแล้วบ้าง” เขาจงใจถามคำถามยั่วยวนกับเธอ เห็นได้ชัดว่ามันได้ผล เพราะพอเขาถามจบ สาวน้อยตาวาววับด้วยความไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ไม่ลองไปถามนายตฤนดูละคะ ว่าฉันกับเขา ลองกันแบบไหน แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ชอบมีความสัมพันธ์ซ้ำซ้อนกับพี่น้อง มันวุ่นวายน่ะค่ะ”
เร็วมากที่เขาตรงเข้ามากอดรัดเธอ “พอดีว่านายตฤนมันยอมรับมาแล้วสิว่ายังไม่เคย...ซักแบบกับคุณ แบบนี้ผมคงมีสิทธิ์สินะ”
“ปล่อย!”
พรลักษมีตวาดเสียงแข็ง
แต่คนที่กอดรัดเธออยู่กลับทำตรงกันข้าม ด้วยการออกแรงมากกว่าเดิมแล้วก้มลงประกบปากอย่างรวดเร็ว จูบแรกของเธอกับเขา คนที่รู้จักได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แต่แล้วเขากลับใช้ความชำนาญป้อนความซาบซ่านดื่มด่ำเคลิบเคลิ้มปล่อยตัวให้หลงไปในภวังค์ดำมืดจวบจนเขาถอนริมฝีปากออกนั่นถึงได้รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
มันเหมือนเขาจุดความรู้สึกวูบๆวาบๆแบบที่ไม่เคยมีในตัวจนปะทุแตกออกด้วยการจูบเพียงชั่วครู่ แล้วยังมีหน้ามาถามอีก
“ชอบมันไหม”
“ไม่ค่ะ!”
เขายิ้มกริ่มส่งให้ ตาเหยี่ยวอ่อนแสงลงด้วยความเอ็นดูเพราะคนในอ้อมกอดแดงไปหมดทั้งหน้า ปากของเธอถูกเขาชิมชื่นชมจนบวมเจ่อน้อยๆ
ให้ตายเถอะ!
มันช่างเย้ายวนจนเขาอยากจูบเธออีกครั้ง และพอก้มหน้าลงไปหา พรลักษมีรีบเบี่ยงหน้าหนีทันที
“ไม่เคยมีใครใจกล้าทำแบบคุณมาก่อนเลยนะคะ”
จักรพรรดิเลิกคิ้วหน่อยๆเหมือนไม่เชื่อในทีแรก
แต่ความอ่อนด้อยของเธอเมื่อครู่ที่ถูกเขาจูบก็เหมือนจะช่วยสนับสนุนคำพูดของเธอว่ามันจริง
อดหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไม่ได้ แล้วกระชับอ้อมแขนแน่นเข้าจนสาวน้อยอึดอัดขัดเขินมากขึ้นไปอีก
“ผมจะทำยังไงดี...อยากจูบคุณอีกแล้ว”
คนฟังตาโตตกใจยังไม่ทันออกปากห้าม
จักรพรรดิก้มหน้าลงบดจูบซ้ำอีกครั้ง จุมพิตดูดดื่มกึ่งเรียกร้องกึ่งเอาใจและเร่งเร้าเร่าร้อนมากขึ้นจนรู้สึกเหมือนถูกมัดวางบนตระแกรงในเตาเผามันร้อนรุ่มจนตัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จักรพรรดิตักตวงก่อนตัดใจหยุด ความต้องการดิบร้อนดำมืดบอกว่าเขาอยากทำกับเธอมากกว่าแค่กอดและจูบ แล้วคำพูดของน้องชายต่างมารดาก็ผ่านแวบเข้ามาในหัว
‘เธอผ่านอะไรมานักต่อนัก’
ทำให้เขาเผลอออกแรงบดขยี้ปากนุ่มนิ่มหอมหวานด้วยอารมณ์คุกรุ่น โกรธไม่พอใจหากเจ้าของริมฝีปากอิ่มเย้ายวนจะเคยผ่านใครมาจริงๆ
จนพอใจแล้วนั่นจึงคลายอ้อมแขนออกหน่อยๆ ปากยังคลอเคลียแก้มหอมนิ่ม ถามเสียงพร่าสั่นปนลมหายใจร้อนรดผิวจนคนฟังสะท้านยะเยือก
“เรา...คบกันไหม...เบบี้แบร์”
พรลักษมีผงะออกเล็กน้อยถามเขาเสียงสั่นๆไม่แพ้กัน
“หมายถึงคบแบบแฟนน่ะเหรอคะ”
“ครับ แต่ไม่ใช่แบบปับปี้เลิฟนะ คบแบบที่ผู้ใหญ่เขาคบกัน ไม่งอแงงี่เง่า ไม่ใช่แบบที่ยิ้มหวานนอนหลับจับมือกันจนถึงเช้า ไม่หึงหวง ไม่แสดงความเป็นเจ้าของให้คนอื่นเห็น นั่นไม่ใช่แบบที่ผมหมายถึง”
คนรู้มากฟังจบเงียบไปทันที เธอรู้ เธอเข้าใจว่าเขาหมายถึงคบแบบไหน
แต่คำอธิบายบวกท่าทางสบายอกสบายใจของเขานั่นต่างหาก ที่ทำให้เธอขัดใจเหลือเกิน พรลักษมีกัดปากอย่างใช้ความคิดดันตัวออกจากเขาจนเป็นอิสระ แล้วแหงนหน้าสบตาเหยี่ยวคมเข้ม ต่อรองราวกับเด็กน้อยขอให้ผู้ใหญ่ซื้อของเล่นให้
“แล้วฉันจะได้อะไรจากการคบกับคุณคะ”
จักรพรรดิเลิกคิ้วนิดๆไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามชนิดนี้จากคนตรงหน้า เลยอมยิ้มถามกลับ
“อยากได้อะไรล่ะ” สาวน้อยในอ้อมกอดเชิดใบหน้างามน้อยๆพูดอย่างกับนักธุรกิจกำลังตกลงโครงการมูลค่าหลายล้าน
“หุ้นในผับครึ่งหนึ่งค่ะ”
“ไม่เคี่ยวเกินไปเหรอ ผมน่ะพ่อค้านะ อะไรที่มันไม่คุ้ม ผมไม่ทำหรอก” จักรพรรดิบอกยิ้มๆ เมื่อสาวน้อยในอ้อมกอดชะงัก ลดสายตาที่จับจ้องลงมาเหลือแค่ระดับหน้าอกของเขา ใบหน้าสวยเรียบนิ่งแววตาคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง “ถ้าแค่คบกันแล้วผมต้องเสียหุ้นบ่อเงินบ่อทองของผมไปตั้งครึ่ง ป่านนี้ผมคงหมดตัวไปแล้วล่ะเบบี๋”
ถ้าพรลักษมีจะมองหน้าเขาหน่อย เธอคงได้เห็นว่าคำพูดก่อนหน้าของเขามันเหมือนแค่หยั่งเชิงเท่านั้น แล้วเขาก็ทำเป็นถอนหายใจบอกเหมือนว่าจำใจหนักหนา
“เอาอย่างงี้...ผมให้ได้แค่ 30%โอเคไหม”
พรลักษมีนิ่งงันไปเลยทีเดียวเมื่อได้ยินที่เขาบอกออกมาตรงๆ เธอไม่ได้สนใจหรอกเรื่องความสัมพันธ์ฉาบฉวยภายนอกนั่น เพราะรู้ว่าผู้ชายแบบนี้คงผ่านอะไรมาเยอะแยะรวมถึงผู้หญิงด้วย ในเมื่อเขาไม่สนแล้วเธอต้องสนด้วยหรือไร แต่หุ้นที่ผับ 30%นี่น่าสนใจไม่น้อย เธอรู้ว่ามันต้องทำให้สามคนแม่ลูกนั่นเต้นผางทีเดียว บางทีอาจถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับกันไปเลย เพราะนี่แค่เริ่มต้น เธอต้องเอาของๆแม่กลับคืนมาจากพวกนั้นให้หมด
ถามเขาต่อ
“เราจะคบกัน แบบผู้ใหญ่ แบบที่ไม่งอแงงี่เง่า...อย่างนั้นใช่ไหมคะ”
“อืม...จ้ะ” จักรพรรดิกอดอกพยักหน้ารับยิ้มๆ
“เราจะไม่ทำตัวหึงหวง ก้าวก่ายกัน อย่างนั้น...ใช่รึเปล่าคะ”
“ถูกจ้ะ”
“และก็ไม่แสดงความเป็นเจ้าของกันและกันต่อหน้าคนอื่นด้วย...ใช่ไหมคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เบบี้แบร์”
พรลักษมีพยักหน้าทำนองเห็นดีเห็นงามตามเขาไปด้วยแล้วถามอีก
“แล้ว...เราจะคบกันนานแค่ไหนคะ”
จักรพรรดิยิ้มอ่อนๆก่อนจูบเธออีกครั้ง
“จนกว่าเราจะอยากจากกัน...ด้วยดีไงจ๊ะ”
“คุณคงไม่รู้จักคำว่าแต่งงานสินะคะ” พรลักษมีผลักเขาออกเมื่ออีกฝ่ายยังคลอเคลียไม่เลิกแล้วถามต่อไปอีก
“คำนั้นไม่เคยอยู่ในหัวผมเลยเบบี๋”
“แล้วคุณทำยังไงคะ เวลาเจอคนที่ชอบมากๆ”
“คบกัน” จักรพรรดิบอกยิ้มๆ “ผมหมายถึงคบแบบผู้ใหญ่เลยนะ”
เขาเบ้ปากน้อยๆแล้วยักไหล่เหมือนไม่แคร์ “สักระยะ แล้วก็...ทางใครทางมัน”
พรลักษมีหรี่ตามองฟังเขานิ่งๆ ผู้ชายแบบนี้สนใจแต่เรื่องบนเตียง ชอบคบกับผู้หญิงไปเรื่อยๆ ไม่สนใจการมีครอบครัว คงเพราะความผูกพันไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเขา
“แล้วถ้าเราพลาด...ฉันหมายถึงว่าถ้าท้องแล้วมีเด็ก ฉันขอสิทธิ์ขาดในตัวเด็กคนนั้นเลยนะคะ โดยที่คุณห้ามเรียกร้องใดๆทั้งสิ้น”
ถึงคราที่จักรพรรดิเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง แม้จะผ่านฝนผ่านหนาวมากว่าสามสิบเก้าปี แต่ไม่เคยมีคำขอใดจากสาวๆที่ทำให้หัวใจเขาสั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ จึงตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ออกไปว่า
“เรื่องนั้นผมขอคิดดูอีกทีนะจ๊ะ ยังไม่รับปากตอนนี้”
แต่เธอจะสนใจทำไม เพราะไม่ได้อยากให้เขามาผูกมัดกับตัวเธอเองอยู่แล้วเช่นกัน ลองดูสักตั้งมันจะเป็นอะไรล่ะ ในเมื่อแค่เริ่มต้นเธอก็ได้หุ้นในผับที่เคยเป็นของนภาลัยตั้ง 30%เข้าไปแล้ว จึงพยักหน้าสบตาจริงจังกับเขา
“ได้ค่ะ ฉันตกลง”