ตอนที่4

3079 คำ
"กัณ เจอแล้วโน่น ๆ ใช่มั้ย มีรอยเหมือนตัวแมลงแทะจนรูพรุนเลย" เรวิการ้องเรียกอีกคนที่กำลังตัดเล็มกิ่งไผ่ส่วนปลายออก กัณภัครีบเดินมาดูก่อนจะเผยยิ้มออกมาอย่างดีใจ "ใช่ ๆ ขอให้มีตัวด้วงทีเถอะนะ หวังว่ามันจะไม่กลายเป็นแมลงปีกหนีไปแล้ว" เมื่อกัณภัคมุดเข้าไปตัดลำไผ่ลากออกมาด้านนอกที่โล่ง ทั้งสองสาวก็มองหน้ากันยิ้มลุ้นไปด้วย ว่าจะเจอสิ่งที่หวังหรือเปล่า ดูจากรอยแทะยังใหม่ ๆ อยู่ มีดในมือถูกฟันตรงข้อปล้องทั้งสองฝั่ง ก่อนที่กัณภัคจะค่อย ๆ ถากเนื้อไผ่ตรงกลางลำที่มีรอยแทะ พอไม้เปิดออกเท่านั้นแหละ รอยยิ้มกว้างก็ฉาบไปทั้งใบหน้าคม "คุณ เราได้อาหารเย็นแล้วล่ะ ดูสิ หลายตัวเลยอ้วน ๆ ทั้งนั้น" "กรี๊ด จริงเหรอ" เรวิกาส่งกรี้ดเบา ๆ ด้วยความดีใจไปด้วย เมื่อมองเห็นตัวด้วงสีขาวหลายตัวในปล้องไม้ไผ่นั่น กัณภัคลองผ่าดูลำไผ่ที่เริ่มมีจุดแผลเล็กพอให้สังเกตุเห็น และก็เจอตัวด้วงเพิ่มอีกแค่นี้ก็พาให้หายเหนื่อยกันเลยทีเดียว ยิ่งณัฐพัชเรียกพร้อมกับโชว์สิ่งเดียวกันให้ดู สาว ๆ ยิ่งพากันยิ้มหน้าบาน นาทีนี้ไม่มีใครโลกสวยไม่กินเจ้าตัวขาวอวบ ที่ราคาแสนแพงนี่หรอกหากไปหาซื้อกินตามข้างนอก นี่ธรรมชาติมีอยู่ตรงหน้าจะปล่อยผ่านได้ยังไง "เนย่า คุณได้ยินเสียงอะไรมั้ย" นรากรเอ่ยถามนางแบบสาวที่เดินเอาไม้เขี่ยหาจำพวกเห็ด เธอว่าเธอได้ยินเสียงดังหวื่อ ๆ อื้ออึงอยู่ไม่ไกล เนย่าเงี่ยหูฟังก่อนจะขมวดคิ้วมองอีกคนที่ยืนทำท่าคิดมองไปรอบ ๆ "เสียงอะไรน่ะคุณ เหมือนฝูงแมลงกลุ่มใหญ่เลย" "นั่นแหละ ฉันว่ามันน่าจะเป็นผึ้งหรือเปล่า" นรากรพยายามเดินไปตามเสียงที่ได้ยินอยู่ไม่ไกล และยิ่งใกล้พุ่มไม้ใหญ่เสียงก็ยิ่งชัดขึ้นทุกที เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าพุ่มไม้ใหญ่ที่สูงเสมอตัวเธอ แต่โดนเถาไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมจนเหมือนหลังคา เธอพยายามมองลอดเข้าไปด้านในและก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ด้วย เมื่อใต้นั้นมีรวงผึ้งรวงใหญ่ห้อยแทบจะระกับพื้นดิน มีตัวผึ้งบินว่อนอยู่รอบ ๆ "เนย่า ผึ้งรังเบ้อเร่อเลยอ่ะ" สาวนักแข่งหันไปบอกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล  เนย่ารีบเดินเข้ามาดูด้วยความตื่นเต้น "หูยรังใหญ่จริงด้วย เราจะเอามันได้ไงอ่ะคุณ ผึ้งขนาดนี้มันรุมเราแย่แน่" "มันมีวิธีอยู่นะ แต่ต้องช่วยกันหลายคนเดี๋ยวไปเรียกพวกนั้นมาช่วยดีกว่า ฉันต้องก่อไฟ เราจะใช้ควันไล่ตัวผึ้งออกจากรังกัน" เนย่าอาสากลับไปเรียกเพื่อนร่วมทีมที่กระจายกันอยู่ ปล่อยให้นรากรใช้ทักษะก่อไฟด้วยวิธีใช้เศษไม้มาเสียดสีกันจนเป็นประกายไฟเพราะความร้อน เรื่องก่อไฟต้องยกให้ เพราะนรากรคือคนที่สามารถก่อไฟได้เร็วที่สุดกว่าทุกคนในทีม เมื่อเนย่ากลับมาพร้อมกรนันท์กัณภัคและอัญญาวี ก็พอดีกับที่นรากรกำลังเป่าเศษไม้เศษหญ้าให้ติดไฟ และไม่นานไฟก็ติดอย่างง่ายดาย "ฝีมือไม่ตกเลยนะไนซ์เรื่องก่อไฟเนี่ย" อัญญาวีเอ่ยชมแกมแซวรุ่นน้องให้เจ้าตัวยิ้มเผล่ "ก่ออย่างอื่นก็เร็วนะพี่อัญ" "หึ ๆ ก่ออะไรเหรอ อย่าบอกว่าก่อเรื่องนะ" "ฮ่า ๆ พี่นันท์นี่รู้ทันอีกล่ะ มา ๆ มาช่วยกันเอารังผึ้งดีกว่าพี่" "ต้องไปหาใบไม้มาห่อเศษถ่านพวกนี้ก่อน ให้มันเกิดควันเราถึงจะเอาไปไล่มันได้นะ แล้วก็ปิดหน้าปิดตาดี ๆ กันล่ะ โดนผึ้งรุมขึ้นมาหมอกิ่งงานหนักแน่" อัญญาวีบอกวิธีการก่อนที่ทุกคนจะทำตาม จากนั้นขบวนการแย่งเอารวงผึ้งจากแม่ผึ้งน้อย หลายพันตัวที่โอบล้อมรังก็เริ่มขึ้น สุดท้ายใช้เวลาอยู่หลายนาทีคนปล้นรังผึ้งก็ประสบความสำเร็จจนได้ "นี่โดนต่อยกันหรือเปล่าน่ะ" เมื่อได้รังผึ้งออกมาเรียบร้อยอัญญาวีก็เอ่ยถามขึ้น "ไนซ์โดนที่มือ แต่ไม่เป็นไรค่ะนิดหน่อย" เนย่าหันไปมองคนที่โดนผึ้งต่อยก็เห็นว่าที่มือขวาของนรากรมีรอยบวมแดงขึ้นมา "ปวดหรือเปล่าคุณ" "นิดหน่อยน่ะไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นตัวต่อก็คงปวดมากกว่านี้" "เดี๋ยวเอารังมันนี่แหละทา เดี๋ยวก็หายปวด" กัณภัคแนะนำ ก่อนจะบิเอาส่วนรังเล็กน้อยมาถู ๆ ตรงหลังมือให้ตัวอ่อนของผึ้งแตกตัวกลายเป็นน้ำขุ่น ๆ รอบบริเวณที่บวม "ห้ามเลียล่ะ" "ฮ่า ๆ บ้าเหรอเราไม่ได้หิวขนาดนั้นนะกัณ" สาว ๆ ที่เหลือนั่งรออยู่ใต้ร่มไม้ข้างกอไผ่ พอเห็นกรนันท์หอบรวงผึ้งรังใหญ่มาก็ส่งเสียงฮือขึ้น "อื้อหือ นี่เป็นอาหารกลางวันพวกเราได้สบายเลยนะพี่" มณนิชาเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น ผึ้งป่าใช่ว่าจะหากินได้ง่าย ๆ ส่วนมากทุกวันนี้ก็จะกินแต่ผึ้งเลี้ยงกันซะมากกว่า "หิวน้ำกันหรือเปล่า นี่กินแก้กระหายกันไปก่อนนะ น้ำจากเถาวัลย์น่ะ ติดเกาะนี้เราอยู่รอดแน่ ดูผลงานจากธรรมชาติซะก่อน" ณัฐพัชยื่นกระบอกไม้ไผ่ขนาดเท่าฝ่ามือที่มีน้ำใส ๆ อยู่เกือบเต็ม ให้แต่ละคนจิบแก้กระหาย "โห นั่นมันระกำป่านี่ ได้มายังไงน่ะ แล้วเห็ดโคนอีก โอ้ สวรรค์เมตตาจริง ๆ" อัญญาวีร้องขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นพวงระกำพวงใหญ่วางกองอยู่ "ฉันเจอต้นระกำอยู่ทางโน้นน่ะ ดกพอสมควรเลยล่ะ นี่กำลังสุกแต่อาจจะเปรี้ยวหน่อยนะ ปล่อยไว้สักสองสามวันคงจะหวานน่ะ นอกจากต้นระกำยังมีเต่ารั้งด้วยนะ ถ้าเราจับปลาได้เดี๋ยวเอาไปแกงกระทิรับรองอร่อย" "พี่หมอพูดซะท้องพวกเราร้องเลยค่ะ ส่วนเห็ดโคนนี่แบมเจอค่ะ สงสัยก่อนมาไหว้เจ้าที่ท่านคงเมตตาไม่ปล่อยให้อดอยาก" ชาลิศาพูดขึ้นมาให้แต่ละคนขำไปด้วย  "พวกเราโชคดีหลายขั้นเลยนะเนี่ย สรุปตอนนี้อาหารเรามากพอ เหลือแค่แหล่งน้ำจืดต้องสำรวจกัน แต่ตอนนี้เราขนเจ้าพวกนี้ออกไปหาดกันเถอะ ตะวันตรงหัวแล้วชักจะหิวเหมือนกันนะนี่" อัญญาวีสรุปก่อนที่ทุกคนจะแบ่งหน้าที่ช่วยกันขนสิ่งที่หามาได้ออกจากป่ามุ่งหน้าไปยังชายหาด     ระยะทางที่กว่าจะพากันเดินออกมาจนถึงจุดริมหาด ก็เล่นเอาแต่ละคนสะบักสะบอมพอสมควร เพราะทางลงบางจุดไม่ใช่ทางราบ ก็ต้องพากันอ้อมเพราะสัมภาระที่ขนมาระหว่างทาง ไม้ไผ่สิบกว่าลำที่ถูกมัดแบ่งกันแบกหัวท้ายมอง ๆ ไปก็ให้นึกขำเพราะไม้มันยาวเวลาจะเลี้ยวที คนด้านหลังแทบเซถลาไปด้วยเหมือนโดนแกล้ง "ได้ยินเสียงคลื่นแล้วน้อง ๆ" หมอกิ่งกานต์ที่เป็นคนเดินนำทีมส่งเสียงบอกลูกทีม เพราะอัญญาวีต้องมาช่วยแบกไม้ไผ่คู่กับณัฐพัช กรนันท์ช่วยนรากรและมณนิชาแบกคู่กับกัณภัค ระหว่างทางที่เดินออกจากป่า นอกจากทางน้ำที่บอกให้รู้ว่าบนเกาะนี้ฝนคงจะตกมากพอสมควรเพราะพื้นดินนั้นมีความชื้นอยู่มาก แต่กลับไม่เห็นวี่แววว่าจะมีแหล่งน้ำตกหรือลำธารนอกจากบางจุดที่เป็นหนองน้ำไม่ใหญ่ มีน้ำขังอยู่บ้างแต่มันก็สกปรกเกินกว่าจะนำมาดื่มกินได้ ดีที่พวกเธอพากันตัดเอาเถาวัลย์น้ำออกมาหลายท่อน วันนี้คงต้องอาศัยกินน้ำจากเถาวัลย์หรือน้ำมะพร้าวแทน คงจะได้อาบน้ำทะเลแทนน้ำจืดไปก่อนเพราะตะวันเริ่มคล้อยบ่ายไปแล้ว ยังไม่เจอแหล่งน้ำจืดเลย แต่อย่างน้อยติดเกาะวันแรกก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปเพราะอาหารที่ได้มา จะทำให้พวกเธออิ่มท้องได้เป็นอย่างดี ในที่สุดทุกคนก็ออกมาถึงจุดหมายจนได้  "ว๊าว เรารอดตายแล้วเจ๊ มะพร้าว มะพร้าวเยอะแยะเลย" เด็กป่วนทิ้งสัมภาระลงพื้นวิ่งวนซ้ายขวา เมื่อมองไปทางไหนเจอต้นมะพร้าวน้อยใหญ่มีลูกเกือบทุกต้น หาดฝั่งนี้ไม่ได้ยาวมากนักแต่มีจุดที่แตกต่างจากหาดที่พวกเธอลงเรือคือฝั่งนี้มีโขดหินกระจัดกระจายเต็มไปหมด ถึงว่าเรือมาไม่ได้ เพราะติดโขดหินพวกนี้นี่เอง อีกอย่างคือสองฝั่งซ้ายขวาล้วนเป็นกำแพงเขากั้น เหมือนกับจุดนี้ถูกกักกันไว้จากมรสุมทั้งสองด้าน นั่นมันคือข้อดีสำหรับพวกเธออย่างน้อยเจ็ดวันที่เกาะจะไม่โดนมรสุมถล่ม "โขดหินเต็มไปหมดเลย แต่นี่ล่ะมันจะทำให้เราได้อาหารเพิ่มขึ้น เพราะปลาบางชนิดก็ชอบอาศัยตามซอกหินพวกนี้ และก็คงจะเป็นแหล่งปะการังด้วยดูสีน้ำสิคะ" กรนันท์กล่าวด้วยรอยยิ้มให้ทุกคนพากันพยักหน้าเห็นด้วย "ม่อน สถิติการปีนหน้าผาเธอเร็วกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นเธอไปจัดการเอามะพร้าวลงมาซะ" ชาลิศาบอกกับบัดดี้ตัวเอง "ห๊ะ ม่อนนี่เหรอ ให้ม่อนปีนคนเดียวเหรอพี่" ที่เหลือต่างพร้อมใจกันพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้แต่กัณภัคพี่สาวที่สนิทกัน มณนิชายิ้มแหย ก่อนจะยื่นมือออกไปตรงหน้าทั้งสองข้างให้คนตรงหน้าดู "เป็นอะไร! พากินสันกำเริบหรือไงทำไมมือสั่นแบบนี้ห๊ะ" ชาลิศาปรี่เข้าไปจับมือที่สั่นจนสังเกตุได้ ให้คนที่เหลือตกใจไปด้วย "ไม่ช่าย ม่อนหิวอ่ะ เนี่ย หมดแรงมือสั่นเลย" พรืด ฮ่า ๆ ๆ "โอ๊ยเด็กบ้า ฉันตกใจหมดนึกว่าโรคกำเริบ สั่นเป็นเจ้าเข้าเลย" "แหะ ๆ ก็นี่มันบ่ายกว่าแล้วนะ ที่ตุนมาเมื่อเช้ามันย่อยไปหมดแล้วอ่า" มณนิชาบอกออกไปเขิน ๆ ปกติก็เป็นคนกินจุอยู่แล้วด้วย "ไนซ์ไปก่อไฟทำอาหารให้น้องกินก่อนไป เดี๋ยวไม่มีแรงปีนต้นมะพร้าว" อัญญาวีบอกกับนรากร เพราะตอนนี้ทุกคนก็ควรจะกินอะไรรองท้องกันก่อนที่จะได้ทำงานกันต่อ ทักษะความชำนาญที่เริ่มมีมากขึ้นของนรากรแถมยังมีเชื้อไฟอย่างดีเช่นใยจากต้นมะพร้าวทำให้ใช้เวลาไม่นานก็ได้ไฟกองใหญ่ "พี่ว่าเอาด้วงมาคั่ว แล้วก็รังผึ้งนี่เอาไปย่างไฟให้สุกดีกว่านะ กินดิบเดี๋ยวเผื่อท้องเสียขึ้นมามันจะยุ่ง มื้อเย็นเรามีเห็ดพวกนี้กับผักกูดเดี๋ยวค่อยคิดเมนูกันจะทำยังไงกินดี" กิ่งกานต์บอกกับทุกคน ก่อนที่จะช่วยกันคนละไม้ละมือจัดการกับอาหารที่ได้มาจากธรรมชาติล้วน ๆ อาหารสองอย่างถูกทำให้สุกอย่างรวดเร็ว ด้วงยี่สิบกว่าตัวถูกคั่วกับน้ำที่ได้จากเถาวัลย์ และรังผึ้งที่ตอนนี้ถูกย่างจนสุกดีแล้ว ทุกคนนั่งล้อมวงมองอาหารมื้อแรกที่ได้จากเกาะร้างแห่งนี้ แต่ใครจะคิดว่ามันร้างแค่ว่าไม่มีมนุษย์อาศัยเท่านั้นเอง แต่ทรัพยากรในเกาะแห่งนี้มันกลับอุดมสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ แป๊ะ "อ๊ะ อะไรละเจ๊?" มณนิชาทำหน้างง เมื่ออยู่ ๆ คุณนางร้ายก็ตีมือเธอแหม กำลังจะหยิบด้วงตัวอ้วนอยู่เชียว "เมื่อกี้ไปเด็ดใบไม้มาน่ะล้างมือหรือยัง เดี๋ยวมาจับรังผึ้งกินอีกสกปรก" คนอายุมากกว่าบอกเสียงดุ "กะ ก็นี่ไงเช็ด ๆ เสื้อนี่สะอาดแล้วน่า" "ไม่ต้องเลยโน่นน้ำเยอะแยะไปล้างก่อนเลย ไม่ต้องกลัวใครเขาจะกินหมดก่อนหรอก เธอนี่จริง ๆ เลยนะเป็นลูกฉันหรือไงต้องให้บ่นทุกอย่างเลยเนี่ย" "กะได้ ๆ เจ๊ก็อย่าบ่นมากสิเดี๋ยวคอแห้งหิวน้ำบ่อยน้ำยิ่งหายากอยู่นะเออ" ก่อนไปยังมิวายพูดยอกย้อนให้พี่ ๆ ได้แต่ขำกับคู่นี้ "น้องเธอนี่กวนประสาทจริง ๆ เลยนะกัณ ออกจากเกาะไปหวังว่าฉันจะไม่เป็นโรคประสาทเพราะเจ้าเด็กนี่หรอกนะ" หึ ๆ  "ม่อนมันก็กวนไปงั้นแหล่ะจริง ๆ ไม่มีอะไรหรอกน่ะอย่าไปซีเรียส จริง ๆ เด็กมันออกจะน่ารัก" "เห๊อะ ถ้าไม่กวนประสาทแบบนี้มันจะน่ารักมากเลย" "นั่น ๆ พอบอกให้หยุดบ่นก็หันมานินทาเลยน๊า เจ๊เนี่ยยังไงฮึ อุ๊บ" "กิน ๆ ไปไม่ต้องพูดมาก" ฮ่า ๆ ด้วงตัวใหญ่ถูกยัดเข้าปากคนที่กลับมานั่งลงที่ตัวเอง ให้ต้องรีบเอามือตะครุบ "วิธีกินรังผึ้งให้อร่อย เอามาจิ้มน้ำหวานแบบนี้ค่ะ ทุกคนลองดู" กัณภัคสาธิตให้ทุกคนดู ก่อนเอารังผึ้งที่จิ้มกับน้ำหวานเข้าปากด้วยสีหน้าพอใจกับรสชาติ ให้คนอื่นลองทำตามบ้าง "หืม อร่อยจริง ๆ เพิ่งรู้ว่ามันมีเทคนิคการกินด้วยนะเนี่ย" กรนันท์เอ่ยขึ้น "นั่นสินี่พี่ก็เข้าป่าบ่อย ๆ ก็ไม่ค่อยได้กินเจ้าพวกนี้เลยนะ" อัญญาวีเล่าบ้าง "แต่พวกเรานี่เพิ่งเคยกินครั้งแรกเลยนะคะรังผึ้งแบบนี้ ถ้าเป็นน้ำผึ้งอันนั้นต้องมีติดห้องไว้ตลอดค่ะ" เรวิกาเอ่ยบอกให้เนย่าพยักหน้าตาม ก็ชีวิตพวกเธออยู่แต่ในเมือง นาน ๆ จะได้มีเวลาพักแล้วออกไปเที่ยวป่าบ้าง แต่ไม่เคยที่จะต้องมาหาอาหารป่ากินกันเองแบบนี้ นี่จึงถือเป็นประสบการณ์ที่ดีและน่าตื่นเต้นของพวกเธอมากเลยทีเดียว "ตอนนี้เรื่องอาหารเราคงไม่ต้องกังวลกันแล้วล่ะ เพราะเท่าที่เห็นวันนี้เราคงไม่อดตายกันแน่  แต่แหล่งน้ำจืดที่เราจะต้องใช้อาบนี่ล่ะปัญหา ที่เราจะต้องสำรวจเกาะนี้เพิ่มเติม" "วันนี้ยังพอมีเวลา เดี๋ยวกินอะไรเสร็จพวกเราแบ่งหน้าที่กันทำนะ พี่จะออกไปเดินสำรวจดูบริเวณรอบ ๆ นี่อีกทีเผื่อมันมีแหล่งน้ำจืดให้เราได้ใช้" เมื่อท้องอิ่มทั้งกำลังกายกำลังใจก็ฟื้นกลับมา พร้อมลุยกับการเอาตัวรอดในเกาะแห่งนี้อีกครั้ง "เราทำที่พักกันตรงนี้เลยมั้ยพี่ ณัฐว่าทำเลมันค่อนข้างโอเคอยู่นะ แถมเรายังมีต้นหูกวางต้นใหญ่นี่ช่วยกันแดดในตอนกลางวันให้ด้วย" ณัฐพัชเอ่ยขึ้นเมื่อมองดูบริเวณที่พากันนั่งพักมันเป็นพื้นทราย และห่างจากแนวป่าออกมาพอสมควร และก็เป็นจุดที่น้ำทะเลขึ้นมาไม่ถึงด้วย "อืม ก็เหมาะดีนะ งั้นเดี๋ยวเราจะทำฐานสูงแค่เข่าแล้วใช้ไม้ไผ่ผ่าเป็นซี่เล็กปูเป็นพื้น ถึงจะมีต้นไม้กันแดดยังไงเราคงต้องทำหลังคาอยู่ดี เพราะทางใต้บางทีฝนก็ตกแบบไม่มีปีมีขลุ่ยเหมือนกัน เราจะใช้พวกใบไม้ที่มีขนาดใหญ่หน่อยมาทำเป็นตับแล้วมุงเป็นหลังคา มีใครพอจะทำเป็นบ้างคะ" กิ่งกานต์ถามความคิดเห็นน้อง ๆ "กัณกับม่อนทำได้ค่ะ" "ณัฐก็ทำได้นะ เดี๋ยวใครทำไม่เป็นก็สอนได้ไม่ยากหรอก" "โอเค ถ้างั้นเดี๋ยวเอางี้นะ ม่อนมีหน้าที่ไปเก็บมะพร้าวมาไว้ก่อนเสร็จแล้วค่อยมาช่วยพวกพี่ แล้วก็เอามีดขึ้นไปตัดก้านมะพร้าวลงมาด้วยเผื่อเราจำเป็นต้องใช้กันลมไปก่อนในคืนนี้" "ได้ค่ะ ม่อนจัดให้" "ตอนนี้มีดเหลือเล่มเดียวที่ณัฐ ให้ไปตัดต้นไม้ที่จะเอามาวางฐานทำที่พักเราก่อน พอม่อนเสร็จก็จะได้มาช่วยกันผ่าไม้ไผ่ทำพื้นปู ส่วนที่เหลือเราจะไปช่วยกันเก็บใบไม้มาเตรียมทำหลังคา แล้วก็พวกเครือไม้ที่จะใช้มัดแทนเชือกนะ" "โอเคค่ะ" เมื่อรับรู้สิ่งที่ต้องทำแต่ละคนรีบแยกย้ายกันไป เพราะเวลามันผ่านไปเรื่อยก่อนตะวันตกดินที่พักคืนนี้ควรจะเสร็จ    อัญญาวีเดินย้อนกลับเข้าป่าไปอีกรอบ แต่เปลี่ยนเส้นทางจากเส้นที่ออกมากันเมื่อตอนเช้า เสื้อยืดตัวใหญ่ถูกดัดแปลงให้เป็นกระเป๋าด้วยการมัดชายเสื้อด้วยเครือไม้ และส่วนแขนทั้งสองข้างถูกเจาะเพื่อใช้เชือกเกี่ยวร้อยเป็นสายสะพาย แค่นี้เธอก็มีกระเป่าผ้าไว้ใส่สิ่งของแล้ว หญิงสาววัยสามสิบที่ผ่านประสบการณ์บุกป่าลุยเขามามากกว่าห้าปี ต้นไม้ พืชผัก สิ่งไหนที่สามารถนำมาเป็นอาหารได้เธอจะเก็บไปให้หมด "เอ๊ะ นี่มันเครือมันแกวนี่นา หืมขึ้นเยอะเลยนะนี่" ไม้ไผ่ที่ถูกเสี้ยมปลายมาจนแหลมคมเพื่อใช้ในการขุดดินได้ ถูกใช้ขุดลงตามเถาไม้เลื้อยที่มีหัวฝังอยู่ใต้ดิน อัญญาวีขุดลงไปไม่ลึกมาก ก็เจอกับหัวสีขาวขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเมื่อได้อาหารเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง หญิงสาวใช้เวลาขุดจนได้เป็นสิบหัวถึงได้เดินออกจากจุดนั้น เกาะนี่ไม่ได้กันดารอย่างที่คิดกังวลเลย พืชหลายชนิดที่นำไปเป็นอาหารได้มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ถ้าเจอต้นกล้วยด้วยก็คงสวรรค์ของแท้เลยล่ะ 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม