จากการนัดมาทานมื้อเย็นก็กลายเป็นการนัดประชุมฉุกเฉินขึ้นมาโดยปริยายหลังจากที่คิมแฮซูได้เห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องพัสดุซึ่งนัชฌานได้นำมาให้ดู บรรดาทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้องถูกเรียกรวมตัวโดยด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โตจนส่งผลกระทบกับการเดินสายโปรโมทอัลบั้มของนักร้องหนุ่ม
สิ่งแรกที่พวกเขาทำได้คือการไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ ส่วนการตามตัวผู้ส่งจากชื่อและที่อยู่ที่จ่าหน้ากล่องพัสดุมาก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบเสาะค้นหา และแน่นอนว่ากระบวนการทั้งหมดทำขึ้นอย่างเป็นความลับ เพราะถ้าเรื่องนี้หลุดไปถึงนักข่าว มีหวังนักข่าวพวกนั้นคงได้ประโคมข่าวถูกแอนตี้แฟนก่อกวนมากกว่าข่าวโปรโมทงานเพลงจนแผนงานที่วางมาไว้ดิบดีเสียหายหมดแน่
เพื่อการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ คิมแฮซูได้ให้ลีแทจินย้ายไปอยู่ที่แมนชั่นอีกที่หนึ่งที่เขาซื้อเอาไว้รับรองศิลปินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแมนชั่นของเขามากนัก ลีแทจินยอมตกลงด้วยเห็นว่าที่นั่นมีระบบรักษาความปลอดภัยสูงกว่าที่พักเดิมเป็นไหนๆ ที่สำคัญคือการย้ายไปครั้งนี้ นัชฌานเองก็ถูกคำสั่งสายฟ้าฟาดให้ไปอยู่กับเขาเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย
ถ้าไม่เป็นเพราะคนตัวเล็กนี่ ให้ตายเขาก็ไม่ย้ายไปอยู่ใกล้ๆ ท่านประธานจอมวุ่นวายคนนี้หรอก
แต่การย้ายมาครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าอะไรๆ ขะดีขึ้น เพราะนอกจากจะไร้เงาแอนตี้แฟนตามรังควาญแล้ว ลีแทจินยังได้สนิทสนมกับนัชฌานมากขึ้นจนถึงขั้นนอนร่วมเตียงกัน ทั้งที่เมื่อก่อนนอนแยกห้องแท้ๆ และนั่นก็ทำให้นักร้องหนุ่มมีกำลังใจในการทำงานเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันแรกของการเปิดตัวอัลบั้มล่าสุดซึ่งเขาตั้งใจจะร้องและแสดงสดให้นัชฌานได้ดูเป็นขวัญตา
“คอยดูนะ วันนี้ฉันจะทำให้นายอ้าปากค้างไปทั้งวันแน่” เขาว่าพลางยิ้มเผล่ขณะให้ช่างแต่งหน้าแต่งแต้มอายไลเนอร์ลงบนดวงตาคู่เรียวตามคอนเซ็ปต์ที่ทางทีมงานได้วางไว้
“เออ ทำให้ได้อย่างที่พูดเถอะ จะรอดู” นัชฌานแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาเช็คคิวตามลำดับรายการ ทำเอานักร้องหนุ่มชักสีหน้าขึ้นมา
“นี่ดูถูกว่าฉันทำไม่ได้งั้นเหรอ”
“เปล่า ก็แค่บอกว่าทำให้ได้อย่างที่พูดก็เท่านั้น”
ฟังแล้วก็อยากจะลงโทษคนตัวเล็กด้วยการฉกริมฝีปากคู่นั้นให้ผู้เป็นเจ้าของหายปากดีนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะรอบข้างมีคนอื่นอยู่เต็มไปหมดจึงได้แต่ขุ่นเคืองเท่านั้น
“ถ้าฉันทำได้ดีล่ะก็ นายต้องให้รางวัลฉันด้วยเข้าใจมั้ย”
นัชฌานไม่ตอบ ได้แต่หยักยิ้มบางๆ จนกระทั่งทีมงานเบื้องหลังเข้ามาแจ้งคิวการถ่ายทำเป็นจังหวะเดียวกับที่นักร้องหนุ่มแต่งหน้าเสร็จพอดี
“ใกล้เวลาแล้วนะครับ ไลเกอร์ช่วยเตรียมตัวสแตนด์บายด้วย”
“คอยดูให้ดีๆ ล่ะ” ลีแทจินทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินตามทีมงานคนนั้นไปเซ็ทอุปกรณ์ต่างๆ
นัชฌานจึงได้โอกาสสังเกตรูปลักษณ์แปลกตาของลีแทจินเต็มๆ ตาก็ตอนนี้นี่เอง การแต่งตัวเขาเปลี่ยนไปจากอัลบั้มก่อนๆ เล็กน้อย บ่งบอกถึงการเติบโตทางดนตรีของเขาซึ่งปกติแล้ว เขามักจะแต่งตัวตามสไตล์ฮิพฮอพอย่างที่ใครต่อใครชินตา เสื้อแจ็คเก็ตตัวโคร่งและกางเกงขาย้วยๆ หากแต่ครั้งนี้กลับเป็นเสื้อสูทสีขาวแต่งลายด้วยดิ้นสีเงินพร้อมด้วยสายโซ่เล็กๆ ห้อยระโยงรยางค์อย่างมีสไตล์ ผมรองทรงสูงถูกเซ็ทเสยขึ้นเปิดให้เห็นหน้าผากนูนชัดเจน หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าสีผมเขาเปลี่ยนจากสีชมพูปนบลอนด์กลายเป็นสีชมพูบานเย็นไปแล้วเรียบร้อย แต่ถึงสีจะแสบสันจนคนทั่วไปไม่กล้าทำเดินตามถนน ทว่าพอประกอบกับผิวสีแทนเล็กๆ ที่ได้มาจากการไปถ่ายรายการที่ปูซานแล้ว กลับทำให้นักร้องหนุ่มดูเซ็กซี่อย่างร้ายกาจเลยทีเดียว
“ได้เวทีแล้ว พอผมนับสามแล้วก็ไปยืนที่จุดเปิดตัวได้เลยนะครับ สาม...สอง...หนึ่ง...”
เสียงทีมงานคนเดิมดังขึ้น ลีแทจินออกไปยืนหน้าเวทีพร้อมกับแดนเซอร์กลุ่มหนึ่งก่อนที่เสียงของผู้กำกับรายการจะดังขึ้นสั่งถ่ายทำ เสียงอินโทรเพลงดังก่อนเสียงร้องนุ่มทุ้มจะดังขึ้นตามจังหวะดนตรีบรรเลง นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่นัชฌานได้เห็นลีแทจินในฐานะนักร้องอย่างแท้จริง ปกติแล้วได้เห็นเขาก็ตอนใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้นและเขาก็ดูไม่ได้โดดเด่นมากมายแต่อย่างใด ดูเผินๆ ก็แค่คนหน้าตาดีแต่หัวดื้อคนหนึ่งเท่านั้น แต่ในนาทีนี้ต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นศิลปินจากสายเลือดโดยแท้ ทั้งร้อง ทั้งแร็ป ทั้งเต้น ไม่มีตรงไหนขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
เสียงกรีดร้องของบรรดาแฟนคลับที่ได้สิทธิในการเข้าชมการถ่ายทำรายการดังกระหึ่มไปทั่วสตูดิโอ ป้ายชื่อไฟและแท่งไฟหลากสีส่องแสงสว่างใต้แสงไฟสลัวจนดูเหมือนเป็นคอนเสิร์ตย่อมๆ ทำให้นัชฌานซึ่งบัดนี้ย้ายมาสังเกตการณ์อยู่หน้าเวทีในที่ที่ทางรายการจัดไว้ให้ถึงกับอมยิ้มที่นักร้องหนุ่มยังคงทำคะแนนความนิยมได้ดีไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าคะแนนการโหวตจากรายการบ้านนี้รักกัน เขาจะตกอันดับเป็นที่สามเป็นที่เรียบร้อย แต่นั่นก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเพราะมันก็แค่งานเล็กๆ น้อยๆ ที่รับมาเพื่อไม่ให้ว่างงานเท่านั้น
การแสดงของนักร้องหนุ่มจบลงแล้ว ทว่าเสียงร้องเรียกชื่อเขายังดังไม่หยุดจนสต๊าฟต้องปรามแฟนคลับให้เงียบด้วยเกรงว่าจะถ่ายทำต่อไม่ได้ ลีแทจินยังคงยืนสง่าอยู่กลางเวที เขาขยับไมค์ลอยเข้ามาใกล้ปากเล็กน้อย รอจนกระทั่งหายเหนื่อยหอบก่อนจะเปล่งเสียงผ่านออกมา
“ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่ยังคงรักกันเสมอ ไลเกอร์ได้เวลา Come back stage แล้วครับ!”
แทนที่จะช่วยให้เสียงเงียบ กลับทำให้เสียงกรี๊ดดังเซ็งแซ่กว่าเดิม แวบหนึ่งนัชฌานแอบเห็นผู้กำกับรายการตบหน้าผากตัวเองที่นักร้องหนุ่มทำเสียเวลาด้วย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา คงไม่มีรายการไหนเลยสินะที่ลีแทจินจะทำให้ทีมงานได้ทำงานอย่างราบรื่น
พอเสียงกรีดร้องเริ่มเบาลง นักร้องหนุ่มก็ว่ายาว
“เพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม เป็นเพลงที่ทำให้ผมอยากขอขอบคุณทีมงานโปรดิวเซอร์ทุกคนตั้งแต่ท่านประธานคิมยันเด็กหลังเวทีที่ทำให้อัลบั้มล่าสุดของผมเสร็จสิ้นลงได้ รวมถึงทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณผู้จัดการนัชฌานที่เข้ามาช่วยจัดการให้ชีวิตของผมเป็นระบบระเบียบและมีสีสันมากขึ้น ต้องขอขอบคุณจริงๆ ครับ”
ว่าจบก็เหลือบมองคนตัวเล็กข้างเวทีเล็กน้อยก่อนจะโค้งขอบคุณ
ตอนนี้นัชฌานยิ้มแก้มปริไปแล้วด้วยรู้ว่าสิ่งที่ลีแทจินพูดมันไม่ได้หมายความแค่เรื่องงาน แต่มันหมายถึงเรื่องหัวใจด้วยแม้ว่าทั้งคู่จะยังไม่เคยเอ่ยความในใจให้กันและกันฟังมาก่อนก็ตาม
แต่เร็วๆ นี้แหละที่เขาจะได้ฟังเพราะลีแทจินได้เตรียมตัวเตรียมใจจะเอ่ยคำนั้นอยู่แล้ว เหลือเพียงแค่รอโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น
ความชื่นใจจากการเปิดตัวในรายการแรกอบอวลในใจผู้จัดการหนุ่มตลอดทั้งวันจนลุกลามไปถึงคิมแฮซูที่เพิ่งได้รับคำชมจากผู้กำกับรายการว่าวันนี้ลีแทจินทำตัวดีเป็นพิเศษแม้ว่าจะไม่เล่นตามบทในบางครั้งก็ตาม แต่นั่นก็หมายถึงการยอมรับในแง่ดีจากผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการบันเทิง ดังนั้นงานเลี้ยงฉลองเปิดตัวอัลบั้มกลางดึกวันนี้จึงกำเนิดขึ้นตามอารมณ์ที่ดีสุดๆ ของประธานใหญ่ บาร์หรูถูกใช้เป็นสถานที่ในการผ่อนคลายและสังสรรค์ของทีมงานผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในอัลบั้มนี้ เครื่องดื่มราคาแพงมากมายถูกสั่งมาดื่มขวดแล้วขวดเล่าโดยไม่มีใครเกรงใจว่าการสั่งมาดื่มไม่บันยะบันยังแบบนี้จะทำให้คิมแฮซูล้มละลายเพราะต้องจ่ายบิลค่าเครื่องดื่มมหาศาลเลยแม้แต่น้อย
“เอ้า ดื่มๆ”
เสียงของคิมแฮซูดังเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ นัชฌานคว้าแก้วเบียร์ขึ้นมาร่วมชนพลางจิบน้ำสีอำพันเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตาไปสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีท่าทางแปลกๆ เขาดูเหนื่อยๆ ล้าๆ ไม่สดชื่นอย่างที่ควรจะเป็นทั้งๆ ที่นี่เป็นงานเลี้ยงซึ่งจัดมาเพื่อฉลองความสำเร็จขั้นแรกของเขาแท้ๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าแทจิน แกดูแปลกๆ นะวันนี้ ปกติเห็นเหล้าแล้วต้องโดดเข้าใส่ไม่ใช่เหรอ”
ไม่ใช่แค่นัชฌานเท่านั้นที่สังเกตเห็น แม้แต่คิมแฮซูก็ยังรับรู้ได้เลยว่าวันนี้ลีแทจินดูแปลกไป
“นั่นสิ เห็นนั่งเงียบอยู่ตั้งนานแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า” นัชฌานได้โอกาสถามขึ้นมาบ้าง
ลีแทจินวางแก้วบรั่นดีลงพลางเอนกายพิงพนักโซฟาอย่างอ่อนล้า
“รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ถ้ารู้สึกไม่ดีก็กลับไปพักไป เกิดเป็นอะไรขึ้นมา เดี๋ยวได้พังกันทั้งบางอีก” คิมแฮซูว่าติดตลกแต่ในใจไม่ได้ตลกด้วยเลยเมื่อสังเกตเห็นซีกแก้มขาวนวลของนักร้องหนุ่มแดงเรื่ออย่างประหลาด
“ก็บอกไม่เป็นไรไง แค่เหนื่อย ประธานบ้านี่ก็เซ้าซี้จริง”
ลีแทจินแสร้งหงุดหงิด เก็บซ่อนอาการเอาไว้แต่ก็ไม่พ้นสายตาของคนตัวเล็กไปได้ ถ้าแค่เหนื่อยเฉยๆ เขาคงไม่ทำท่าเหมือนจะตายให้ได้อย่างนี้หรอก นี่มันต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ
สิ้นเสียงนักร้องหนุ่มเท่านั้น นัชฌานก็วางแก้วเบียร์แล้วผุดลุกไปยังร่างใหญ่ยังโซฟาฝั่งตรงข้ามทันที
ลีแทจินมองสีหน้าจริงจังของคนตัวเล็กอย่างไม่ไว้ใจ “จะทำอะไร”
“เอาหัวมา”
ยังไม่ทันจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ มือเล็กก็คว้าท้ายทอยคนตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะใช้หน้าผากตัวเองแนบกับหน้าผากลีแทจินเพื่อวัดไข้ ลมหายใจอุ่นๆ จากนัชฌานทำเอาใบหน้าที่แดงอยู่แล้วของนักร้องหนุ่มแดงแจ๋ขึ้นไปอีก ก่อนเขาจะรีบผละออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสายตาจากคนรอบข้างมองแปลกๆ พลันโวยวายกลบเกลื่อน
“ทำบ้าอะไรของนาย!”
“นายเป็นไข้นะไลเกอร์ ตัวร้อนจี๋ขนาดนี้ทำไมไม่บอกฉันว่าไม่สบาย”
คราวนี้เป็นฝ่ายนัชฌานที่หงุดหงิดเพราะตั้งแต่เขาถ่ายทำรายการเสร็จ เขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเลย นอกจากท่าทางเริงร่าประหนึ่งว่าปกติดีทุกอย่างจนมาออกอาการเอาก็ตอนกลางดึกแล้ว
ไม่มีใครในทีมงานคนไหนประหลาดใจเท่าไหร่นักว่าเหตุใดลีแทจินถึงป่วยได้ ก็ในเมื่อตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาหักโหมซ้อมร้องซ้อมเต้นตลอดทั้งวันทั้งคืนสำหรับการเปิดตัวอัลบั้มใหม่เสียขนาดนั้น ไม่ป่วยก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
ลีแทจินเห็นใบหน้าหงุดหงิดของคนตัวเล็กก็รู้ว่านัชฌานเป็นห่วง หากแต่ยังคงทำปากแข็งทั้งๆ ที่แทบจะไหลลงไปนอนแผ่หราได้อยู่แล้ว
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า แค่เป็นไข้ ตกใจซะอย่างกับเป็นเอดส์”
คำพูดของเขาเรียกเสียงหัวเราะในวงเหล้าได้ แต่นัชฌานไม่ขำด้วย ประเคนฝ่ามือใส่ศีรษะคนตรงหน้าไปเต็มรัก
“ขอให้เป็นจริงๆ เลยดีมั้ย กวนประสาทจริง”
และก่อนที่สงครามน้ำลายย่อมๆ จะบังเกิดขึ้น คิมแฮซูก็ห้ามทัพเสียก่อนโดยการแทรกขึ้นมา
“เอาน่าๆ ถ้าป่วยแบบนี้ แกกลับไปพักไป ต้นเดือนหน้าก็จะมีคอนเสิร์ตอยู่แล้ว ถ้าป่วยเรื้อรังไม่หายเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ ให้คุณผู้จัดการไปส่งไป”
ไม่มีใครคัดค้านนอกจากจะเห็นด้วย นัชฌานคว้าแขนล่ำทันทีโดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
“ป่ะ กลับกัน”
“อะไรของนายเนี่ย” ลีแทจินไม่ยอมง่ายๆ สะบัดแขนออกแล้วทำหน้ามุ่ย
“ก็กลับแมนชั่นไง ฉันไปส่ง ลุกเร็วเข้า”
ที่นัชฌานพูดแบบนี้ก็เพราะว่าเขาจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อคุยงานกับคิมแฮซู ลีแทจินเองก็เป็นห่วงคนตัวเล็กไม่แพ้กัน ไม่อยากให้ขับรถเทียวไปเทียวมากลางดึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปไม่ต่ำกว่าห้าแก้วแล้วอย่างนี้
“ฉันกลับเองได้น่า นายอยู่ที่นี่ไปเถอะ”
“แต่...”
“แค่ไม่สบาย ไม่ได้เป็นง่อยซะหน่อย”
สุดท้ายลีแทจินก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้นัชฌานที่ตั้งใจจะขับรถไปส่งในตอนแรกหน้าจ๋อยไปถนัดตา
“ให้หมอนั่นไปเถอะน่าคุณผู้จัดการ มันไม่ได้ดื่มอะไร รับรองว่าต่อให้เจอด่านตำรวจก็ไม่โดนจับหรอก แมนชั่นก็อยู่แค่นี้เอง ไม่เป็นอะไรหรอก”
คิมแฮซูช่วยพูดเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กยังรั้งไม่เลิกจนบรรยากาศสนุกสนานในตอนแรกเริ่มกร่อยลง นัชฌานยอมปล่อยมือออกจากท่อนแขนล่ำอย่างจำใจด้วยเกรงใจคนอาวุโสกว่า
“ก็ได้ แต่ถึงแมนชั่นเมื่อไหร่ต้องรีบโทรมาบอกเลยนะ”
“เออน่า ไม่ต้องห่วงหรอก โทรแน่”
ถึงลีแทจินจะรับปากอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้นัชฌานหายเป็นห่วงไม่ได้เลย ถึงจะไม่ได้ขับรถไปส่ง แต่อย่างน้อยๆ ก็ไปส่งขึ้นรถก็น่าจะพอทำให้สบายใจขึ้นมาได้บ้าง
“ฉันจะไปส่งที่รถนะ”
ลีแทจินพยักหน้าแล้วบอกลาทุกคนก่อนจะเดินนำออกไปโดยมีผู้จัดการเดินตามต้อยๆ