หลี่เยี่ยนถิงยังมิได้พาตัวเองกลับเข้าไปในรั้วของราชวัง
นางเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ อย่างคุ้นเคย หากจะมีใครรู้เส้นทางเลียบตลาดที่ด้านนอกตรอกแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี นางก็ถือว่าเป็นตัววางอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงเช่นกัน เพราะแอบออกมาตามเส้นทางลัดบ่อยครั้ง
นางออกมาครั้งแรกกับพี่ห้า ก่อนจะออกมาเองเพียงลำพัง เมื่อมีครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม สี่และครั้งต่อๆ ไปก็ตามมาเป็นพรวน
นางชอบออกมาเดินดูของตามตลาดเสมอ
ของสวยงามล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาขององค์หญิงหลี่เยี่ยนถิง นางชอบดูขนมและอาหารของในตลาดว่าตอนนี้มีแบบใดที่คนนิยมกินกัน หากพอจะมีของมีค่ามีราคาให้ต้องชำระ นางจะนำไปแลกกับขนมหรือไม่ก็อาหารเหล่านั้นเสมอ นางจะละเลียดรสชาติทีละคำแล้วนำไปทำกินเองที่ในตำหนักร้างของนางภายหลัง
นี่อาจเป็นเรื่องดีที่สุดในชีวิตขององค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงในองค์ฮ่องเต้หลี่ไห่ถังเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้นางรู้สึกดีที่สุด
หลี่เยี่ยนถิงอาศัยผ้าผืนหนึ่งที่ตากทิ้งตรงทางเดินนำมาห่มคลุมศีรษะเมื่อเห็นขบวนรถที่บ่งบอกว่าเป็นคนสำคัญของราชวัง อันที่จริงนางไม่ต้องห่มคลุมก็ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่านางเป็นใคร ถามชาวบ้านดูคงได้คำตอบว่าองค์หญิงสามเป็นใครมีตัวตนด้วยอย่างนั้นหรือ ต่างคงพากันพูดด้วยความงุนงงว่าองค์หญิงที่ว่านั่นคือใครกัน องค์หญิงพระองค์แรกไปเป็นองค์ฮองเฮาที่แคว้นต้าหนาน ส่วนองค์หญิงสองและสี่เป็นฮูหยินของท่านอ๋อง องค์หญิงห้าและเหล่าองค์หญิงถัดจากนั้นล้วนงดงามเป็นที่เลื่องชื่อลือนามไปทั่วทั้งแคว้นว่าพวกนางสวยอีกทั้งฉลาดหลักแหลม
องค์หญิงสามคือองค์ไหน หากนางยังมิได้สมรส มิใช่ว่านางสวรรคตไปแล้วหรือ
พวกเขาไม่รู้จักหน้าค่าตาไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ด้วยว่านางมีตัวตนอยู่ในวัง แต่ขบวนหนึ่งที่ประดับเกี้ยวหรูหราตามแบบของคนชั้นสูงกำลังผ่านมาทางหน้านาง คนบนเกี้ยวหากเห็นนางอาจนำไปกล่าวทูลองค์ฮ่องเต้ เสด็จพ่อของนางก็เป็นได้
องค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงเดินหน้าจนมองเห็นป้ายเขียนอักษรแดงขึ้นคำว่า ‘ดอกไม้งาม หยาดน้ำหยด’
นางเดินตรงไปยังหอที่ติดป้ายคำนั้น
นางเคยถามถึงที่ว่าของชื่อหอคณิกาแห่งนี้กับพี่อวี้หลันแล้ว แต่กลับได้เพียงสายตากรุ้มกริ่มและเสียงหัวเราะหยอกเย้าของพี่อวี้หลัน
“มันคือความลึกซึ้งของชายหญิง อีกหน่อยเจ้าก็จะรู้เอง”
อวี้หลันบอกนางเพียงเท่านี้ นานวันเข้านางก็เลิกสนใจหาความหมายของชื่อนั่นอีก
สายตาหวานซึ้งของหลี่เยี่ยนถิงลอบมองซ้ายทีขวาที นางใช้ผ้าคลุมหน้าแล้วเดินต่อ ชายสองคนร่างกายกำยำที่ยืนเฝ้าประตูเอ่ยถามเสียงดังว่ามีธุระอันใด เพียงอ้าปากเอ่ยออกไปคำเดียวเท่านั้น ประตูก็อ้าเปิดออกตอบรับนางทันที
หลี่เยี่ยนถิงมองไปยังด้านหลังพบว่าไม่มีใครมองนางก็ค่อยเดินเข้าไปยังในนั้น เดินไปยังหอในสุดอย่างคุ้นเคยถึงหน้าห้องที่กลิ่นไอหอมลอยกรุ่นออกมาค่อยเลื่อนประตูเปิดออกช้า ๆ
“น้องสาม นั่นเจ้ามาหรอกหรือ”
เสียงถามเกียจคร้านดังมาจากหญิงงามในชุดสีแดงสดที่หัวไหล่เปิดเปลือยออกข้างหนึ่ง
“พี่อวี้หลัน ท่านยังไม่ได้นอนหรือเพิ่งตื่นกันแน่”
“หากมิใช่องค์หญิงสามเอ่ยถามคำนี้ พี่จะให้ฉางหนานฉางเกอมาลากเจ้าไปเสียเดี๋ยวนี้เลย”
“เหตุใดต้องใจร้ายกับน้องสามนักล่ะ”
“ทีอย่างนี้เห็นเป็นพี่เป็นน้องกันขึ้นมาเชียว”
นางมองหญิงสาวผู้งดงามสวยหยดตั้งแต่เส้นผมทุกเส้นไปยังผิวพรรณขาวนุ่มนวลเนียนและหอมกรุ่นก็อ้าปากจะกล่าวถามเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ
“พี่อวี้หลัน”
นางอ้าปากเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกมาคำหนึ่งแล้วก็นึกกระดาก มิกล้าพูดเรื่องติดค้างต่อจากนั้น
“ว่าอย่างไร เหตุใดมาทำท่าจะพูดก็ไม่พูดแบบนี้ ยิ่งทำให้ยิ่งอยากรู้เข้าไปอีก”
นางอยากถามพี่อวี้หลันเหลือเกินว่าหญิงชายหากมีอะไรต่อกันแล้วจะมีสิ่งใดยืนยันได้บ้าง ใช่อาการอย่างที่นางเป็นหรือไม่ มันยืนยันได้หรือไม่ มิเพียงคิด หลี่เยี่ยนถิงนึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่ตั้งใจมาบอกพี่อวี้หลันก็รีบพูดออกไปก่อนที่จะถูกเรื่องอื่น ๆ ในหัวของนางกลืนหายไป
“นี่ก็ใกล้ถึงวันเกิดของท่านลุงแล้ว”
อวี้หลันได้ยินนางเอ่ยถึงบิดาก็ทำทีหันไปยังทางอื่น แล้วก็ไม่ได้กล่าวคำใดออกมาอีก ผิดนิสัยคนชอบเจรจานัก หลี่เยียนถิงเห็นว่ามีโอกาสนางจึงรีบพูดไปว่า “ปีนี้เราสองคนหาของขวัญแบบใดให้ท่านลุงดี” นางเกริ่นแล้วอ้าปากจะพูดต่อเรื่องของขวัญที่ตั้งใจจะทำให้ท่านลุงที่เป็นบิดาของพี่อวี้หลัน ท่านเป็นอดีตแม่ทัพที่ถูกเนรเทศออกนอกเมือง อีกทั้งสองพ่อลูกมีเรื่องผิดใจกันมานาน จนเป็นจุดเปลี่ยนให้พี่อวี้หลันต้องมาอยู่ที่นี่ นางอยากเป็นตัวเชื่อมให้พ่อลูกได้คืนดีกัน แม้เพียรทำมาหลายปีแล้วแต่ไม่สำเร็จก็ตาม
นางตั้งใจว่าจะชวนพี่อวี้หลันออกไปนอกเมืองด้วยกัน นอกจากจะไปไหว้พระที่วัดแถบนั้นแล้ว นางตั้งใจจะไปหาท่านลุงอีกด้วยก็พอดีมีเสียงคนเรียกที่ด้านนอกประตูห้องเข้าเสียก่อน
“พี่อวี้หลัน มีคนจากทางการมาขอพบเจ้าค่ะ”
อวี้หลันขยับตัวอย่างเกียจคร้าน กิริยาของนางดูดีไปทุกท่วงท่า ดูไม่เกลียดเลยแม้แต่นิด กลับน่าดู น่าพิศน่ามองไปเสียหมดทุกท่วงท่า
“ไม่ใช่ว่ามาตามเจ้าหรอกหรือ” อวี้หลันเอ่ยถามหยอกเย้า หลี่เยี่ยนถิงยิ้มแล้วขยับศีรษะไปมาว่าไม่มีทางแน่นอนที่จะเป็นอย่างนั้น นางหลบออกไปไหนต่อไหนนอกวังหลายครั้ง แม้มีคนรู้แต่ไร้ซึ่งคนติดตาม ในคราแรก ๆ มีคนนำความกล่าวทูลองค์ฮ่องเต้และฮองเฮา แต่ก็ไร้ซึ่งคำกล่าวตักเตือน สร้างความว้าเหว่เดียวดายยิ่งนัก
ไร้คำกล่าวเตือนก็ไร้ซึ่งความรักความใส่ใจ
อวี้หลันโบกมือไปมาส่งเสียงร้องแปลก ๆ ออกมาจนนางเลิกคิดเรื่องเศร้าเล่านั้นและยิ้มได้ ค่อยขยับมาแตะไหล่ของนางพลางกล่าวรั้งให้อยู่รอก่อน
“เดี๋ยวพี่มา เจ้าก็อยู่ตรงนี้ อย่าได้ออกไปรับแขกคนไหนแทนพี่เชียว”
หลี่เยี่ยนถิงส่งเสียงในลำคอเลียนเสียงอวี้หลัน จนคนฟังหัวเราะแล้วขยับตัวลุกแล้วจากไป องค์หญิงสามมองตามร่างงามที่หอมไปทั้งตัว เคลื่อนย้ายกายเย้ายวนเดินแยกตัวไปยังโถงด้านบน ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการพบกับพี่อวี้หลัน
มองไปรอบ ๆ ห้องของพี่อวี้หลันแล้วก็พบว่าตำราเล่มใหม่วางเปิดทิ้งเอาไว้ จึงขยับไปยื่นหน้าดูก่อนจะร้อนฉ่าไปทั้งใบหน้าเมื่อเห็นแล้วว่าเป็นตำราของหญิงคณิกานั่นเอง
เสียงหยอกล้อพูดคุยมาตามทางเดิน
“เมื่อคืนนี้คุณชายสกุลหยางกักขฬะเหลือเกิน ราวกับไปตายอดตายอยากมาจากที่ใด ข้าล่ะเกลียดที่สุด ผู้ชายเยี่ยงนี้”
“ท่านรองแม่ทัพซุ่นก็มิยิ่งหย่อนไปกว่าเท่าใดนักนะ”
อีกเสียงลากเสียงถามอย่างหมั่นไส้ “พวกเราได้ยินเจ้าร้องครวญครางทั้งคืน”