ปิ่นหยกที่สลักลายแบบง่าย ๆ ชิ้นนั้นบนเส้นผมดำเงาของร่างเล็กเสื้อผ้าเก่าเหม็นอับคือสมบัติล้ำค่าชิ้นเดียวที่นางมี กระนั้นกลับดูไร้ค่าในสายตาองค์หญิงองค์อื่น ๆ รวมถึงองค์หญิงสี่และองค์หญิงเจ็ดอีกด้วย
“ไหนใครพูดว่าพี่สามมิได้เป็นที่รักของเสด็จพ่ออย่างไรล่ะ เหตุใดนางจึงมีปิ่นสวยเช่นนั้นเป็นของขวัญด้วย”
“เจ้าต้องอิจฉาไปไย ข้ามองจากตรงนี้ก็รู้ว่าปิ่นนั่นไร้ราคา”
คนพูดกล่าวจบก็ดึงเอาแขนน้องสาวให้ก้าวไว ๆ เดินตามหลังไปแล้วช่วยกันดันร่างเล็กที่มีปิ่นหยกชิ้นนั้นบนศีรษะจนนางตกลงในบ่อน้ำด้านข้าง
พริบตาเดียวก็มีคนตะโกนขึ้นว่า “ช่วยด้วยมีคนตกน้ำ”
“ใครตกน้ำอย่างนั้นหรือ”
“เห็นว่าเป็นองค์หญิงสามนะ”
“อย่างนั้นก็ปล่อยนางให้จมไปเถอะ ถึงช่วยนางขึ้นมาก็หาได้มีความดีความชอบอะไร”
เด็กหนุ่มที่กำลังฝึกยิงธนูมองคนพูด ก่อนจะวางคันธนูลง ก้าวเท้าตรงไปยังสระที่มีเหล่านางสนมและขันทียืนมุงกันอยู่ พุ่งตัวกระโจนลงไปในบ่อน้ำแล้วนำเอาร่างเล็ก ๆ ที่เปียกปอนหมดสภาพอีกทั้งยังกินน้ำไปเกือบครึ่งสระ นำขึ้นมาที่ขอบฝั่งด้านบน
“เจ้าอย่าได้แตะต้องตัวนางเชียวนะ”
“เหตุใดจึงแตะไม่ได้ มีคนจมน้ำให้ยืนเฉย ๆ อย่างนั้นหรือ” เสียงห้าวแตกพานเนื่องจากเพิ่งเข้าวัยหนุ่มตอบกลับ ทำเอาเพื่อนร่วมฝึกนึกฉงน เนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่พวกช่างพูด อีกทั้งยังเป็นพวกที่ไม่ยอมแหย่เท้าเข้าสอดหาเรื่อง เพื่อช่วยเหลือใครมาก่อน หรือเห็นเป็นหญิงแรกรุ่นในรั้ววัง จึงได้ทำตัวเป็นยอดชาย แต่อย่างน้อยควรต้องรู้และต้องเลือกช่วยคนบ้าง
“นี่เจ้าไม่รู้หรือ”
“หากพวกเจ้าไม่คิดช่วยคน ก็จงอย่าได้ปากมาก”
เสียงห้าวกล่าวจบ กระโจนตัวลงในสระน้ำทันทีแล้วว่ายจ้ำดำลงไปพาร่างเล็ก ๆ หาอยู่ไม่นานก็พบ จึงลากขึ้นมาบนฝั่งจากนั้น
เด็กหนุ่มที่เนื้อตัวเปียกปอนหาได้สนใจตอบคำถามนั้นไม่ จัดแจงช่วยเหลือร่างเล็กที่ซีดไปทั้งตัวให้นอนลง ใช้มือของตนบีบปากปิดจมูกแล้วก้มลงเพื่อจะช่วยให้ร่างเล็กที่จมน้ำไปเป็นนานฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
คนที่ยืนมุงเห็นอย่างนั้นบางคนก็เบือนหน้าหนี บางคนกระซิบคุยด้วยถ้อยคำวาจาสนุกปาก
“คราวนี้นางเรียกร้องด้วยการกระโดดสระน้ำหรือ”
“เหตุใดจึงต้องเรียกร้องความสนใจจากฝ่าบาทด้วยการกระโดดลงสระน้ำด้วยเล่า ไม่คิดสั้นไปหน่อยหรืออย่างไร”
“ใครก็รู้กันทั้งนั้นว่านางเป็นธิดาในองค์ฮ่องเต้ที่ไม่ได้รับความรัก ความใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว”
“นางฟื้นหรือไม่”
“ข้าว่านางไม่ฟื้น”
“น่าจะคงตายไปแล้วล่ะข้าว่า”
เด็กหนุ่มนี่เป็นใครกันจึงได้กล้าโผงผางพูดเช่นนี้
“ซงหยวน ไยเจ้ามาอยู่ตรงนี้ แล้วทำไมตัวเปียกปอน”
“ไป เร็วเข้าซงหยวน นายกองเรียกแล้ว หากช้าอยู่ พวกเราได้โดนวิ่งลากซุงและปีนผาตรงหุบเขาหลิวหลิงอีกเป็นแน่ ไป เร็วเข้า”
เด็กหนุ่มมองร่างเล็กที่ตนเพิ่งช่วยขึ้นจากสระน้ำด้วยสายตาเรียบนิ่ง แม้เขาจะเป็นคนเฉยชา แต่ไม่เคยเห็นความเป็นความตายของคนอื่นเป็นเรื่องที่ทำเพิกเฉยได้
ยิ่งเป็นแม่นางน้อยผู้นี้แล้วด้วย เขาทำเช่นนั้นมิได้
จางซงหยวนยังคงไม่ไปไหน เขารอจนเห็นว่านางสำลักน้ำออกมาอีกและกำลังฟื้นสติขึ้น จึงได้คลายใจลง ยอมหันหลังแล้วเดินออกจากตรงนั้นไป
“จะไปแล้วหรือ เดี๋ยวสิ รอข้าด้วย”
ร่างเล็กที่ถูกผลักตกน้ำด้วยมือที่มองไม่เห็นค่อย ๆ สำลักเอาน้ำออกมาจากปอด ก่อนจะดันตัวลุกนั่งอีกครั้ง
“ไม่ตายหรอกหรือ”
“น่าจะตายตามแม่ของนางไปนะ อยู่ก็เปลืองข้าวเปลืองน้ำของฝ่าบาท”
เสียงใสเย่อหยิ่งจากการเลี้ยงดู เบ้ปากเมื่อเห็นว่าคนที่ตกน้ำรอดชีวิตขึ้นมาแล้ว ก็เตรียมหันหลังจากไป พร้อมกล่าวกับน้องสาวที่ยืนขนาบข้าง
“ไปกันเถิด”
ผู้เป็นน้องรั้งแขนแล้วพยักหน้าให้รอ “เดี๋ยว รอดูอะไรสนุกก่อนเถิดท่านพี่”
เมื่อเห็นว่าหลี่เยี่ยนถิงลุกขึ้นมาแล้วก็เอ่ยกับนางกำนัลที่ยืนมุงยืนมองตรงนั้นด้วย
“เจ้าจงนำเรื่องนี้ไปเล่าต่อในทั่ว”
นางในตรงนั้นค้อมตัวรับคำสั่งทันที “เรื่องใดหรือเพคะ”
“เรื่องนี้อย่างไรเล่า เรื่องที่องค์หญิงสามลักลอบเล่นสนุกสนานตาม บ้ากาม เล่นรักตามประสาชายหญิงกับพวกทหารชั้นต่ำ”
หลี่เยี่ยนถิงยืนกอดตัวเองด้วยความหนาวสั่นนางอ้าปากเล็ก ๆ อย่างยากลำบากกล่าวแทนตนเองออกไปเป็นประโยคแรก
“เหตุใดจึงได้กล่าวเช่นนั้น ข้าไม่ได้…”
“ดูที่ขาเจ้าเถอะ น้ำเลือดไหลอาบขาขนาดนั้น สนุกมากหรือไม่เล่าเมื่อครู่นี้”
เหล่านางกำนัลที่เพิ่งเดินมาตรงนั้น ได้ยินคนพูดเรื่องสนุกเข้าหูตนเช่นนั้น ก็รีบเข้าร่วมวง มามุงแล้วกล่าวถามทันที
“ตายแล้ว เรื่องจริงอย่างนั้นหรือเพคะองค์หญิง”
“ดูเลือดที่ขาของนางเป็นอย่างไร” องค์หญิงเจ็ดได้ทีรีบพูดบ้าง
“ทุกคนจงฟังข้า เมื่อครู่ข้ามาทันได้เห็นองค์หญิงสามลักลอบเล่นสนุกกับทหารชั้นต่ำพอดี จนเลือดอาบไปทั้งขา นางช่างน่ารังเกียจนัก หญิงบ้าตัณหา”
หลี่เยี่ยนถิงส่ายหน้า ร่างเล็กที่ซีดไปทั้งตัวหอบเอาร่างอมน้ำลุกจากพื้นเดินโซซัดโซเซกลับไปยังวังร้างที่ท้ายสุดของทิศตะวันตก หญิงใบ้ บ่าวเพียงคนเดียวที่ถูกลงโทษให้มาอยู่ในตำหนักแห่งนี้แสดงสีหน้าระอาใจเมื่อเห็นสภาพของเด็กสาว
ก่อนจะลากสายตาลงมายังปลายเท้าของนาง
สายตาเศร้ากวาดมองตามก่อนที่หัวใจจะแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นว่ามีเลือดไหลออกมาเป็นทางปนน้ำที่ไหลหยดจากชุดของนางเป็นทางยาว
หลี่เยี่ยนถิงลืมตาตื่นพร้อมกับอาการปวดเมื่อยไปทั้งร่าง นางเจ็บเนื้อตัวไปหมด นางขยับจะลุกก็เจ็บแปลบตรงร่างกายท่อนล่างของนางเอง
เกิดเหตุอันใดขึ้น หลี่เยี่ยนถิงคิดทบทวนช้า ๆ เหตุใดเมื่อสติของนางกลับคืนมาแล้วนั้นจึงได้มีอาการปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวเช่นนี้ อีกทั้งเนื้อตัวยังเปลือย ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว เห็นสภาพของตนแล้วก็นึกอดสู
เท่าที่จำได้เมื่อคืนนี้นางพบกับจางซงหยวนที่ทางลัดออกนอกวัง แล้วเขาก็ดึงเอาสาส์นของนางไปแล้วยัง...ยังพานางออกจากนอกวัง ตอนนั้นสติของนางดับวูบไป
“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะคุณหนู”
เสียงถามอ่อนโยนเอาใจดังมาจากประตูห้องที่นางนอนพัก หลี่เยี่ยนถิงขยับตัวนั่งใหม่ดึงเอาผ้าปิดตัวจนมิดชิดยิ่งกว่าเดิมด้วยท่าทางตกใจ ตั้งแต่เกิดจนโตไม่เคยมีใครมาคอยถาม ไม่มีใครมาคอยรอให้นางตื่นหรือหลับมาก่อน ไม่เคยมีเสียงพูดคุยด้วยอย่างใส่ใจ อย่างจงรักภักดีเช่นนี้