โจวจื่อเหลียงขยับร่างแข็งแรงยืนบนพื้นน้ำแข็งอย่างมั่นคง กระชับอ้อมแขนของตนเองเล็กน้อยก่อนที่จะอุ้มหลิวฉูฉู่กระโดดสูงจากสระน้ำแข็งไปยืนบนพื้นด้านบนอย่างปลอดภัย
ในเวลาที่เขาพาเธอลอยขึ้นจากพื้น หลิวฉูฉู่รู้สึกราวกับว่ากำลังโหนอยู่บนสลิงความรู้สึกหวีดหวิวและรู้สึกว่าตัวเองกำลังบินได้เหมือนนก แน่นอนว่าไร้สลิงและอุปกรณ์ช่วยเหลือใด ๆ อย่างสิ้นเชิง แต่คือพละกำลังภายในของโจวจื่อเหลียงผู้นี้ หลิวฉูฉู่ตื่นเต้นจนแก้มกระดิก
โอ้ โห โลกนี้มันแฟนตาซีของแท้เลยแฮะ น่าสนใจจริง ๆ
วีรบุรุษช่วยสาวงาม เป็นคำที่เธอจำเอาไว้ในหัวมาโดยตลอด ตอนนี้ได้สัมผัสกับคำนี้อย่างชัดเจนก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังสวมบทบาทนางเอกอีกครั้งแต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้วีรบุรุษไม่จริงคนนี้กลับปล่อยร่างของเธอลงสู่พื้นเย็นเยียบโดยไม่สนใจว่าเธอกำลังสลบอยู่
เพราะพื้นเย็นจนจัด หลิวฉูฉู่ลืมตัวดีดตัวขึ้นมาจากพื้นกะทันหันโจวจื่อเหลียงมองเธอด้วยสายตาที่แสนเย็นชารู้ทันพร้อมกับเอ่ยว่า
"ฮองเฮาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่"
"หม่อมฉัน...."
หลิวฉูฉู่ไม่คิดแก้ตัวอีกแล้ว เธอจะอธิบายให้ใครฟังได้ล่ะว่าเธอต้องการกลับโลกของตัวเองจนถึงต้องลงมือกระโดดลงไปในสระน้ำ แต่ 'เสือก' ลืมไปว่านี่มันหน้าหนาวหลายวันนี้หิมะตกลงมาจนทำให้สระน้ำกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว
ยิ่งแก้ตัวก็ยิ่งดูโง่น่ะสิ ใครจะทำ
โจวจื่อเหลียงที่เพิ่งกลับจากการประชุมขุนนาง เห็นขบวนของหลิวฉูฉู่เดินไปที่ท้ายอุทยานหลวง รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง คนของเขาที่ให้เฝ้าอยู่ตำหนักนั้นรีบมารายงานหลิวฉูฉู่ต้องการมาเดินเล่นออกกำลังกาย
ปกติหลิวฉูฉู่ไปที่ใดนางล้วนจัดคนไปจนเต็มขบวน ยังฝ่าลมหนาวมากับนางกำนัลและองครักษ์ไม่กี่คนจึงสร้างความแปลกใจแก่โจวจื่อเหลียงไม่น้อย จากที่ไม่คิดสนใจครานี้จึงเดิมตามนางมาเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกประหลาดในใจ
เขาเห็นร่างบางของฮองเฮาผู้นี้ต่อสู้กับสายลมแรงแทบจะปลิวไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่นางยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างเร่งร้อน คิ้วเข้มยิ่งขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
กระทั่งในยามที่เดินมาจนถึงสะพานแห่งนี้ เขาเห็นท่าทางของนางเริงร่าเหมือนดีใจที่ได้พบอะไรสักอย่าง สุดท้ายแล้วตั้งท่าจะกระโดดลงแม่น้ำ ในยามนั้นไม่รู้ด้วยเหตุใดโจวจื่อเหลียงจึงทุ่มพลังเต็มที่กระโดดเข้ารับร่างของนางเอาไว้
โจวจื่อเหลียงยังไม่รู้ว่าทำไมหลิวฉูฉู่ต้องทำเช่นนี้ แต่ที่แน่ใจคือหลิวฉูฉู่ผู้นี้ไม่มีทางฆ่าตัวตายเด็ดขาด
โจวจื่อเหลียงยังคงจ้องนางเช่นนั้น คาดคั้นเอาคำตอบให้ได้
หลิวฉูฉู่ไม่อาจตอบได้ คิดสารพัดว่าจะแก้ตัวอย่างไร
จู่ ๆ ก็เกิดลมพัดแรงมาจากด้านหลังพัดกระทั่งร่างเล็กปลิวเข้ามาปะทะอกของเขา โจวจื่อเหลียงทำท่าจะถอยห่างแต่หลิวฉูฉู่กลับยึดเสื้อเขาเอาไว้แน่น ยามนี้ถอดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่นั่นทิ้งไปเธอไม่ได้ถูกเขากอดแล้วจึงรู้สึกหนาวจนสั่นไปหมดแล้ว
"ฝ่าบาทเพคะ เรื่องวันนี้หม่อมฉันเลอะเลือนแล้ว เพียงคิดอยากว่ายน้ำเล่นไม่คิดว่าน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง พระองค์อย่าได้ถือสา วันนี้ขอบพระทัยฝ่าบาทมากเพคะที่ช่วยเหลือหม่อมฉัน"
โจวจื่อเหลียงถึงกับดวงตาถลน เหตุผลนี้ยิ่งฟังยิ่งไม่ถูกต้อง เขาปัดมือของหลิวฉูฉู่ออกแต่เธอกลับดึงเสื้อของเขาแน่น โจวจื่อเหลียงเองก็ไม่อาจลงมือกับสตรีได้จึงยั้งใจไม่ให้แตะต้องร่างเล็กของนาง
เขาย่อมมองออกว่าหลิวฉูฉู่กำลังปิดบังบางอยู่เอาไว้ สายตาละห้อยของนางที่มองไปยังธารน้ำแข็งนั้นมีร่องรอยอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย ใบหน้าขาวของนางในยามนี้แดงก่ำคงเพราะลมหนาวที่พัดราวกับกำลังกรีดผิวเนื้อ ปากของนางสั่นเล็กน้อย เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางในยามนี้งดงามดึงดูดราวกับภูตผีปีศาจ
หลิวฉูฉู่เห็นนัยน์ตาสีเข้มลึกดำทะมึนของฝ่าบาทผู้สูงส่งแล้วยิ่งรู้สึกหนาวราวกับกำลังถูกล้อมร่างกายเอาไว้ด้วยหิมะเย็นเยียบ
"ฮองเฮา หากเจ้าต้องการตายล่ะก็ เรามีวิธีให้เจ้าตายมากมาย หากต้องการเพียงบอกเราคำเดียวรับรองว่าเราจะจัดให้ตามที่เจ้าขอ การที่เจ้าจะตายด้วยวิธีนี้รังแต่จะทำให้เสด็จแม่ของเราเสียใจและกลุ้มใจไม่รู้หรือ หากจะตายก็จงตายเงียบ ๆ อย่าทำให้ผู้ใดเดือดร้อนใจเพราะเจ้าเด็ดขาด"
คำพูดของเขาคล้ายมีสายฟ้าฟาดเข้าที่กลางร่าง ที่เขาพุ่งมาช่วยเธอเพราะไม่ต้องการให้ราชวงศ์เสื่อมเสีย ทำให้ไทเฮาทรงกลัดกลุ้มพระทัย เนื้อตัวของเธอพลันชาวาบ อ้าปากค้างเรี่ยวแรงหายไปจนหมดสิ้น
จริง ๆ แล้ว โจวจื่อเหลียงยังคิดที่จะฆ่าเธอไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นแน่
"ฝะ ฝ่าบาทความจริงคือ"
"ไม่ต้องอธิบายเราไม่ต้องการฟังแล้ว แต่หากฮองเฮาต้องการตายเราพูดจริง ๆ ว่ามีวิธีอีกมาก ปล่อยเรา"
หลิวฉูฉู่ปล่อยมือทันใด โจวจื่อเหลียงทิ้งคำพูดของตนเองเอาไว้ ก่อนจะบอกให้องครักษ์ของเขา
"พวกเจ้าเฝ้าฮองเฮาให้ดี อย่าให้นางทำเรื่องบ้า ๆ อีก ปิดเรื่องนี้เอาไว้อย่าให้ทราบถึงไทเฮาเข้าใจหรือไม่"
"พ่ะย่ะค่ะ"
โจวจื่อเหลียงไม่พูดกับนางอีกทั้งยังไม่แม้จะหันมามองหน้า หลังจากนั้นก็สะบัดผ้าเดินจากไป
อาเหมียนที่ร่ำไห้ทั้งน้ำตาเพราะตกใจจนแทบหัวใจหลุดจากอกรีบเข้ามาพยุงร่างของฮองเฮาทันใด อาเหมียนกระซิบเสียงเบา
"ฮองเฮาทรงคิดทำสิ่งใดเพคะ คราที่แล้วคิดใส่ร้ายพระสนม ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ คราวนี้ทรงคิดจะทำสิ่งใดอีกเพคะ"
หลิวฉูฉู่ถอนหายใจเฮือกออกมา ร่างเล็กสั่นด้วยความหนาว กงกงรีบหยิบเสื้อคลุมของเธอมาให้อาเหมียนคลุมร่างบางของหลิวฉูฉู่จนเรียบร้อย
"ข้าคงเลอะเลือนไปแล้ว แต่ช่างเถอะตอนนี้ไม่ไหวแล้วอาเหมียน ขาข้าแข็งไปหมดแล้ว เดินไม่ได้เจ้าให้ใครนำเกี้ยวมาทีแล้วพวกเรากลับตำหนักกันเถิด วันนี้อากาศไม่ดียิ่งนัก ให้ตายเถอะหนาวชะมัด ข้าไม่น่าออกมาเลย ฮีตเตอร์ที่นี่ไม่มีด้วย ผ้าห่มไฟฟ้าอีก ให้ตายเถอะอาเหมียนข้าจะหนาวตายอยู่แล้ว"
อาเหมียนถึงกับพูดไม่ออก ไม่ใช่เป็นฮองเฮาหรอกหรือที่บอกว่าอากาศดียิ่งในคราแรก เห็นทีว่าครานี้คงได้สติจริง ๆ แล้ว
อาเหมียนเองยังไม่หายตกใจทั้งยังไม่รู้สาเหตุว่าเหตุใดฮองเฮาถึงทำเช่นนั้นหรือว่าสติของฮองเฮายังไม่กลับมา อาเหมียนแม้จะกังวล ทว่าเมื่อใคร่ครวญให้ดี ตอนนี้ฮองเฮาของอาเหมียนไม่ใช่คนเดิมแล้ว อาจมีวิญญาณร้ายสิงสู่แต่กิริยาท่าทางที่เป็นกันเองทั้งยังไม่เป็นสตรีอารมณ์ร้ายเช่นเดิมอาเหมียนก็รู้สึกดียิ่ง
ความจริงแล้ว ฮองเฮาที่เป็นอยู่ในยามนี้ดีกว่าฮองเฮาคนเดิมยิ่งนัก
สุดท้ายแล้วหลิวฉูฉู่ก็ไม่สามารถเดินกลับได้ ขันทีจึงรีบไปนำเกี้ยวมาให้นางนั่ง ท่าทางคึกคักยิ่งนักในตอนที่มา ทว่าเมื่อยามต้องกลับตำหนักนี้หลิวฉูฉู่ยังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผักที่โดนน้ำร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหนาวทั้งไร้แรงที่จะเดิน
หลายวันต่อมาหลังจากที่พยายามข้ามประตูมิติแต่กลับถูกขวางกั้นด้วยธารน้ำแข็ง หลิวฉูฉู่ก็ได้แต่ต้องรอเวลาให้ผ่านไปจนกระทั่งถึงหน้าร้อน หวังให้น้ำแข็งละลายแล้วเธอจะดำผุดใต้สายน้ำไปเบื้องล่างตรวจดูให้แน่ชัด
หน้าร้อนยังอีกหลายเดือนนักช่วงเวลาระหว่างนี้สิ่งที่ทำได้คือต้องหันมาเปลี่ยนแผนเอาอกเอาใจพ่อลูกคู่นี้ให้รักใคร่เธอ ทั้งยังต้องหาทางกำจัดพิษในร่างกายของเด็กน้อยให้ได้ก่อนที่มันจะกำเริบและทำให้เธอตายก่อนเวลาอันควร
หลังจากวันนั้นที่โจวจื่อเหลียงบังเอิญมาช่วยเธอแล้วเขาก็หายหัวไปราวกับอยู่กันคนละโลก ส่วนองค์ชายน้อยมาเข้าเฝ้าเธอคราหนึ่งด้วยใบหน้าราบเรียบ หลิวฉูฉู่เอาอกเอาใจเขาจนผิดปกติทว่าองค์ชายน้อยเงียบขรึมและไม่ยอมพูดกับเธอแม้แต่ประโยคเดียว
หลังจากมาเยี่ยมเธอองค์ชายน้อยกลับล้มป่วยฝ่าบาทจึงเพ่งเล็งหลิวฉูฉู่อีกครั้ง หลิวฉูฉู่เองรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องนี้ไม่ใช่ผีมือของเธอเสียหน่อย เธอรู้ดีว่าเป็นเพราะร่างกายขององค์ชายน้อยอ่อนแอและยาที่เขารับไปคงค่อย ๆ ส่งผลแล้ว
ส่วนหลิวฉูฉู่เองเพราะอากาศหนาววันนั้นเธอเลยเป็นหวัด อาศัยเรื่องหวัดนี้แก้ต่างให้ตนเองจึงรอดพ้นจากสายตาพิฆาตของโจวจื่อเหลียงมาได้อย่างหวุดหวิด ระหว่างนี้หลิวฉูฉู่ก็ได้มีเวลาตรึกตรองเรื่องที่ผ่านมาอย่างละเอียด
เรื่องการวางยาเด็กน้อย หลิวฉูฉู่ได้พยายามถามอาเหมียนแบบเนียน ๆ หลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอาเหมียนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย เด็กสาวคนนี้ใสซื่อจนเกินไปคงเพราะเป็นคนซื่อสัตย์ไม่มีพิษภัยเจ้าของร่างเดิมจึงวางใจให้อาเหมียนอยู่ข้าง ๆ เป็นแน่ ในเมื่อไม่ใช่อาเหมียนย่อมแสดงว่าเจ้าของร่างเดิมต้องใช้ใครสักคนที่มีอำนาจพอสมควรในวังหลังเพื่อช่วยวางแผนลอบฆ่าวางยาองค์ชายน้อยเป็นแน่
ทว่าคนผู้นั้นคือผู้ใดกันเล่า แล้วจะหาตัวได้อย่างไร
หลิวฉูฉู่ย้อนคิดไปถึงวันที่ตัวเองตกน้ำในโลกเดิม วันนั้นก่อนตกน้ำเธอเกิดอาการหน้ามืดที่สำคัญตอนนั้นเธอยังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกระแทกจนตกจากสะพาน
ต้องมีคนคิดฆาตกรรมเธอแน่ ๆ ในวงการบันเทิงนั้นไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งเธอดังมากเท่าไหร่กวาดการเป็นพรีเซนเตอร์ของสินค้าในท้องตลาดแทบจะเรียกว่าทุกตัวแบบนี้คนที่อิจฉาย่อมมีไม่น้อย
ทั้งค่ายตรงข้ามและคนที่เป็นคู่แข่งขันภายนอกยิ้มแย้มให้กันแต่ลับหลังใครไม่รู้ว่าต่างคอยถือมีดเพื่อหาโอกาสจ้วงแทง หลิวฉูฉู่คิดว่าต้องมีใครลอบทำร้ายเธอแน่นอนเรื่องตกน้ำย่อมไม่ใช่อุบัติเหตุร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ตอนนี้จะหาคนร้ายยังไงล่ะในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่เสียแล้ว
หลิวฉูฉู่คิดย้อนไปเมื่อวันที่เธอตกน้ำ หรือว่าเธอจะตายไปแล้วจริง ๆ วิญญาณถึงได้ถูกดูดมาไกลขนาดนี้ แต่ถ้าเธอเป็นวิญญาณมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อเธอไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณในร่างของเธออาจจะกระเด็นออกมาก็ได้
เธอต้องพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าตกลงเธอเป็นภูตผีหรือวิญญาณร้ายอย่างที่ตัวเองคิดจริงหรือเปล่า
วันนี้หลังจากตื่นนอนยามเช้าหลิวฉูฉู่เองก็หายจากอาการหวัดแล้ว เธอจึงคิดไปพิสูจน์ตัวเอง เธอเคยรู้มาว่าที่วังหลวงแห่งนี้มีอารามหลวงอันประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปปั้นพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก ว่ากันว่าวิญญาณหรือผีย่อมกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์หากต้องการพิสูจน์ว่าเธอเป็นเพียงแค่วิญญาณจริงหรือไม่ คงต้องไปที่นั่นแล้ว
"อาเหมียน ข้าจะไปไหว้พระเสียหน่อย เจ้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า"
อาเหมียนที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ คอยปรนนิบัติถึงกับดวงตาเบิกกว้างแทบจะถลนออกจากเบ้า
"ฮองเฮาตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ"
หลิวฉูฉู่ทำน้ำเสียงอ่อนหวาน
"ข้าบอกว่าจะไปไหว้พระยังอารามหลวง"
อาเหมียนทำท่าคล้ายจะร้องไห้
"ฮองเฮายังรู้สึกไม่สบายตรงที่ใดบ้างเพคะ ปกติฮองเฮาไม่ชอบกลิ่นธูป ไม่ใช่หรือเพคะ จะเสด็จไปจริง ๆ หรือ"
หลิวฉูฉู่ถึงกับหน้าตึง เมื่อเห็นท่าทางเป็นกังวลของอาเหมียน
"ตอนนี้ข้าชอบแล้ว เจ้าก็แค่เตรียมตัวให้ข้าก็เท่านั้น"
"ฮองเฮาของอาเหมียนเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เพคะ"
หลิวฉูฉู่พยักหน้า
"สิ่งใดที่ผ่านมาก็ช่างเถิด ตอนนี้ข้าจะเป็นคนดี"
อาเหมียนรู้ดีว่าที่ผ่านมาสิ่งที่หลิวฉูฉู่โปรดปรานคือการดูงิ้วและทำเรื่องไร้สาระไปวัน ๆ ฮองเฮาคนเดิมรังเกียจกลิ่นธูปเป็นที่สุดแค่เพียงได้กลิ่นยังสั่งคนที่จุดธูปไม่รู้จักเวลาไปโบยจนหลังแทบขาด ทว่าเหตุใดยามนี้จึงคิดที่จะไหว้พระกันเล่า
"เร็วเข้าอาเหมียน"
เร็วฉูฉู่ยืนกางแขน นางยอมรับว่าอาเหมียนทำอะไรไม่ทันใจเหลือเกิน แต่การไปไหว้พระนั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ถูกต้อง ชุดพวกนี้ตั้งกี่ชั้นกันจะเปลี่ยนเองก็ทำไม่เป็นเสียด้วย
อาเหมียนรับคำรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้หลิวฉูฉู่ทันใด ในยามนี้ฮองเฮาของอาเหมียนอยู่ในอาภรณ์สีขาวเรียบร้อย ยังไม่โปรดให้ประดับเครื่องบนศีรษะ คล้ายสตรีที่ละทางโลกได้อย่างสิ้นเชิง ทว่าเพียงแค่อาภรณ์เรียบง่ายเช่นนี้กลับสามารถขับผิวพรรณขาวผ่องและใบหน้าไร้เครื่องสำอางค์ยังเพิ่มเติมความงดงามให้หลิวฉูฉู่จนชวนให้ตกตะลึง
หลิวฉูฉู่มองตัวเองในกระจกทองเหลืองที่ขนาดความชัดนั้นเรียกว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินกระนั้นยังมองเห็นความงดงามของเจ้าของใบหน้านี้ได้
ดวงตาของเจ้าของร่างนี้งดงามยังคงกลมโต ขนตาเป็นแพราวกับปีกผีเสื้อ เครื่องหน้าสวยจนไร้ที่ติ คิ้วเรียวโก้งโค้งดั่งคันศร ผมถูกมวยเกล้าสูงขึ้นเฉกเช่นสตรีออกเรือนที่สูงศักดิ์ กลิ่นตัวยังหอมอ่อน ๆ ประดุจกลิ่นของดอกไม้หลากหลายชนิดที่เธอไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นดอกไม้ชนิดใด
ใบหน้านี้ของหลิวฉูฉู่ผู้นี้แตกต่างกับใบหน้าของเธอหลายส่วน แต่ยังไงก็ยังเป็นคนสวย เธอจึงไม่ได้รู้สึกแย่เท่าใด
หลิวฉูฉู่กล่าวเบา ๆ กับตัวเอง
"เอาล่ะอย่างน้อยหลิวฉูฉู่คนนี้ก็ยังสวยพอรับได้ เพียงแต่ว่าผิวนี้แม้จะได้รับการบำรุงมามากแต่ยังดูแห้งกร้านเล็กน้อย อาจเป็นเพราะไม่มีครีมบำรุงที่ดีเพียงพอ หากยังต้องอยู่ที่นี่ฉันคงต้องงัดความรู้เก่าแก่มาใช้ทำครีมบำรุงผิวให้ดีขึ้นแล้ว"
เธอลูบผิวของร่างกายที่ตัวเองอาศัยอยู่ในตอนนี้ อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะเป็นตัวตนของตัวเองในอดีตก็เป็นได้ แต่เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ เธอรักอาชีพนักแสดงเธอกำลังเป็นดาวรุ่งเธอไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวใจให้อยู่ตรงนี้ ยังมีความตายที่รออยู่ในอนาคตอีก
เธอไม่สามารถรอจนถึงหน้าร้อนได้ หากว่าเธอเป็นวิญญาณที่ล่องลอยมาก็จะลองเสี่ยงสักหน ไม่แน่ว่าหากออกจากร่างนี้ได้คงหาทางกลับบ้านได้ง่ายขึ้นเช่นกัน