“มีอะไรหนักใจหรือเปล่า”
วาทีถามเสียงอ่อนโยน
“ไม่ถึงกับหนักใจอะไรหรอกค่ะ แค่อดเป็นกังวลไม่ได้”
“พ่อไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร หนูแค่ไปตามนัดหมาย ทำหน้าที่เมสเซนเจอร์ เสร็จธุระแล้วก็ไปเที่ยวพักผ่อนของหนูต่อตามที่ตั้งใจเอาไว้”
ทิราภานิ่วหน้า เธอรู้จักบิดามาตลอดชีวิตทำให้จับสังเกตได้อย่างหนึ่ง
ขณะพูด ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอดรู้สึกไม่ได้ถึงความหนักแน่นในน้ำเสียงของบิดาไม่ได้มีเต็มร้อย แต่ก็พูดเพียงว่า
“ผู้ช่วยคนดีคนเก่งของคุณพ่อคงจะไม่ตามหนูไปพักผ่อนด้วยหรอกนะคะ”
“ไม่หรอก เว้นเสียแต่หนูจะอยากให้อยู่เป็นเพื่อน”
“ให้...อีตานั่นเนี่ยนะคะอยู่เป็นเพื่อน?”
ถามเสียงสูงอย่างอัศจรรย์ใจ ไม่รู้จริงๆ ว่าบิดาคิดออกมาในแนวนี้ได้ยังไง
“โธ่! พ่อคะ แค่ต้องร่วมทางกันวันสองวันหนูยังไม่รู้ว่าจะทนได้หรือเปล่า คิดจริงๆ หรือทันทีที่มีโอกาสหนูจะไม่รีบกวัดไกวไสส่งเขาไปให้พ้นๆ”
“ของแบบนี้มันเปลี่ยนใจกันได้นี่ลูก ไม่ว่าวันหรือสองวันอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ไม่แน่นาแค่ข้ามคืนที่อยู่กันตามลำพังหนูอาจจะมองภานนท์ในทางดีขึ้นก็ได้”
คนเป็นพ่อพูดหน้าเฉยตาเฉย แต่ลูกสาวทำตาเหล่ พูดเสียงรู้ทัน
“หนูรู้ว่าคุณพ่อชอบเขา รู้สึกจะให้ความรักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษ แต่ขอให้หยุดอยู่แค่นั้น คุณพ่อไม่เหมาะหรอกที่จะทำหน้าที่พ่อสื่อ ก่อนจะฝันไปไกลหนูขอบอกไว้เสียเลย คงไม่มีวันที่หนูจะเห็นผู้ช่วยคนดีคนโปรดของคุณพ่อเป็นคนพิเศษ เอาแค่ความรู้สึกชอบพออย่างคนรู้จักทั่วไปยังแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วเลย”
“พ่อไม่ฝันไกลก็ได้ หนูก็รู้เรื่องตัดสินใจจะรักใครชอบใครนี่พ่อให้หนูตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ถ้าได้ลูกเขยเป็นคนที่พ่อชอบด้วยอย่างภานนท์ก็จะดีไม่น้อย”
เห็นแววตาลูกสาวที่มองมาวาทีก็รีบโบกมือว่อนพูดต่อโดยเร็ว
“โอเคๆ เรื่องเกี่ยวกับหัวใจหนูพ่อไม่ยุ่งแล้ว แต่ยังไงเดินทางเที่ยวนี้หนูต้องมีคนไปด้วย แค่นี้แหละที่พ่อขอ และถ้าจำเป็นต้องบังคับพ่อก็จะทำเพื่อความปลอดภัยของลูกสาวคนเดียวของพ่อ”
“พ่อคิดว่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับหนูอย่างนั้นหรือคะ”
ทิราภาถามเสียงเรื่อยๆ ไม่ให้บิดาจับได้ว่าเธอเริ่มสงสัยบางอย่าง
อะไรคือสิ่งที่บิดาปิดบังซ่อนเร้น?
“ก็...”
วาทีหลุบตาลงมองมือตัวเองที่วางพาดบนโต๊ะ พูดทั้งยังหลุบตาต่ำ
“หวังว่าจะไม่มี”
จากนั้นก็เงยมองตรง กล่าวติดต่อกันไป
“หรือต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นพ่อก็เชื่อว่าภานนท์จะสามารถจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย”
“โอ้โฮ!”
ทิราภาแกล้งอุทานเสียงทึ่งๆ แต่ดวงตาคู่งามเริ่มหรี่นิดๆ เป็นสัญญาณเตือนให้คนเป็นพ่อรู้ว่า ความสงสัยคลางแคลงใจใดๆ หากจะไม่เคยมีมาก่อนมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นแล้วละ
“ดูคุณพ่อจะเชื่อมั่นในตัวนาย เอ่อ ผู้ช่วยคนโปรดมากเลยนะคะ ทั้งที่หนูยังไม่เห็นว่าจะมีผลงานอะไรโดดเด่นพอจะอวดได้เต็มปาก”
“คนเก่งจริงฉลาดจริงเขาไม่โอ่ตัวหรอกลูก”
“ดาบคมแต่ในฝักไม่ชักออกมาใช้จะมีประโยชน์อะไรคะ”
วาทีหัวเราะเอิ้ก
“สำนวนลูกสาวพ่อนี่แหร่มจริงๆ เรื่องความคมของดาบถ้าเป็นดาบเนื้อดีจริงไม่ว่าอยู่ในฝักหรือนอกฝักความคมก็มีอยู่เสมอละลูก แต่พ่อก็หวังนะจะไม่มีเหตุจำเป็นให้ภานนท์ต้องชักดาบออกจากฝัก”
ทิราภาคิดว่าได้เห็นความกังวลผ่านหน้าบิดาไปแวบหนึ่งแม้เจ้าตัวจะพูดให้เห็นเป็นเรื่องชวนขัน แต่ก็ไม่แน่ใจนักจึงเพียงกระเซ้ายิ้มๆ
“ท่าทางคุณพ่อดูจะศรัทธาเอามากๆ บอกหน่อยได้มั้ยคะผู้ช่วยคนโปรดคนนี้นอกจากคอยติดตามคุณพ่ออย่างใกล้ชิดราวกับเป็นบอดี้การ์ด ทำอะไรบ้างวันๆ”
วาทีวางหน้าเฉยพูดเสียงเรียบสนิท อย่างตั้งใจให้บุตรสาวรู้ว่าก้าวก่ายการตัดสินใจของเขามากไปแล้วเพื่อตัดบท
“พ่อต้องรายงานหนูด้วยหรือ ผู้ช่วยแต่ละคนของพ่อช่วยงานอะไรให้พ่อบ้าง”
ทิราภาหน้าแดง พูดเสียงงอนๆ
“เอาเถอะ หนูไม่ซักก็ได้ แต่ว่า...พ่อคะ”
“อะไรลูก”
สุ้มเสียงชายวัยห้าสิบต้นกลับมาเป็นเสียงพ่อที่รักลูก
“เขานามสกุลอะไรคะ แล้วเป็นเป็นใครมาจากไหนกัน”
“เขาไหนล่ะ”
อะไรไม่รู้ทำให้ทิราภารู้สึกไปว่าผู้เป็นพ่อของกำลังถ่วงเวลาในการให้คำตอบ
“ผู้ช่วยคนโปรดของพ่อน่ะสิคะ” ระบุให้ชัดขึ้น
วาทีหัวเราะเบาๆ
“นึกยังไงขึ้นมาถึงได้ถาม”
“พ่อกำลังตอบด้วยการตั้งคำถามรู้ตัวหรือเปล่าคะ”
“เออ ลูกคนนี้ เรื่องอะไรมาจับผิดพ่อ ไม่เอาละ พ่อไม่พูดด้วยแล้วทำงานต่อดีกว่า หนูดูสิ เอกสารเต็มโต๊ะรอพ่อเซ็น...”
“พ่อ”
ทิราภาเรียกคำเดียวสั้นๆ แต่ด้วยกังวานเสียงทำเอาผู้เป็นบิดาถึงกับถอนใจ รู้จากประสบการณ์นับแต่เป็นพ่อลูกกันมายี่สิบหกปีเต็มๆ ลงว่าลูกสาวสุดที่รักทำเสียงอย่างนี้ ย่อมแปลว่าถ้าไม่ได้คำตอบที่ต้องการก็อย่าหวังว่าเขาจะหาความสงบได้
“โอเค โอเค ผู้ช่วยคนโปรดของพ่อ...นี่พ่อพูดตามสำนวนเหน็บแนมของหนูนะ นามสกุลเวสารัช ใครๆ ก็รู้ มีหนูคนเดียวแหละมั้งที่ไม่รู้”
“ใครๆ ของพ่อนี่หนูเดาว่าคงจะไม่กี่คน ดีไม่ดีอาจมีแค่พ่อเท่านั้นที่รู้ ไม่ต้องปฏิเสธเลยค่ะ "