ศิริชัชกลั้นเสียงหัวเราะในลำคอเห็นท่าทางการกินของหญิงสาวหน้าหวานคนนั้นแล้วทำให้เขารู้สึกว่าขนมที่นี่คงอร่อยจริงๆ เขาเป็นคนไม่ค่อยชอบกินขนมของหวานโดยเฉพาะขนมฝรั่งอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นขนมไทยๆ บางชนิดที่ไม่หวานมากเกินไปเขาก็โปรดปรานอยู่ไม่น้อย เขานั่งที่นี่อยู่นานจนหมดกาแฟไปสองแก้วแล้ว เพราะยังไม่อยากขึ้นไปคุยงานกับกับหน่วยงานแห่งหนึ่งจึงให้ธนาขึ้นไปจัดการแทน ในขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าตัวเองน่าจะขึ้นไปฟังคำพูดประจบสอพลอของคนบ้างจำพวก สายตาของเขาก็เห็นหญิงสาวรูปร่างเพรียวลมเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมชายหนุ่มคนหนึ่ง คราแรกเขาอดคะเนไม่ได้ว่าทั้งสองเป็นคู่รัก แต่ดูไม่ค่อยเหมาะกันนักเพราะชายหนุ่มดูเรียบๆ ง่ายๆ ในขณะที่ฝ่ายหญิงสวยเริดเกินความจำเป็นไปนิด แต่เมื่อเห็นทั้งคู่แยกทางกันและหญิงสาวเดินตรงมาทางเขา เขาก็รู้ว่าตัวเองคิดผิด
หญิงสาวเดินผ่านเขาโดยทิ้งกลิ่นหอมละมุนให้เขาต้องเหลียวตามอย่างที่ไม่เคยเป็น ศิริชัชนึกขำตัวเองที่ตกหลุมเสน่ห์ของผู้หญิงได้ง่ายดายขนาดนี้ ขนาดตอนที่อยู่ลอนดอนเขาไม่เคยพลาดท่าเสียทีผู้หญิงคนไหนง่ายๆ แค่การ ‘ให้ท่า’ ตื้นๆ แบบนี้ก็ทำให้เขาหลงเผลอมองตามจนได้แต่หญิงสาวแปลกหน้าไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิด ไม่ได้สนใจว่ามีสายตาของใครมองไปที่เธอบ้าง เธอดูวุ่นวนกับเรื่องของตัวเองจนเหมือนกับว่ารอบข้างมีเพียงอากาศเท่านั้น เขานึกอยากเห็นใบหน้าของเธอชัดๆ แต่ก็เหมือนเขามีกระแสจิตเมื่อเธอถอนแว่นสีชาออกแล้วเปลี่ยนมาสวมแว่นสายตาบางใสแทน แม้เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ เขากลับรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ
ศิริชัชยอมรับว่า เขาออกจะงุนงงกับสาวๆ ที่ผ่านสายตาของเขา แม้จะได้ยินมาบ้างว่าตอนนี้กระแสความนิยมของสาวๆ และหนุ่มๆ เป็นสไตล์เกาหลีหรือญี่ปุ่นแต่เขาไม่คิดว่ามันจะ ‘เกร่อ’ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เพลงที่ฟังแต่เสื้อผ้าหน้าผมก็แทบไม่เหลือเค้าโครงหน้าแบบไทยๆ เลยสักนิด
แต่ผิดกับหญิงสาวคนนั้นที่ทำตรึงความรู้สึกของเขา แม้การแต่งตัวจะทันสมัยแต่เหมือนกับเธอจะมีสไตล์เป็นของตัวเองผสานกับท่าทางความมั่นใจเต็มเปี่ยมและใบหน้าที่หวานฉ่ำแบบไทยๆ ทำให้เขารู้สึกว่าเธอโดดเด่นสะดุดตา แต่ท่าทางกิริยาน่ารักๆ เมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอช่างมีหลากหลายมุมให้น่ามอง
“ท่านชายครับ...รอผมนานหรือเปล่าครับ”
เสียงของธนาเรียกไม่ได้ทำให้ศิริชัชย้ายสายตาไปจากหญิงสาวคนนั้น เขากลับกระดิกนิ้วเรียกให้ธนานั่งลงก่อนแล้วพยักเพยิดไปทางด้านหลังซึ่งหญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่
“น่ารักดี”
“ห๋า?”
“หาอะไร” ศิริชัชขมวดคิ้วแล้วเปลี่ยนมามองหน้าธนาแทน “ฉันมองผู้หญิงนี่ผิดหรือไง”
“เปล่าครับ แต่ไม่เห็นท่านชายสนใจผู้หญิง ขนาดคู่หมั้นยังไม่สนใจเลย”
“นั่นมันคงละเรื่องกัน” ศิริชัชโบกมือไปมา “เรื่องงานเป็นยังไง”
“ก็เรียบร้อยครับ ยังไม่มีใครทราบว่าท่านชายกลับมาแล้ว”
“ดีแล้ว ตอนนี้ฉันยังไม่อยากให้ใครรู้”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปพบอาจารย์นิลกันเลยไหมครับ เลยเวลานัดมานานแล้ว”
“จริงซิ! ฉันลืมไปเสียสนิทเชียว ให้ผู้ใหญ่คอยนานมันไม่ดีนักหรอก”
“ผมโทรไปแจ้งให้อาจารย์ทราบแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ”
“แล้วสาวสวยคนนั้นละครับ” ธนามองไปที่หญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง
“นายจะให้ฉันทำอะไร? ขอเบอร์,อีเมล์,ตามจีบ? เอางั้นเลยเหรอ เดี๋ยวเขาก็คิดว่าฉันเป็นพวกโรคจิตหรอก”
“แต่ว่า...” ธนาทำหน้าเสียดายแทน
“ช่างเถอะ ถ้าเป็นคนที่ ‘ใช่’ วันข้างหน้าคงได้เจอกันอีกนั้นแหละ”
ธนาเดินไปจ่ายค่าเครื่องดื่ม ศิริชัชนึกขึ้นได้จึงบอกพนักงานไปแฃ้วทั้งคู่ก็เดินออกมาจากร้านโดยที่หญิงสาวไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด ศิริชัชหัวเราะในลำคอ โธ่! ผู้ชายที่ผู้หญิงต่างกรี๊ดกร๊าดอยากกระโดดจับมากที่สุดกลับไม่อยู่ในสายตาของผู้หญิงคนนี้เลยหรือนี่
แต่แล้วจู่ๆ หญิงสาวก็ทำราวกับได้ยินคำบ่นของเขา เธอหันไปมาทางเขาและยิ้มกว้างมันช่างเป็นรอยยิ้มที่สดใสจนไม่อาจละสายตาไปได้
“หมวยเล็ก!มาได้ซะทีนะ”
“นี่ก็รีบแล้วละ” เปมิกาเดินแทรกผู้ชายตัวโตสองคนที่ยืนขวางทางเข้าร้านตรงมาทางเพื่อนซี้ที่นั่งคอยอยู่ “หิวหรือเครียดจ๊ะกินขนมเกลี้ยงเชียว”
“ทั้งสองอย่างแหละ” มาริสาหัวเราะรื่นแล้วยื่นมือไปช่วยรับแฟ้มงานของเพื่อนมาวางไว้บนโต๊ะ
“วันนี้ฉันว่างแล้วไม่ต้องเข้าออฟฟิศแล้วเราไปรับหนูนามาหาข้าวกินกันไหม” เปมิกาเสนอ “ฉันไม่ได้ขับรถมา กินข้าวไปคุยงานไปเสร็จแล้วเธอขับรถไปส่งฉันที่ออฟฟิศไปเอารถกลับบ้านได้ไหม”
“เอางั้นก็ได้ แกโทรหาหนูนาเดี๋ยวฉันไปจ่ายค่าขนมก่อน”
มาริสาลุกขึ้นเดินมาที่เคาน์เตอร์ แต่ถ้อยคำของพนักงานทำให้เธองุนงงจนต้องถามทวนอีกครั้ง “มีคนจ่ายให้แล้วหรือคะ”
“ผู้ชายที่นั่งโต๊ะโน้นเค้าจ่ายให้คุณแล้วค่ะ เขาเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี่เอง” พนักงานย้ำอีกครั้ง
มาริสามองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปทางที่บุรุษปริศนาเคยนั่งอยู่แต่ก็ว่างเปล่า เมื่อมองตามไปด้านนอกก็ไม่เห็นมีใคร เธอพยักหน้ารับกับพนักงานอีกครั้งแล้วเดินกลับมาเก็บข้าวของบนโต๊ะอย่างงุนงง
“เป็นไรไปแก”
“ไม่รู้มีใครจ่ายค่ากาแฟกับขนมให้ฉัน”
“จริงอะ” เปมิกาเบิกตากว้างแล้วหันซ้ายแลขวา “คนไหนล่ะ”
“เค้าไม่อยู่แล้วออกไปเมื่อกี้เอง”
“กรี๊ดๆ น่าตื่นเต้นจังเลยมีบุรุษปริศนาจ่ายค่ากาแฟให้ด้วย” เปมิกาทำหน้าตื่นเต้นสุดฤทธิ์
“บุรุษปริศนาอะไรกันพวกโรคจิตหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เออ...จริงด้วย งั้นเรารีบไปดีกว่า ฉันจะได้เอาไปเมาท์กับยัยหนูนา” เปมิกาหัวเราะคิกคักแล้วลุกขึ้นยืนแต่มาริสาส่ายหน้าไปมา เธอถือกระเป๋าโน้ตบุ๊กแล้วเดินออกมาอย่างหงุดหงิด
“ดูทำหน้าเข้า”
“อะไรนะครับคุณชาย”
“เปล่า...ไม่มีอะไร” ศิริชัชหัวเราะในลำคอ “ไปกันเถอะ เดี๋ยวอาจารย์จะรอนาน”
ชายหนุ่มหยุดรอดูพฤติกรรมของหญิงสาว เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะดีใจจนเนื้อเต้นหรือแสดงท่าทางอื่นแต่ไม่คิดว่าจะทำหน้าหงุดหงิดได้ดูน่ารัก แก้มป่องเหมือนปลาทองแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้ช่างมีอะไรให้น่ามองจริงๆ
‘ช่างเถอะ...ถ้าเป็นคนที่ ‘ใช่’ วันข้างหน้าคงได้เจอกันอีกนั้นแหละ’
……………………
ช้องนางเดินมาเปิดประตูออฟฟิศเมื่อได้ยินเสียงกดกริ่ง อาหารปิ่นโตที่สั่งไว้มาถึงพร้อมรอยยิ้มคุ้นเคยกับพนักงานส่งอาหารที่เห็นหน้ากันแทบทุกวัน หญิงสาวทักทายสองสามคำขณะส่งเงินให้แล้วเดินกลับเข้ามาด้านในซึ่งมีเพื่อนซี้สองคนนั่งรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย
“มาแล้วจ้า! อร่อยๆ ทั้งนั้นเลยนะ ขอบอก!” ช้องนางพูดพลางเทอาหารในปิ่นโตใส่ชามซึ่งมีแกงเขียวหวานไก่ ผักผัดรวมมิตรและทอดมันโดยมีมาริสาและเปมิกาช่วยอยู่ใกล้ๆ
“ชวนไปกินข้างนอกก็ไม่ไป ต้องมานั่งลำบากแบบนี้” เปมิกาบ่นอุบแต่ช้องนางกลับหัวเราะออกมา
“ลำบากตรงไหนเหรอ แค่เอาอาหารเทใส่ถ้วยใส่จานแค่นี้เอง”
“เดี๋ยวกินเสร็จก็ต้องล้างอีก” เปมิกาเบ้ปาก แต่ก็ยอมรับว่ากลิ่นอาหารหอมยวนใจมากๆ
“แค่ล้างจานเดี๋ยวฉันล้างเองก็ได้” ช้องนางยิ้มกว้าง “เมี่ยงตักข้าวซิ”
“ทำอยู่ไม่ต้องสั่งก็ได้” มาริสาแลบลิ้นใส่เพื่อน
“ช่วยไม่ได้นี่นะ ถ้าอยากกินข้าวพร้อมหน้ากันสามคนก็ต้องกินที่ออฟฟิศอย่างนี้แหละ” ช้องนางเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นรินใส่แก้วให้เพื่อน “ฉันเคลียร์เอกสารไม่เสร็จก็ออกไปไหนไม่ได้หรอก อาทิตย์หน้าก็ต้องพาลูกทัวร์ไปเกาหลีแล้ว กลับมามันจะยุ่งอีก”
“เกาหลีเดือนมกราคมแบบนี้ไม่หนาวแย่เหรอ” เปมิกาถามแล้วลงมือกินอาหารก่อนใครเพื่อน
“ก็มีคนอยากเห็นหิมะก็ต้องพาไป” ช้องนางยักไหล่ “เมี่ยงไปด้วยกันไหม”
“อยากไป แต่คงไปไม่ได้อ่ะ” มาริสาทำหน้าเศร้า “ช่วงนี้งานเข้า”
“ฝากซื้ออะไรไหมละ”
“อยากอยู่เหมือนกันแต่มันไม่มีเงิน”
“ฟังแล้วน่าสงสารชอบกล” เปมิกาทำหน้าล้อแล้วตักทอดมันใส่จานให้มาริสา “กินซะนะอย่าคิดมาก”