บทที่4 ที่มา

2588 คำ
บทที่4 ที่มา เวลาต่อมา “เสือ อลิน ตื่น ถึงแล้ว” เสียงปลุกของนลินญาดังขึ้นหลังจากที่เครื่องลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตเป็นที่เรียบร้อยด้านคนถูกปลุกทั้งสองก็งัวเงียลืมตาขึ้นมาก่อนจะสะดุ้งตัวออกห่างกันราวกับโดนของร้อน “ยัยเอเลี่ยนใครอนุญาตให้เธอมาซบไหล่ฉันห๊า” “ใครซบ แกมากกว่าที่บังอาจมาพิงหัวฉัน” อริสาสวนกลับทั้งที่ตนอาจผิดแต่เรื่องอะไรจะยอมรับ...ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย “ใครกันแน่ยัยบ้าไม่รู้ทำน้ำลายไหลใส่เสื้อฉันรึเปล่า” ศารทูลเอ่ยพร้อมใช้มือปัดไปมาที่ไหลข้างที่อริสาซบราวกับว่ารังเกียจ “นี่ไอ้แมวโอหัง ฉันไม่ใช่พวกนอนน้ำลายยืดซะหน่อย” อริสาแหวใส่อย่างมีอารมณ์ ชิชะ เธอไม่ได้เป็นคนที่นอนน้ำไหลยืดซะหน่อย ทำงี้ได้ไงกัน “พอแล้ว ๆ รีบลงไปกันเถอะคนอื่นลงไปหมดแล้ว” สีหราชที่ถูกสั่งให้ช่วยนลินญาปลุกพี่ชายฝาแฝดกับเพื่อนสาวเอ่ยขึ้นก่อนจะลากคอคนมีศักดิ์เป็นพี่ชายฝาแฝดเดินนำออกไปอย่างเซ็ง ๆ ‘ให้ตายเหอะตอนหลับนอนซบอย่างกับในละครตื่นมาจะฆ่ากันอีกแล้ว’ “ไปกันเถอะอลิน” สาวแว่นมองตามคุณหมอหนุ่มที่มีอาการเหวี่ยง ๆ เซ็ง ๆ พาพี่ชายเดินนำหน้าไปก่อนจะหันกลับมาชักชวนอริสา สองสาวจับจูงกันเดินตามออกมาอย่างสนิทสนมจนแทบจะคล้ายคู่พี่น้อง แม้ดูเหมือนแพนธีราจะอยู่ใกล้อริสาที่สุดแต่เพื่อนสนิทที่สุดที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องก็คือนลินญาส่วนแพนธีรานั้นเป็นเพื่อนสนิทและคุณแม่ของทุกคนในกลุ่มมากกว่าเพราะแพนธีราจะใส่ใจทุกคนส่วนยัยแว่นคนนี้มักจะเป็นคนเห็นความผิดปกติของเธอก่อนใคร “หายไปไหนตั้งสามสี่เดือน โทรไปก็ปิดเครื่อง ไลน์ก็ไม่ตอบน้อยใจนะ” อริสาเอ่ยถามพร้อมทำท่างอน ๆในบรรดาเพื่อนนอกจากแพนธีราที่เจอหน้าเกือบทุกวันแล้วคนอื่นก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหรเพราะเวลาต่างไม่ตรงกันจะคุยกันทีก็ที่ไลน์กลุ่มที่เดือนละครั้งสองครั้งถึงจะได้พูดคุยกันแต่กับนลินญาทั้งสองมักจะติดต่อกันเสมอแม้ไม่ได้เจอกัน แต่มาช่วยหลายเดือนนี้ละที่นลินญาหายไปราวกับไร้ตัวตน ในวันที่เธอเจ็บที่สุดจนอยากโทรไปร้องไห้กับนลินญาอีกฝ่ายก็ไม่ตตอบกลับใด ๆ “พอดีที่บ้านมีเรื่องอะแก รู้มั้ยว่าพ่อที่แม่บอกว่าตายไปแล้วจริง ๆเขายังอยู่...แต่แค่มีอีกครอบครัวและยังเป็นครอบครัวที่ถูกต้องตามกฎหมายอีกต่างหาก” นลินญาบอกเล่าให้เพื่อนสาวที่ขาดการติดต่อไปได้ฟังโดยไม่รู้เลยว่าสูตินารีแพทย์หนุ่มที่เดินนำหน้าแกล้งเดินช้าเพื่อฟังเรื่องราวของเธอ เขาอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเธอที่ผ่านมาตลอดหนึ่งปีที่ไม่ค่อยได้เจอ แค่เพียงแอบฟังก็ยังดี ศารทูลที่รู้ใจน้องชายเหมือนสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องพูดได้แต่เดินไปช้า ๆ และแกล้งงัวเงีย “อย่าคิดมากดิแกแล้ววันนั้นที่ว่าอกหักมันยังไงห๊ะ แกมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร” อริสาเอ่ยถาม ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าสีหราชคิดอย่างไรกับเพื่อนสาวเพราะตลอดเวลาที่เรียนด้วยกันเธอมักจะสนิทกับเขาพอ ๆ กับนลินญาและเหตุผลหลักที่สนิทด้วยก็คือการล้วงความลับจากฝาแฝดของคู่ปรับตามที่โบราณว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง นอกจากจะได้ความลับของศารทูลแล้วยังได้รับรู้ความรู้สึกของสีหราชที่มีต่อสาวแว่นด้วยเมื่อเห็นว่าสีหราชแกล้งเดินช้าเธอจึงไม่พลาดที่จะสอบถามเรื่องราวจากเพื่อนสาวให้สีหราชได้ยิน “ก็ไม่เรียกแฟนหรอกเขาเป็นลูกเลี้ยงของพ่อนะเรามีน้องร่วมกันสองคนตอนเจอครั้งแรกก็ชอบเลยแต่เขาไม่ค่อยชอบหน้าฉัน คงคิดว่าฉันมาแย่งความรักน้อง ๆ ของเขามั้งแถมยังมองว่าฉันเป็นผู้หญิงง่ายๆแต่ฉันก็ยังปลื้มเขาอยู่ดีจนสองอาทิตย์ก่อนเขาประกาศหมั้นกับเพื่อนที่ทำงานฉัน ยัยวิน่ะ...แกก็รู้ว่าฉันกับวิไม่ค่อยถูกกันฉันเลยยิ่งดูแย่และเลวในสายตาเขาอ่ะ” นลินญาพูดระบายให้เพื่อนฟังอย่างอัดอั้นด้านคนฟังอย่างอริสาได้แต่ลูบหลัง หึ...คนนึงอกหักอีกคนถูกหักหลังอะไรจะขนาดนั้น ส่วนคนแอบฟังถึงกับโมโหหึงที่เธอในดวงใจพูดว่าชอบชายคนอื่นจนรีบกระชากคอเสื้อพี่ชายเดินออกไปอย่างรวดเร็วจนศารทูลต้องแย้งขึ้น “ไอ้นี่เบา ๆ ก็ได้คอจะขาด” “ขอโทษมันโมโห” สีหราชเอ่ยบอกก่อนจะเดินไปร่วมกับกลุ่มเพื่อนที่รออยู่ “ในที่สุดก็ถึงภูเก็ตแล้วทริปนี่ไม่ล่มแน่ขุ่นแม่ขา” ปริมาเอ่ยบอกหลังจากอริสากับนลินญาเดินมาร่วมวงด้วย ปริมาดีใจเป็นที่สุด ในที่สุดทริปที่เธอจัดไว้ก็พูดได้ว่าไม่ล่มแล้ว จากนี้ไปก็คือการชาร์จแบตซะที “นั่นนะสิโล่งเลยแก นานแล้วนะเราไม่ได้มาด้วยกันครบทีม” แพนธีราเอ่ยบอกพลางนึกไปถึงระยะเวลาต่าง ๆหลังเริ่มทำงานแต่ละคนไม่ค่อยมีเวลาทีตรงกันสักเท่าไหร เจอกันครบทีมครั้งล่าสุดก็เมื่อตอนงานแต่งงานของเธอซึ่งก็ผ่านมาตั้ง5ปีแล้ว วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษเชียวนะ “นั่นสินะทำให้นึกถึงตอนเที่ยวด้วยกันครบทีมครั้งล่าสุด ไม่น่าเชื่อว่าเราจะคบกันมาได้นานขนาดนี้” ปุริมปรัชญ์เอ่ยขึ้นนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ภูเก็ตเป็นสถานที่ที่ทุกคนมาเที่ยวด้วยกันครบทีมครั้งล่าสุดเมื่อ5ปีก่อนทำให้นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมาได้ “นั้นสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะดึงยัยอลินกับไอ้เสืออยู่ในกลุ่มได้กว่า20ปี” เตชินทร์เอ่ยขึ้น เขากำลังคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมาและแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เขาที่คิดถึงความหลัง เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ เองก็เช่นกัน ย้อนกลับไปยี่สิบสี่ปีก่อน โรงเรียนอนุบาลxxx “เอาล่ะค่ะเด็กๆ คุณครูจะให้หนู ๆ จับกลุ่มนะคะกลุ่มล่ะกี่คนก็ได้ จับกลุ่มได้แล้วต้องอยู่กับเพื่อนกลุ่มนั้นจนขึ้นประถมเลยนะคะใครทำผิดผิดทั้งกลุ่มใครทำดีได้ดีทั้งกลุ่มนะ เอาล่ะคุณครูให้เวลาจับกลุ่มหนึ่งอาทิตย์นะคะวันจันทร์หน้าทุกคนต้องมีกลุ่มแล้วในวันจันทร์ต้องออกมาแนะนำกลุ่มหน้าชั้นด้วยนะ” เสียงของคุณครูแสนสวยเอ่ยบอกนักเรียนชั้นอนุบาลสามที่เธอสองอยู่ในวันแรกของภาคเรียนที่หนึ่งก่อนจะปล่อยให้เด็ก ๆ หากลุ่มของตัวเอง “นี่มะยุกะเลาม้าย เราจื่อแพน” เด็กหญิงแพนธีราหรือน้องแพนในวัย5ขวบเอ่ยบอกหลังจากสะกิดหลังของเด็กหญิงปริมาหรือน้องปริมที่กำลังยืนเคว้งมองหาว่าจะจับกลุ่มกับใครดี “เราจื่อปริม” “ไปหาคงอื่นกานเตอะ” เด็กหญิงแพนธีราเอ่ยชวน เด็กหญิงปริมาพยักหน้าก่อนะจะชี้ไปที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้านั่งไม่ยอมไปหากลุ่ม เด็กหญิงทั้งสองคิดกันว่าจะหาแต่คนที่ไม่เข้ากับเด็กคนอื่นและในที่สุดก็หาได้ถึงแปดคนซึ่งประกอบด้วย น้องปริม น้องแพน น้องโจที่นั่งอยู่คนเดียว น้องแฝดอุ้มแอ้มและน้องป๊อปที่ตกลงว่าจะหากลุ่มด้วยกัน น้องแบงค์ที่ติดจะพูดไม่ชัดตามอากงที่เป็นชายไทยเชื้อสายจีน และน้องเต้ยหนุ่มน้อยที่พูดออกสำเนียงทองแดงจนไม่มีใครอยากจะรับเข้ากลุ่ม “มีแปดคงแย้ว หาอีกม้าย” เด็กหญิงปริมาเอ่ยถามทุกคนพยักหน้าก่อนจะเดินหาคนที่มาอยู่กลุ่มด้วย ตามประสาเด็ก ๆ ก็อยากจะมีกลุ่มใหญ่ ๆ ทุกคนจึงไม่หยุดแค่แปดคน อีกฟากหนึ่ง “เตอร้องไห้จำไม” เด็กหญิงอริสาหรือหนูอลินเอ่ยถามหลังจากเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่ม้านั่งก่อนจะยื่นอมยิ้มให้ “จอบจุนน๊า มะมีใครห้ายเยายุด้วย ฮึก เปราะเยามะมีป้อ” เด็กหญิงนลินญาหรือน้องคะนิ้งเอ่ยบอกพลางเช็ดน้ำตา “มะเปงไย มะต้องย้อง มาเปงเพือนกับเยาจิ เยาก็ไม่มีกุ่ม เราชื่ออลินนะ เตอชื่อไยเหยอ” เด็กหญิงอริสาเอ่ยบอก “เยาจื่อคานี้ง” เด็กหญิงนลินญาเช็ดน้ำตาก่อนจะยิ้มให้เพื่อนใหม่ของเธอ “แม่คานี้ง น้ำค้างแข็งจั่ยมั้ย” “แมะก้อบอกเยาอย่างน้าน” “หนูอาลินอยู่นี่เอง มาอยู่กลุ่มกับเราไหม” เด็กชายสีหราชหรือน้องสิงห์ที่ดูจะพูดชัดถ้อยชัดคำกว่าเพื่อน ๆ เอ่ยถามลูกสาวของเพื่อนพ่อที่รู้จักกันมาต้องแต่อ้อนแต่ออกแถมยังเกิดวันเดียวกันด้วย “จิ่ง นี่คานี้งเพื่อนอาลิน คานี้งนี่จิ่ง” “สิงห์ เราไม่อยู่กลุ่มเดียวกับยัยอลินนะ” เสียงของเด็กชายศารทูลหรือน้องเสือดังขึ้น บ่งบอกว่าไม่ค่อยจะชอบใจหนูน้อยอริสาเท่าไหร่นัก “จิ ค้าวม่ายยุกาบตัวหยอก เชอะไม่ง้อ” เด็กหญิงอริสาเอ่ยขึ้นก่อนจะจูงมือเด็กหญิงนลินญาออกไปจากคนที่ทำให้เธอต้องอับอายเมื่อหนึ่งปีก่อน 2ปีก่อน “น้าหวา อาลีนอยากกีนอันน้าน” เด็กหญิงอริสาเอ่ยบอกวาณิชาหรือน้าหวา น้าสาววัยยี่สิบสี่ปีของเด็กหญิง วาณิชาที่อยู่ในชุดแต่งงานสีขาวแสนสวยยิ้มให้หลานสาวก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน “ยังกินไม่ได้ลูก น้าหวากับอาวินต้องตัดก่อนยังไม่ถึงเวลานะคะ” วาณิชาเอ่ยบอกหลานสาว ใจจริงเธอไม่อยากขัดใจแม่หลานสาวตัวจิ๋วหรอกแต่ไอ้สิ่งที่แม่หนูอยากจะทานนะมันเค้กแต่งงานของเธอกับเจ้าบ่าวนี่นา “กะดะ น้องอาลีนม้ายกีนกดะ ไปหาเจื้อกาบจิ่งดีกว่า” เด็กน้อยเอ่ยบอกก่อนจะวิ่งไปหาเพื่อนวัยเดียวกันอย่างเด็กชายศารทูลและเด็กชายสีหราช “หนูอาลีนได้เค้กมาม่าย” เด็กชายสีหราชเอ่ยถาม หนูน้อยอริสาส่ายหน้าไปมาก่อนจะเบะปากร้องไห้ออกมาสองเด็กชายจึงต้องช่วยกันปลอบ “เงียบน๊า เดี๋ยวเจื้อปายอาวไห้” เด็กชายศารทูลเอ่ยบอกก่อนจะวิ่งไปหาอาหนุ่มนอกสายเลือดซึ่งเป็นเจ้าบ่าวในวันนี้ก่อนจะกระซิบบางอย่างจนอาหนุ่มหน้าซีดลงแล้วหาเค้กช็อตโกแลตก้อนใหม่มาให้แทนเค้กแต่งงานเด็กชายศารทูลรับถาดเค้กก่อนจะวิ่งออกมา นาวินหรืออาวินน้องชายบุญธรรมของบิดาเด็กชายฝาแฝดถึงกับส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ฉลาดเกินวัยของหลานชายที่หยิบยกเรื่องความเจ้าชู้ของเขาก่อนแต่งงานมาขู่ว่าจะบอกวาณิชาเพื่อแลกกับเค้ก ‘แสบจริงไอ้หลานคนนี้’ เด็กชายศารทูลถือถาดเค้กวิ่งมาหาน้องชายฝาแฝดและเด็กหญิงขี้แยแต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น โครม! ร่างเล็กของเด็กชายสะดุดล้มในขณะที่เค้กก้อนโตลอยละลิ่วมาตกใส่ศีรษะของเด็กหญิงอริสาอย่างจัง เด็กชายศารทูลลุกขึ้นก่อนจะวิ่งมาดูตอนแรกก็อยากจะขอโทษแต่พอเห็นก็รู้สึกขำขึ้นมาจนหัวเราะเด็กหญิงตัวน้อยเสียอย่างนั้น คนถูกหัวเราะใส่มองอย่างเจ็บแค้นและอับอายสายตาแขกในงานที่มองอย่างขบขันก่อนจะหยิบเศษเค้กที่เหลือมาปาใส่เด็กชายศารทูล เด็กชายก็หายอมไม่หยิบเค้กมาป้ายแก้มขาวของเด็กหญิงอย่างโมโหเช่นกันพอเค้กที่เอามาหมดก็พากันวิ่งไปหาเค้กแต่งงานทันที กลายเป็นว่าเต้กแต่งงานของวาณิชาและนาวินก็ไม่พ้นมือทั้งคู่ กลายเป็นอาวุธที่ทำเอาเละไปทั้งคู่ก่อนที่งานจะเละไปกว่านี้พ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายก็มาแยกออกก่อน “ต่อปายค้าวจาม้ายคุยกาบตัวแย้ว โป้ง!” เด็กหญิงอริสาเอ่ยบอก “เชอะม้ายง้อหรอกก อาลีนนิสายม่ายดี” เด็กชายศารทูลเองก็ไม่ยอมอ่อนให้นับจากนั้นมาทั้งสองก็ไม่เคยคุยกันดี ๆเลยสักครั้ง ปัจจุบัน(สมัยเด็ก) “นี่ ๆ มายุกลุ่วพกเยามั้ย” เด็กหญิงปริมาเอ่ยขึ้น เรียกสายตาจากเด็กชายศารทูลและเด็กหญิงอริสาที่จ้องกับราวจะกินเลือดกินเนื้อให้หันไปมอง “มีเยาต้องไม่มีเจื่อ” “มีเราต้องไม่มีอลินเหมือนกัน” ทั้งสองเอ่ยบอกพร้อมกันก่อนที่จะเดินออกไปคนละทาง “เราอยู่ด้วยได้เปล่า” เด็กชายสีหราชและเด็กหญิงนลินญาเอ่ยประสานเสียงกัน “ได้สิ แต่เยาอยากได้จ่องคงน้านด้วยจัง” เด็กหญิงแพนธีราเอ่ย “งั้นเราจะทำให้สองคนนั้นมาอยู่กลุ่มนี้เอง” สีหราชเอ่ยบอก ก่อนที่จะล้อมวงวางแผนกันตามแบบเด็กๆ “ทำไมเราต้องอยู่ บอกแล้วไงมีเราต้องไม่มีอลิน” เด็กชายศารทูลเอ่ยบอกน้องชาย “ถ้าเสือไม่อยู่กลุ่มนี้เราจะฟ้องพ่อว่าเสือรังแกเรา” แฝดน้องเอ่ยบอก แฝดพี่มองอย่างชั่งใจก่อนจะพยักหน้าอย่างยอมแพ้ “เยาไม่อยู่ คานิ้งอย่าบังคับ” เด็กหญิงอริสาเอ่ยเสียงแข็ง เด็กหญิงนลินญาเบะปากก่อนจะร้องไห้ออกมา “เยาไม่มีเพื่อน อาลีนเป็นเพื่อนคงแรก อยู่กับเยานะฮือๆๆๆๆ” “ก็ได้ๆๆอย่าร้องน๊า เราจาอยู่กับคานิ้ง” เด็กหญิงอริสาที่เห็นน้ำตาของเพื่อนใหม่จำต้องยอมเพื่อเห็นแก่เพื่อน “อยู่กลุ่มเดียวกันแต่เยาต่างคนต่างอยู่” เด็กหญิงอริสาเอ่ยบอก ก่อนจะทำสัญญากับอดีตเพื่อนที่แสนจะไม่กินเส้นเพื่อเห็นแก่หนูน้อยคะนิ้งที่ไม่มีเพื่อน นับจากนั้นมาอริสาและศารทูลก็อยู่กลุ่มเดียวกันแต่ก็ยังทะเลาะกันและตีกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แกล้งกันไปแกล้งกันมา ปะทะคารมกันมาตลอดจนกระทั้งจบมัธยมต้น ศารทูลและเจตรินแยกออกมาเรียนโรงเรียนนายร้อยและโรงเรียนนายเรืออากาศแต่กลุ่มแก๊งก็ยังนัดเจอกันเสมอและยังสนิทชิดเชื้อกันเหมือนเดิมและก่อนที่คนอื่น ๆจะจบมัธยมปลายทั้งหมดก็รวมตัวกันและคิดชื่อแก๊งใหม่จากแก๊งเพื่อนตัวจิ๋ว มาเป็น Devil Dark ปีศาจแห่งความมืดจนถึงปัจจุบัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม