“ฮัลโหล”
“อยู่ที่ไหน?”
“บนรถ”
“พูดดี ๆ”
“บนรถ...ค่ะ”
“พี่บอกว่าให้มาหาพี่”
“ไม่ว่าง...ค่ะ”
“พี่บอกว่าให้มาหาพี่”
“ไม่ว่างไง...คะ”
“พี่บอกว่า...ให้มาหาพี่”
“ก็บอกว่าไม่ว่างไง!”
“พี่...เคยสนด้วยเหรอว่าเราจะว่างรึเปล่า?” ไอ้สารเลว!
“หยีไม่ว่างมีธุระจริง ๆ ขอร้องรู้จักเข้าใจเห็นใจคนอื่นบ้าง”
“ที่รักคะมาหาพี่ตอนนี้เวลานี้ อย่าคิดลองดีกับพี่ถ้าเรายังอยากมีชีวิตที่สงบสุข” ตื๊ด ๆๆๆ
กรี๊ด!!! ไอ้สารเลว ไอ้เปรต ไอ้สันดานซาตาน! ฉันเพิ่งจะไปช่วยงานรุ่นพี่มา งานหนักแล้วก็เหนื่อยมากและเวลานี้ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว ตาก็จะปิด ขับรถก็โคตรไม่เก่งแต่ละวันต้องคลานจากบ้านไปมหาลัยแล้วยังต้องมาเจอเรื่องที่โคตรอุบาทว์ที่สุดในชีวิตแบบนี้อีก!
ถึงจะโกรธมากแต่ก็ควรทักทายกันก่อนใช่ไหมคะ ฮายค่ะซิส น้องชื่อยาหยีนะคะ เป็นนักศึกษาแพทย์ปี 3 ความจริงเป็นสาวเหนือมาจากจังหวัดพะเยาแต่บังเอิญพ่อดันไม่ใช่คนพะเยาแต่เป็นคนกรุงเทพมหานครก็เลยมีบ้านหลังเล็ก ๆ ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากปู่ย่าให้ยาหยีคนนี้ได้มาอยู่ระหว่างที่เรียน
บ้านยาหยีก็ไม่ได้ลำบากมากมายเท่าไหร่เพราะพะเยามีลำไยพ่อแม่เลยขายลำไยส่งควายเรียน บ้า! ฮ่า ๆๆ บ้านไม่ลำบากค่ะเรียกว่าพอมีอันจะกินอยู่บ้างพ่อก็เลยใจป้ำถอยรถป้ายแดงให้ตั้งแต่อยู่ปี 1 เพราะว่าบ้านอยู่ไกลจากมหาลัยมาก นั่งรถเมล์ก็เป็นรถหวานเย็น ฝาข้างรถก็ผุซะยิ่งกว่าโป๊ะเรือร้างข้าง ๆ แม่น้ำเจ้าพระยาก็เลยต้องมีรถยนต์ไว้ใช้ทั้งที่ขับมอเตอร์ไซต์ก็ยังไม่เป็น แล้วผลของการที่ขับรถไม่เป็นและเพิ่งหัดขับรถหมาด ๆ วันแรกที่ต้องขับไปมหาลัยก็เลยไปสอยรถคันหนึ่งในตึกจอดรถของมหาลัยเข้า กำลังหักพวงมาลัยถอยหลังเข้าซองแต่มันกะระยะผิดก็เลยชนคันที่จอดอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเป็นรถญี่ปุ่นที่มันก็ค่อนข้างมีราคาหลักล้านอยู่เหมือนกัน ความสั่นของเรียวขายาหยีก็เลยบังเกิด ฉันสติหลุดทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งอึ้งมือไม้สั่นอยู่บนรถจนกระทั่งมีคนมาเคาะกระจก
ก๊อก ๆๆ
ยาหยีตายแน่ตายแน่ยาหยี! นอกจากซวยยังมีโคตรซวยเพราะเจ้าของรถคันที่ชนก็ยังอยู่บนรถ ฉันคิดว่าเจ้าของรถต้องเดินมากระชากหัวลงไปต่อยแน่นอน ก็เล่นไปสอยตูดรถเขาทั้งที่มันก็จอดของมันอยู่ดี ๆ ก็เลยต้องเลื่อนกระจกโชว์หน้าซีดที่มีเหงื่อไหลออกมาทั้งที่รถก็ยังเปิดแอร์อยู่
“สะ สวัสดีค่ะ” ฉันลดกระจกแล้วก็ทักทายผู้ชายตรงหน้าที่เซ็ตผมมาโคตรดี ดูท่าทางเป็นผู้ชายแต่งตัวเก่ง เพราะขนาดใส่ชุดนักศึกษาธรรมดาเขาก็ยังทำให้มันเป็นรันเวย์ได้ พอฉันลดกระจกพูดเขาก็ขมวดคิ้วที่อยู่ใต้แว่นกันแดดสีชาก่อนที่จะก้มตัวลงมาหาฉันช้า ๆ อีหยีโดนผู้ชายกระชากคอไปต่อยแน่ ๆ T_T
“น้องเป็นอะไรรึเปล่าครับ” เขาไม่ด่าค่ะ เขาก้มหน้าลงมาแล้วก็ถามฉันด้วยเสียงที่โคตรหล่อว่าฉันเป็นอะไรรึเปล่าทำให้ฉันเริ่มใจชื้นขึ้นมา
“มะ ไม่ค่ะพี่ พี่คะหนูขอโทษนะคะ แต่พี่รอหนูสักครู่ได้ไหมคะหนูรับผิดชอบแน่ ๆ แต่พี่รอก่อนนะคะ แป๊บเดียว แป๊บเดียวจริง ๆ” พอเห็นพี่เขาใจดีฉันก็เลยรีบพูดแสดงความรับผิดชอบ แต่มันก็ยังตกใจอยู่ก็เลยพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแถมพูดรัวเร็วไปหมด
“น้องใจเย็นก่อนครับ ตกใจใช่ไหมใจเย็น ๆ ก่อนนะ พี่ว่าถอยรถเข้าช่องจอดก่อนดีกว่า” พี่เขาดูชิลมากเลยค่ะ ดูไม่ทุกข์ร้อนหรือโกรธอะไรฉันเลยแถมยังส่งรอยยิ้มมาให้ฉันอีกด้วยมันก็เลยทำให้ใจหนูน้อยจากเมืองพะเยาสั่นไหว
“...”
“น้อง ขับรถเข้าช่องจอดก่อนครับ” พี่เขาเรียกฉันอีกรอบฉันก็เลยเงยหน้าไปมองพี่เขาแล้วก็ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้
“หนู...ขับไม่ไหวค่ะ ขามันสั่น”
“ฮ่า ๆๆ โอเคถ้างั้นลงมาเร็วเดี๋ยวพี่เอาเข้าจอดให้ รถด้านหลังจะลงมาด่าแล้ว” พี่เขาขำเบา ๆ แล้วกกวักมือเรียกฉันให้ลงจากรถพร้อมกับชี้ไปด้านหลังที่มีรถจ่อรอไปหาที่จอดอีกเป็นสิบคัน
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ ขับรถชนรถพี่แล้วยังต้องให้พี่มาถอยรถเข้าจอดให้อีก” ฉันยกมือไหว้พี่เขาหลังจากที่พี่เขาลงมาจากรถของฉันแล้วก็ยื่นกุญแจคืนให้
“ไม่เป็นไรครับ”
“เดี๋ยวหนูเรียกประกันสักครูนะคะ” เพิ่งนึกได้ค่ะว่าต้องเรียกประกัน สติกระเจิงจริง ๆ ปกติยาหยีก็มีสตินะแต่พอมันเกิดอุบัติเหตุแบบนี้สติก็เลยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“อืม~ ไม่ต้องหรอกครับรถน้องแค่ไฟท้ายร้าวนิดหน่อยแทบมองไม่เห็นนะพี่ว่า” พี่เขาเดินอ้อมไปมองท้ายรถของฉันค่ะ สำรวจเสร็จก็เดินกลับมาบอก แต่ไม่หันไปสนใจรถตัวเองที่มันบุบลงไปเลย
“แต่รถพี่” ฉันชี้ไปที่รถพี่เขาที่มันมีบาดแผลจากฝีมือนังกระปุกลูกสาวฉันและฝีตีนแม่ของมัน
“ไม่เป็นไรครับวันนี้ปีหนึ่งต้องไปรายงานตัวไม่ใช่เหรอรีบไปเถอะ รถพี่ประกันชั้นหนึ่งเหมือนกัน โกหกประกันว่าถอยชนถังขยะได้” พี่เขาพูดแบบอารมณ์ดี้ดี พูดไปยิ้มไปสำเนียงก็สุภาพมาก แต่ยาหยีคนนี้ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“แต่...”
“ไปเถอะน่า พี่ไปก่อนนะ แต่คราวหลังน้องต้องขับรถระวัง ๆ นะครับ มันอันตรายรู้ไหม” พี่เขายิ้มให้อีกแล้ว ยิ้มแล้วก็ก้มหัวให้ฉันนิดหน่อยก่อนที่เขาจะหันหลังแล้วก็เดินจากไป
เทพบุตรโคตรผู้ชายในฝัน...เวลานั้นฉันรู้แค่ว่าพี่เขาเป็นผู้ชายในฝัน ผู้ชายที่แสนดี สุภาพ ยิ้มสวย พูดเพราะ หล่อ ครบทุกอย่างที่ผู้หญิงควรเลือกไปเป็นแฟนแต่ฉันไม่เคยเจอพี่เขาอีกเลยหลังจากนั้นจนกระทั้งขึ้นปี 2 สวรรค์ก็เหวี่ยงให้เราสองคนมาเจอกันอีกครั้งเพราะบังเอิญอยู่ชมรมเดียวกัน
ตอนนั้นจำได้ว่าตัวเองดีใจมากเลยค่ะ พี่เขาจำฉันไม่ได้แต่ฉันจำเขาได้ดี แค่เห็นแผ่นหลังของพี่เขาครั้งแรกก็ใจเต้นแล้ว ฉันจำได้เพราะมันเป็นภาพสุดท้ายที่เห็นพี่เขาเมื่อปีก่อน ยิ่งได้ทำความรู้จักก็ยิ่งได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เกิดมาพร้อมกับคำว่า โคตรเป็นคนดี
แต่....
เป็นคนดีที่มีหน้ากากซาตานอยู่ข้างใน หลบซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดแล้วก็เลือกที่จะเปิดเผยตัวตนกับเฉพาะบางคนต่างหาก!
ติ๊งต่อง ๆๆ
แอด~
“มาแล้วเหรอคะ?” เจ้าของห้องเปิดประตูพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน รอยยิ้มที่ดูแสนดีแต่ถ้ามองดี ๆ จะรู้ว่ามันอาบยาพิษ!
“ก็เห็นนี่คะ มีตาไม่ใช่เหรอ?”
“อ่าส์~ มาถึงก็ปากดีใส่พี่เลยนะท่าทางวันนี้จะอารมณ์ไม่ดี” พูดไปยิ้มไปไม่สนใจสิ่งใดในโลก สนใจแค่ความต้องการของตัวเอง สนใจแค่จะทำยังไงให้ชีวิตกูมีความสุข!
“เรียกมาให้ฟังน้ำเสียงน่ารังเกียจแบบนี้เหรอคะ?” ฉันไม่อยากพูดหรือคุยกับผู้ชายคนนี้เลยสักประโยคเดียว คำพูดของเขาถึงมันจะมีน้ำเสียงที่น่าฟังมากแต่เชื่อเถอะถ้าลองมาเป็นฉันคงไม่มีใครอยากฟังสักนิด แค่คำเดียวที่ออกจากปากผู้ชายคนนี้ก็ไม่อยากฟัง
“หึ ๆ เปล่าค่ะ" พอฉันตอกกลับเขาก็กระตุกยิ้มมุมปาก หัวเราะในลำคอแล้วก็เอาไหล่พิงขอบประตูมองหน้าฉัน
"พี่เรียกยาหยีมาเอาต่างหาก~”
เกลียด! ฉันเกลียดไอ้สารเลวนี่ ไอ้กิ้งกือไส้เดือน ไอ้เห็บหมา ไอ้งูสารพัดพิษ!