ในห้องนอนของข้าวผัด เด็กสาวยกมือลูบประแป้งลงที่ใบหน้า กำลังพยายามเอาแป้งลบรอยที่ดวงตาปูดบวมกับปลายจมูกที่แดงอย่างเห็นได้ชัด
“ยายโง่ข้าวผัด” เธอว่าให้ตัวเอง
จ๊อก ๆ... เสียงโครกครากของท้องไส้ที่เริ่มร้องดัง
“หิวจัง” เธอยกมือกุมท้องบอกตัวเอง กลิ่นปิ้งย่างลอยมาตามสายลม เข้ามาเต็ม ๆ จมูก
“หอมมาก” เธอพูดอยู่คนเดียว ก่อนจะลุกเดินไปที่หน้าต่าง ใช้มือจับลูกกรงแล้วมองลงไปที่ข้างล่าง แต่ไม่เห็นอะไรมากเพราะมีต้นไม้บังเอาไว้ เห็นแต่ควันสีขาวที่ลอยขึ้นบนฟ้า กับเสียงคุยที่ดังแต่ไม่ได้ศัพท์ว่าทุกคนพูดอะไรกัน
“คงเปรมน่าดูนะ...ไอ้ข้าวโพด” เธอแดกดันน้องชาย นึกถึงกิริยาการกินที่มูมมามของน้องชายแล้วก็คิดอิจฉา ป่านนี้คงใช้สองมือหยิบอาหารเข้าปากอยู่แน่ ๆ
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...มีเสียงเคาะประตูรัว ๆ อยู่ด้านนอก เด็กสาวที่ใจกำลังลอยไปถึงข้างล่าง ตกใจสะดุ้งสุดตัว หันหน้ามาทางประตู ยืนนิ่งฟังเสียงว่าใครมาตาม ถ้าเป็นข้าวโพดจะด่าให้ แต่ผิดคาด
“ข้าวผัดจ๋า เปิดประตูห้องให้อาไผ่หน่อยเร็ว” น้ำเสียงที่นุ่มนวลและเรียกเธอแบบเอ็นดูเหมือนเช่นเคยดังขึ้นอยู่ที่หลังประตู
“ข้าวผัดหลานรักของอาเปิดประตูให้อาไผ่หน่อย ไหนว่าอยากได้ของรางวัลไง เปิดประตูออกมาเร็ว” เขานิ่งฟังเสียงจากข้างใน แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบ
“ว้า... ไม่เอาใช่ไหม... งั้นอาเอาให้ข้าวโพดเลยน้า” อาไผ่แกล้งพูด แล้วทิ้งระยะ ก่อนจะพูดออกไปอีกครั้ง
“ไม่เอาจริง ๆ นะ”
แอ๊ด... เสียงเปิดประตูออกมา พร้อมกับใบหน้าของสาวน้อยที่ยังทำงอนมองอาไผ่ค้อนนิด ๆ
ไผทพอเห็นหน้าเธอที่ตาแดง ๆ และมีร่องรอยผ่านการร้องไห้มาก็นึกเอ็นดู เขาสวมกอดเธอเอาไว้ เด็กสาวโผเข้ากอดอาของเธอแน่น
“อาไผ่ไม่รักข้าวผัดแล้วเหรอคะ”
“โธ่เอ๊ย... เด็กโง่ ไม่รักได้ไง อาไผ่เคยรักข้าวผัดยังไงก็รักยังงั้น” เขาดึงตัวเองออกห่าง ก้มหน้าช้อนสายตามองใบหน้าของเด็กสาว
“แต่อาไผ่ก็แต่งงานไปกับคนอื่น”
“อ้าว... มานี่...มา...” เขาดึงเด็กสาวกลับเข้าไปในห้อง พาเด็กสาวไปนั่งที่เตียง วางตุ๊กตาหมีที่ถืออยู่ในมือยัดเข้าไปที่หน้าตักของเด็กสาว สองมือของเขาจับยึดหัวไหล่ของข้าวผัดเอาไว้แล้วจ้องสบตา
“ข้าวผัดรู้ไหม พอข้าวผัดโตเป็นสาว ข้าวผัดก็ต้องมีแฟน แล้วก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว ที่อาไผ่แต่งงานกับอาเหมย เพราะอาไผ่รักอาเหมยแล้วอาเหมยก็รักอาไผ่ อีกอย่างอาไผ่อยากได้แม่บ้านมาช่วยดูแลอาไผ่ ซักผ้า รีดผ้า ทำอาหารให้อาไผ่กิน” เขาพยายามให้เหตุผล
“ทำไมอาไผ่ไม่บอกข้าวผัด ข้าวผัดจะหัดทำอาหาร” เธอเถียง
“เฮ้อ... อาไผ่ไม่อยากกินข้าวไข่เจียวทุกวันนะสิ แล้วบางทีก็มีสีดำ มีกลิ่นไหม้ แล้วซักผ้ารีดผ้าอีก ตอนนี้ข้าวผัดยังให้แม่บ้านทำให้อยู่เลย” เขาเย้าเด็กสาว
“อาไผ่” เด็กน้อยยอมศิโรราบกับเหตุผลที่คุณอาให้
“เรายังเด็ก ให้ตั้งใจเรียน... รู้ไหม”
“แล้วถ้า ข้าวผัดซักผ้าเป็น ทำกับข้าวเป็น อาไผ่จะแต่งงานกับข้าวผัดไหมคะ” คำถามของเด็กสาวทำให้คุณอายิ้มปากกว้าง
เขาดึงเด็กสาวเข้ามาแนบอก
“เฮ้อ... อีกหน่อยพอข้าวผัดโตเป็นสาว มีผู้ชายมาจีบ ๆ หลายคน ขี้คร้านจะลืมคุณอาแก่ ๆ คนนี้เสียมากกว่า” เขายกมือขึ้นขยี้ผมของเธอ
“แต่ตอนนี้อาหิ้วหิว... ข้าวผัดหิวไหม” ไผทยกมือขึ้นลูบท้องของตัวเอง เด็กสาวพยักหน้า
“เก็บตุ๊กตาตัวนี้เอาไว้ก่อนนะครับ ไป๊... เราไปกินข้าวกัน” เขาหยิบตุ๊กตาวางเอาไว้บนเตียง ก่อนจะคว้าข้อแขนเล็กให้เดินตามลงไปด้านล่าง
“นั่นไง... มากันแล้ว” สิงขรชี้นิ้วไปยังสองคนอาหลานที่จูงมือเดินมาด้วยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“โอ๋ ๆ... ต้องให้อาไผ่ไปเรียกเนอะ” ข้าวโพดทำเสียงกระแนะกระแหนพี่สาว
ข้าวผัดทรุดลงนั่งใกล้ ๆ ก่อนจะคว้าเอากุ้งย่างตัวใหญ่ในจานของน้องชายมาใส่ในจานของตัวเอง
“เอาคืนมานะเจ๊” ข้าวโพดทำโวยวาย ข้าวผัดทำจมูกย่น ๆ เข้าใส่ แล้วไม่สนใจ ยกกุ้งตัวนั้นเข้าปากแล้วเคี้ยวหมับ ๆ เรียกเสียงหัวเราะของคนบนโต๊ะนั่นได้ทุกคน
หลังจากนั้นผ่านไปแปดเดือนเหมยก็ได้คลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิง อาไผ่ให้ข้าวผัดเป็นคนตั้งชื่อเล่นของน้อง น้องสาวตัวน้อยสมาชิกใหม่ของไร่สิงขรจึงได้ชื่อว่า ผิงผิง แล้วไผทก็ตั้งชื่อจริงของเด็กหญิงว่า ดาริกา ให้คล้ายชื่อจริงของดารินและข้าวผัดก็สนิทกับอาเหมยไปโดยปริยาย วัน ๆ ถ้าไม่ได้ไปเรียนก็ขลุกอยู่กับอาเหมยกับน้องสาวตัวน้อย ๆ ทั้งวัน
“จับให้มันแต่งตัว” เสียงประกาศิตของเจ้าสัวสินชัยดังลั่นไปทั้งห้อง
“คุณคะ” มารดาของดารินพยายามเรียกสามีเสียงอ่อย
“หยุดพูดไปเลยนะอาหลิง เพราะลื้อไงที่ทำให้มันเสียคน ไม่เคยนึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ มันถึงทำเรื่องไร้ยางอายอย่างนี้ นี่ดีแค่ไหนที่คุณสันต์เขายังรักมัน และไม่เคยเปลี่ยนใจ ถามมันสิมันอยากจะไปกัดก้อนเกลือกินกับไอ้ไผ่นั่นอยู่ไหม ถ้ามันอยากกูนี่แหละจะเอาปืนไปกรอกปากมันสองพ่อลูกให้ตกนรกหมกไหม้ไป มันจะเอาแบบนั้นใช่ไหม” เจ้าสัวสินชัยพูดขึ้นมาด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว
น้ำตาของดารินไหลลงมาพราก ๆ เธอรู้จักพ่อของเธอดี และสิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดตอนนี้ คือต้องยอมรับสภาพ ไม่เช่นนั้น พ่อของเธอคงไม่ปล่อยไผทเอาไว้แน่ ๆ
‘พี่ไผ่ขาอภัยให้เมียนะคะ วาสนาเราทำร่วมกันมาได้แค่นี้ ฝากดูแลลูกด้วย คิดเสียว่าเหมยตายจากพี่ไปแล้วนะคะ’ เธอร้องไห้คร่ำครวญ นึกไปถึงใบหน้าของสามีและลูก หากเธอยังขืนดื้อดึงพวกเขาคงได้ไปเฝ้ายมบาลในเมืองผีแน่นอน
“เหมยเอ๊ย... ลูกจ๋าอย่าร้อง” คุณแม่ที่แสนดีที่รักลูกคนนี้ของแม่เสมอ ถึงแม้กี่ครั้งแล้วที่เธอทำให้แม่เสียใจ แม่ไม่เคยถือสา นางนั่งน้ำตาไหลอยู่ตรงหน้าเช่นกัน หัวใจของผู้เป็นแม่แตกสลายตั้งแต่วันที่เธอหนีหายไปกับไผท กว่าจะตามเจอได้ก็ล่วงไปห้าปี นางยกมือขึ้นลูบไล้ตามแขนขา และใบหน้าที่งดงามของลูกสาว ปากก็พร่ำพูดปลอบอกปลอบใจ ทำเสียงสะอื้นไห้ไม่แพ้คนเป็นลูก
“เหมยเอ๊ย... อย่าดื้อกับคุณพ่ออีกเลยนะลูก ที่คุณพ่อทำไปทั้งหมดนั้นก็เพราะรักลูกมาก” นางยกมือเช็ดน้ำตาที่ยังคงเอ่อล้นออกมาจากนัยน์ตาของลูกสาว