“มึงพาเมียมึงกลับเถอะไอ้แฟรงค์...อายใหญ่แล้วที่กูสองคนมาเห็นตอนพวกมึงเกือบเอากัน”
ขวับ~
ฉันหันมามองผู้ชายข้าง ๆ ทันทีที่เขาพูดจบ
แรงมาก คำพูดทั้งตรงและแรง จินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าฉันเป็นผู้หญิงคนนี้จะรู้สึกยังไงดี กลัว อาย อับอาย ขายขี้หน้า หรืออยากแทรกแผ่นดินหนี มันตรงและแรงมากจริง ๆ
“ไปกันเถอะ” เขาหันมามองฉันจากนั้นก็พยักหน้าให้แล้วเดินนำฉันไปข้างหน้าและที่สำคัญคือต้องผ่านพี่แฟรงค์กับ...เมียของพี่เขา
เฮ้อ~ ปวดหัวใจ ปวดทุกห้องปวดทุกจุด ปวดมากจนแทบจะลามไปถึงตับอ่อน T_T
“...” ฉันมองแค่แผ่นหลังคนของแปลกหน้าพยายามไม่โฟกัสอะไรรอบข้างยิ่งตอนที่เดินผ่านพี่แฟรงค์กับเธอคนนั้นฉันก็ยิ่งจ้องไปที่จุดเดียวตรงเสื้อของเขาจนตาแทบเหล่พอพ้นออกมาถึงได้รู้ว่า หายใจทั่วท้อง มันเป็นยังไง
“รู้จักไอ้แฟรงค์เหรอ” เดินออกมาข้างนอกกันแล้ว กำลังจะเดินไปที่รถเขาก็ถามขึ้น
“ค่ะ”
“รถจอดอยู่ตรงไหน” เขาหันมาถามเพราะเดินออกมาจากหลังร้านนิดเดียวก็เป็นลานจอดรถแล้ว
“นั่นค่ะ” ฉันชี้ไปด้านขวา รถจอดอยู่ตรงนั้นเหลือคันเดียวโดด ๆ เลย
“อื้ม” เขาตอบรับในลำคอแค่นี้แล้วก็...เดินเลี้ยวไปอีกทาง
ฮะ?
แยกกันดื้อ ๆ แบบนี้เลยเหรอ?
“...”
โอเค ไม่เป็นไร ไม่ได้อยากสานต่ออะไรอยู่แล้วแต่ก็แค่งง ๆ ว่าแยกกันง่าย ๆ ไม่มีคำลาตามมารยาทแบบนี้เลยเหรอ
ฉันมองตามแผ่นหลังเขาที่เดินไปทางด้านที่มีรถหรูราคาสามสิบล้านบวกบวกบวกจอดอยู่ คิ้วของฉันขมวดเข้าหากันด้วยความงงตั้งแต่เขาเดินไปแต่สุดท้ายฉันก็ยักไหล่เบา ๆ แล้วเดินไปที่รถตัวเอง
“ฟู่ว์~ ตั้งสติให้ได้เร็ว ๆ นะเซย์” ฉันจับพวงมาลัยรถให้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างพ่นลมหายใจเต็มแรงเผื่อจะช่วยผ่อนคลายความหนักอึ้งในใจ เตือนสติตัวเองแล้วค่อยขับรถออกมาโดยที่ไม่มองกระจกหลังอีกเลย
คงมาที่นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ไม่มาแล้วค่ะ ไม่กล้ามาอีกต่อไป หลอนมาก หลอนหลายเรื่องเลยใครกล้ามาก็บ้าแล้ว
-หลายวันต่อมา-
“อิ๊งค์”
“อื้อ” อิ๊งค์ที่นั่งกดโทรศัพท์ขานรับฉัน
“ทำไมแขนช้ำ”
“...อะไรนะ?” อิ๊งค์ละสายตาจากโทรศัพท์มามองหน้าฉันแล้วค่อยถาม ถามเหมือนงง ๆ แต่มีพิรุจแล้ว
“ทำไมแขนช้ำ ไปชนอะไรมา”
“ไหน” เหอะ! แกล้งทำเป็นยกข้อมือสองข้างมาตามหารอยช้ำซะงั้น
“ถามถึงแขนไม่ใช่ข้อมือ”
“อ้าวเหรอ โทษที ๆๆ ฟังไม่ถนัด ไหนอ่ะ” อิ๊งค์รีบยิ้มขำแต่มัน...เฮ้อ~
“เนียนนะอิ๊งค์ถ้าไม่รู้จักกันนาน”
“อะไรของ... / อิ๊งค์” เสียงฉันที่เรียกเพื่อนทำให้เพื่อนสนิทเงียบไปทันที
“...”
“มันซ้อมเหรอ”
“เปล่า แค่เผลอบีบแขนแรงนิดหน่อย เราตัวช้ำง่ายเซย์ก็...”
หมับ!
“ทะ ทำอะไรเซย์”
“จะบีบดูไงว่ามันจะช้ำง่ายจริงไหม” ฉันกำต้นแขนอีกข้างของเพื่อนแล้วบีบเต็มแรงจนเพื่อนหน้าถอดสี
“ซะ เซย์”
“เจ็บไหม” ฉันบีบแรงมาก ไม่กลัวเพื่อนเจ็บ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น บีบจนมือตัวเองสั่นเลยค่ะ
“เซย์~”
“เจ็บเหรอ?” ฉันจ้องหน้า ถามแล้วก็บีบให้แรงกว่านี้ถึงแม้ว่ามันจะสุดแรงฉันแล้วก็ตาม
“เซย์เราเจ็บ พอเถอะ~” อิ๊งค์น้ำตาคลอตอนที่เอ่ยขอทำให้ฉันยอมคลายมือช้า ๆ
“ขนาดแรงผู้หญิงยังเจ็บจนทนแทบไม่ไหวแล้วแรงผู้ชายตัวใหญ่กว่าตัวเองตั้งเยอะ...ทนทำไม?”
“...” อิ๊งค์น้ำตาคลอก่อนจะก้มหน้าไม่กล้าสบตาฉัน
“ไม่เข้าใจว่ะอิ๊งค์ ไม่ได้ขอเงินมันใช้ซะหน่อยแล้วจะทนเพื่อ? โลกนี้ไม่มีคนดีแล้วเหรอ ดีกว่ามันสักนิดก็ได้ไม่ใช่เหี้ยอย่างเดียวแบบนี้”
“...เราไม่พร้อมจะเลิกกับพี่บูม” อิ๊งค์เสียงสั่นมากและคำตอบก็ทำให้ฉันกรอกตามองบน
“โอเค ถ้างั้นก็ทน ไม่รู้หรอกว่าไปโดนอะไรมาแต่ระวังสักวันมันจะมากกว่านี้นะอิ๊งค์”
“...อื้ม~”
“เรากลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยคุยกัน” วันนี้เราสองคนเข้ามาที่คณะ มาหาอาจารย์ที่ปรึกษาพอทำธุระเรียบร้อยมีเวลานิดหน่อยเลยนั่งเล่นกันก่อนแต่นั่งได้แป๊บเดียวตาฉันก็ไวเกินจนได้คุยเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่นไงเลยไม่มีอารมณ์จะนั่งคุยต่อแล้ว
“...ขอโทษนะเซย์” อิ๊งค์มองฉันที่ลุกขึ้นยืน น้ำตาที่คลอก็ไหลออกมาช้า ๆ หลังจากที่เอ่ยคำขอโทษฉันจบแต่ฉันส่ายหน้าเบา ๆ
“ขอโทษหัวใจกับร่างกายตัวเองดีกว่าอิ๊งค์ ขอโทษมันบ้างเพราะแกทำร้ายมันมามากพอแล้ว”
“...อื้ม” อิ๊งค์รับคำช้า ๆ แต่ฉันไม่คิดจะพูดอะไรอีก ฉันเลือกที่จะเดินออกมาเลย ไม่ได้โกรธเพื่อนหรอกแค่เหนื่อยที่จะบอกและเตือนแล้ว ก็รู้นะว่าบอกไปเตือนไปเพื่อนก็รักไอ้บูดนั่นจนยอมทุกอย่างอยู่ดีแต่ให้ตายเถอะมาเห็นรอยช้ำที่แขนเป็นปื้นขนาดนี้ใครจะทนหุบปากไหว
น่าโมโหเป็นบ้า ทั้งไอ้บูดสันดานหมาทั้งเพื่อนสนิทที่รักเขาจนไม่รู้จักรักตัวเอง
ทนได้ยังไง? ให้ตายเถอะฉันรู้สึกแย่กับเรื่องราวเส็งเคร็งในชีวิตที่เกิดขึ้นตอนนี้มากเลยนะแต่พอวันนี้ได้เจออิ๊งค์ฉันก็อยากขอบคุณตัวเองมากที่เข้มแข็งและแข็งแรงได้มากขนาดนี้
ตื๊ดดดด ตื๊ดดด
...พี่แหม่ม
ติ๊ด!
“ค่ะพี่แหม่ม”
“บ่ายเข้าออฟฟิตทันไหมคนสวย”
“ทันค่ะกำลังไป แต่อาจจะเลทสักสิบยี่สิบนาทีนะคะเผื่อรถติดค่ะ”
“จ้า ไม่เป็นไร เข้ามาพี่แหม่มก็ดีใจแล้ว เจอกันนะคนสวย”
“ค่ะพี่แหม่ม” ฉันรับคำเสียงสดใสแล้วพี่แหม่ม...ป้ามหาภัย ก็กดวางสายไปเลย
เหอะ!
เรียกไปเดินเอกสารไม่ก็พิมพ์งานแทนชัวร์
หายหงุดหงิดเรื่องอิ๊งค์ในบัดดลเลยค่ะ แค่ได้ยินเสียงหวานก้นเปรี้ยวของพี่แหม่มฉันก็เลิกหงุดหงิดกับทุกเรื่องแล้วพุ่งไปหงุดหงิดพี่แหม่มแทน
ชีวิตเด็กฝึกงานเนอะ ทนเอาแล้วกันอีกแค่สามเดือน ถึงแม้จะเป็นสามเดือนที่เหมือนจะขาดใจ
รู้ไหมคะว่าฝึกงานได้แค่เดือนเดียวฉันอยากวิ่งไปกรี๊ดใส่กระจกห้องน้ำของออฟฟิตวันละแปดรอบได้มั้ง เลือกที่ฝึกงานผิดคิดจนตัวตายพอ ๆ กับไอ้อิ๊งค์ที่เลือกผัวผิดคิดจนตัวตายเลยมั้ง T^T ถึงแม้ว่าจะแอบดีนิดหน่อยที่รุ่นพี่ในแผนกงานดีหลายคนก็ตาม
-สองอาทิตย์ต่อมา-
“น้องเซย์~”
...เฮ้อ~
“ขาพี่แหม่ม~” ฉันขานรับเสียงสดใส นี่สินะรสชาติของการเป็นผู้ใหญ่ ขมแค่ไหนก็ต้องทำเป็นหวานเข้าไว้
“พี่มีเรื่องที่จะให้น้องเซย์ได้แสดงความสามารถของหนูแล้วค่ะคนสวย”
“ค่ะ” ^^
เหอะ! ก็เห็นมีเรื่องให้แสดงความสามารถทุกวันนะ จะใช้ก็ใช้เถอะเหนื่อยคุยเยอะ
“พอดีว่ามีลูกค้าคนหนึ่งของบริษัทที่ค่อนข้างคุยยากหน่อย ใครคุยด้วยก็คุยย๊ากยาก~ ตอนนี้ยังปิดดีลไม่ได้เลย”
“อ่า...ค่ะ” เหมือนจะเริ่มรู้ชะตากรรมตัวเองแล้วค่ะ ยิ่งเสียงหวาน ๆ กับรอยยิ้มประจบของพี่แหม่มยิ่งบอกชะตากรรมชัดเจน
“นี่พี่ก็ให้ฝ่ายขายแสดงความสามารถกันหลายคนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้สักคน พี่แหม่มมองหาใครที่จะทำสำเร็จไม่ได้เลยนอกจากน้องเซย์คนสวยของพี่แหม่มคนนี้ เพราะหนูเก่งมาก~”
“แต่หนูเป็นแค่เด็กฝึกงานนะคะพี่แหม่ม พี่ ๆ เขามีประสบการณ์กันยังคุยไม่ได้แล้วหนูที่ไม่มี... / หนูมีพรสวรรค์และความรู้ความสามารถจ้ะ พี่มองเห็นตั้งแต่วันแรกที่หนูมาฝึกงานแล้ว ไม่งั้นพี่ไม่ไว้ใจให้หนูทำหรอก”
เอ้อ~ ก็พูดมาได้นะ ถ้าไว้ใจในพรสวรรค์และความรู้ความสามารถของหนูทำไมไม่ให้คุยกับลูกค้าตั้งแต่แรกไปเลยล่ะคะ!
ฉันพยายามจะอ้าปากปฏิเสธแล้วนะคะแต่สุดท้ายฉันก็พ่ายแพ้ให้กับอำนาจมืด มาเฟียของออฟฟิตนี้อย่างพี่แหม่มคนนี้อยู่ดี แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นนะ พี่แหม่มบังคับฉันเสร็จบอสก็เดินผ่านมาพอดีพี่แหม่มเลยบอกบอสว่าจะให้ฉันคุยและมั่นใจว่าฉันคุยได้ล้านเปอร์เซ็นต์ นี่มันบ้า มันบ้าสุด ๆ ไปเลย T^T
-ครึ่งชั่วโมงต่อมา-
“ฟู่ว์~”
ตื๊ดดดด ตื๊ดดด
ติ๊ด!
(สวัสดีครับ)
“...” เสียงทุ้มหล่อมาก~
(ฮัลโหล ได้ยินรึเปล่า)
“เอ่อ ค่ะ สวัสดีค่ะดิฉันโทรมาจากบริษัท XXX นะคะ”
(บริษัท XXX?)
“ค่ะ”
(ผมปฏิเสธไปแล้วนี่ว่าไม่เอาบริษัทคุณ)
“คะ?” ฉันได้ยินคำพูดของลูกค้าก็ถึงกับเหวอ ไหนพี่แหม่มบอกว่าแค่ปิดดีลไม่ลงตัวเลยจะให้ฉันโทรมาขอนัดลูกค้าเพื่อเสนองานใหม่ไง แต่นี่ให้ฉันโทรมาตื๊อลูกค้าที่เขาปฏิเสธไปแล้วน่ะเหรอ?
บ้า!
บ้าที่สุดเลย!
ฉันมองไปที่พี่แหม่มที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ พอฉันมองหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือพี่แหม่มก็ยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่กดดันสุด ๆ ไปเลย นี่มันอะไรนักหนาชีวิตเซย์นิสเนี่ย! T^T
“คือ...ดิฉันไม่ซะ เอ่อ ดิฉันได้รับทราบปัญหาที่ลูกค้าต้องการให้ปรับแก้แล้วค่ะ ตอนนี้ทางเราได้ปรับแก้ตามแบบที่ลูกค้าต้องการแล้วเลยอยากจะขอโอกาสให้ทางเราได้เสนองานอีกสักครั้งได้ไหมคะ”
(ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกครับ ผมให้โอกาสทางคุณเสนอใหม่ห้ารอบแล้ว) ปฏิเสธชัดเจนเลยค่ะ ฉันมองพี่แหม่มเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้งแต่สิ่งที่ได้ก็คือยิ้มหวานที่เพิ่มความกดดันมากกว่าเดิม
“ดิฉันทราบค่ะ” ทราบเมื่อกี้ T^T
“แต่ดิฉันอยากขอโอกาสเสนองานใหม่อีกสักครั้ง แค่ครั้งสุดท้ายค่ะ ให้โอกาสบริษัทเราเถอะนะคะ งานของลูกค้าทางเราตั้งใจมาก มันอาจจะไม่ตรงใจลูกค้าถึงห้าครั้งแต่ก็ยังอยากจะขอโอกาสเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้เราได้เสนอในสิ่งที่ทุ่มเททุกอย่างลงไปเพื่อให้ตรงตามความต้องการลูกค้าค่ะ” ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปมันจะได้ผลรึเปล่า ฉันพูดด้วยความกดดันสุด ๆ ไปเลย แต่ฉันว่าลูกค้าเขาคงไม่...
(ผมมีเวลาแค่พรุ่งนี้ตอนบ่าย คุณเข้ามาเสนอใหม่แล้วกันแต่ถ้ายังไม่โอเคอีกผมคงไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่เจ็ดให้บริษัทคุณ)
“คะ?”
(พรุ่งนี้บ่ายโมงตรง อย่าเลท)
“ค่ะ ๆๆ ขอบคุณมากนะคะ”
ติ๊ด!
“กรี๊ด~ พี่ทำได้แล้วน้องเซย์! พี่ทำได้แล้ว~” ฉันวางสายเสร็จพี่แหม่มก็ลุกขึ้นกระโดดกรีดร้องเฮโลด้วยความดีใจทันที แต่...ฮะ? ฉันทำได้ไม่ใช่เหรอวะ???
#SHEYNNIS END
#TUN TALK
(ดิฉันทราบค่ะ)
(แต่ดิฉันอยากขอโอกาสเสนองานใหม่อีกสักครั้ง แค่ครั้งสุดท้ายค่ะ ให้โอกาสบริษัทเราเถอะนะคะ งานของลูกค้าทางเราตั้งใจมาก มันอาจจะไม่ตรงใจลูกค้าถึงห้าครั้งแต่ก็ยังอยากจะขอโอกาสเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้เราได้เสนอในสิ่งที่ทุ่มเททุกอย่างลงไปเพื่อให้ตรงตามความต้องการลูกค้าค่ะ)
“ผมมีเวลาแค่พรุ่งนี้ตอนบ่าย เข้ามาแล้วกัน แต่ถ้ายังไม่โอเคอีกผมคงไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่เจ็ดให้บริษัทคุณ”
(คะ?)
“พรุ่งนี้บ่ายโมงตรง อย่าเลท”
(ค่ะ ๆๆ ขอบคุณมากนะคะ)
ติ๊ด!
“...” ผมกดวางสายจากคนของบริษัทรับเหมาที่เขียนแบบมาไม่ได้เรื่องเลยสักครั้งให้โอกาสแก้มาห้ารอบก็ไม่ได้เรื่องจนบอกยกเลิกไปแล้วเพราะมันทำให้ผมเสียเวลาแต่สุดท้ายพอโดนขอร้องผมก็ยอมให้เข้ามาเสนออีกรอบ เสียงคุ้น คุ้นมาก คุ้นเหมือนคนที่ผม...เคยนอนด้วย
“...อ่าส์~” ผมพยายามจะบอกตัวเองว่าไม่ใช่แต่มันก็คุ้นมากเกินไป เสียงเหมือนผู้หญิงคนนั้นคู่นอนชั่วคราวคนแรกในชีวิตที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ เสียงที่ได้ยินแล้วผมได้แต่ภาวนาให้มันแค่เหมือนแต่อย่าให้เป็นผู้หญิงคนนั้นเลย...