29

1496 คำ
“จริงด้วย แสดงว่าคุณพรสวรรค์หลอกกระหม่อม” ชีคหนุ่มถึงกับยิ้มออกเมื่อคนของตัวเองฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่ทันไรก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทัน “คุณพรสวรรค์หลอกให้กระหม่อมตายใจคิดว่าน้องกุกุกำลังนอน แต่จริงๆ แล้วน้องกุกุไม่ได้นอน และอาจจะกำลังคิดทำอย่างอื่นอยู่” ชีคหนุ่มถึงกับพ่นลมหายใจหนักๆ ก่อนจะถามออกมาอย่างเหลืออด “น้องกุกุอะไรของแก” “น้องกุกุ ก็น้องกุมารทองที่คุณพรสวรรค์เธอเลี้ยงเอาไว้ไงพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟตอบพลางหันไปมองรอบๆ อย่างหวาดระแวง “พรสวรรค์บอก แล้วแกก็เชื่อ?” “ทีแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอคุณพรสวรรค์บอกว่าน้องกุกุชอบรอยสักที่หน้าอกกระหม่อม เท่านั้นแหละพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อเกินร้อยเลย” ชีคหนุ่มได้ฟังแล้วก็อดเขม่นคนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ในห้องด้วยไม่ได้ “แสบนักนะยัยตัวแสบ” ก็ไม่รู้จะโกรธหรือชื่นชมการหาวิธีเอาตัวรอดของเธอดี สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ทำไงได้คนของเขาไม่ฉลาด ปล่อยให้เธอหลอกเอาได้ง่ายๆ เอง “นะๆ นั่น พระองค์จะเสด็จไหนพ่ะย่ะค่ะ” รู้ทั้งรู้ แต่ฮารีฟก็ยังจะถาม “ก็เข้าไปข้างในไง ถอยไปสิ ฉันจะนอน” ชีคหนุ่มพยายามจะเปิดประตูเข้าไป แต่ติดตรงที่องครักษ์ขี้กลัวรั้งเอาไว้ “ไม่ไปได้ไหม ห้องบรรทมอยู่โน่น ห้องนี้เล็กบรรทมไม่สบายหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟพยายามหาเหตุผลเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าไป “อย่ามาเกะกะ ถอยไป” เหตุผลของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ชีคหนุ่มสนใจได้เท่ากับการเข้าไปในห้องให้จงได้ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าสองคนกำลังยื้อยุดฉุดบานประตูกันไปมา “เชื่อกระหม่อมเถอะพ่ะย่ะค่ะ อย่าเข้าไปเลย มันน่ากลัว” “แต่ฉันไม่กลัว ถอยไป” “ไม่! ถ้าพระองค์เข้าไป บางอย่างข้างในก็ต้องออกมา แล้วกระหม่อมจะอยู่ยังไง” ฮารีฟโอดครวญอย่างเผลอไผล และจังหวะนั้นเองที่ชีคหนุ่มฉวยโอกาสเข้าไปอีกด้านของประตูได้สำเร็จ แต่ก่อนปิดประตูก็ยังไม่วายใจดีตอบคำถามขององครักษ์ผู้ภักดีอีก “ก็อยู่กับน้องกุกุไปไง” ตอบเสร็จประตูก็ปิดลง ทิ้งให้คนข้างนอกต้องทวนคำตอบกับตัวเองอย่างช้าๆ “อยู่…กับ…น้อกุกุ ว้าก! ไม่เอาไม่อยู่ ผีกับคนจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ อย่าทิ้งกระหม่อมไว้แบบนี้ ออกมาอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน ฮือ! กลัว” ว่าแล้วคนขี้กลัวจำต้องบากหน้ากลับเข้าไปนอนกับพี่ชายอย่างช่วยไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องนอนกับน้องกุกุที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ไหนด้วยซ้ำ กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน หลังจากต่างฝ่ายต่างจัดการมื้อเช้าของตัวเองเงียบๆ อย่างกำลังใช้ความคิด พลันเธอก็โพล่งออกมาในที่สุด “เอ่อ…คือในเมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คุณเองก็จับคนร้ายได้แล้ว คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วมั้ง ถ้าไงฉันขอกลับบ้านเลยได้ไหม” คนจากบ้านมาหลายวันถามทำลายความเงียบ “อืม! ไปเก็บของสิ” คำตอบของเขาทำเธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “เย้! ฉันจะได้กลับบ้านแล้ว” “ใครบอกว่าฉันจะให้เธอกลับบ้าน” “เอ้า! ไม่ให้กลับบ้านแล้วจะให้ฉันไปไหนเล่า” เธอทำหน้าแปลกใจแกมสงสัย “ไปดามัส” เขาตอบสั้นๆ ในขณะที่เธอยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “หา! ไปทำไม” เสียงอุทานของเธอแทบเป็นเสียงตะโกน “ไปรับรางวัล” เขาตอบสั้นๆ อีกเช่นเคย “รางวัลอะไร” เธอยังไม่เข้าใจอยู่ดี “ก็รางวัลที่เธอช่วยจับคนร้ายอย่างไอ้ฟาฮัสไง” “บ้า! ฉันเนี่ยนะ คุณต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ ฉันจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง ถ้าบอกว่าไปช่วยเป็นภาระยังจะเข้าใจง่ายกว่า “ไม่ผิดหรอกครับ คุณคือฮีโร่ของชาวดามัสทุกคน ไอ้ฟาฮัสมันเป็นอาชญาการตัวร้ายที่เราตามล่ามันมาหลายปี รู้ไหมครับกว่าเราจะตามจับมันได้ เราต้องวางแผนกันแทบเป็นแทบตาย ในขณะที่คุณใช้เพียงความเจ็บปวดที่เปลี่ยนเป็นความกล้าหาญจัดการมันจนอยู่หมัด พูดแล้วก็ยังขนลุกไม่หาย ผมยังจำได้ไม่ลืมตอนที่คุณปวด…จนทนไม่ไหวแล้วหันไปอัดมันจนน่วม แม่เจ้า! คุณคือไอดอลของผม” เป็นฮารีฟที่ตอบ มิหนำซ้ำยังชื่นชมออกหน้าออกตา แต่เอิ่ม! แล้วเธอต้องภูมิใจด้วยไหมเนี่ย “พวกคุณก็ชมกันเกินไป (แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ชม)” ท้ายประโยคเธอแอบต่อในใจ “ไม่เกินไปเลยสักนิด ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณทำ (มันไม่น่าภูมิใจก็ตรงสิ่งที่ทำนี่แหละ) คุณคือบุคคลที่น่าชื่นชม ผมเชื่อว่าชาวดามัสทุกคนอยากตอบแทนความดีของคุณ” ฮารีฟยกย่องชื่นชมจนตัวเธอแทบลอย ติดก็ตรงที่มาที่ไปของคำชื่นชมนี่แหละที่ทำให้เธอภูมิใจไม่ได้สักที “โอ๊ย! ไม่ต้องหรอก รางวงรางวัลอะไรไม่ต้องก็ได้ ฉันทำอะไรก็ไม่หวังผลตอบแทนอยู่แล้ว” เธอโบกไม้โบกมือบอกไม่เป็นไร แต่ในใจกลับกำลังโอดครวญอย่างหนัก ‘ไม่มีทาง ฉันจะไม่ยอมเอาเกียรติยศอันน่าอายนั่นมาแลกกับรางวัลหรือโล่เกียรติยศอะไรนั่นเด็ดขาด คิดดูนะถ้าเขาให้เล่าถึงวีรกรรมอันกล้าหาญนั่น โอวไม่! แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไม่ๆๆ เรื่องนั้นจะต้องไม่เกิดขึ้น มันจะต้องถูกฝังกลบเอาไว้ที่นี่ จะไม่มีใครได้รับรู้เรื่องน่าอายนั่นอีก’ “สองล้าน” จู่ๆ ชีคหนุ่มก็พูดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่กำลังโอดครวญถึงกับหันขวับมามองด้วยสีหน้างงงวยแกมสงสัย จนเขาต้องพูดต่อ “สองล้าน รางวัลสำหรับความดีความชอบของเธอ” “สองล้าน” เสียงเธอแทบเป็นเสียงตะโกน อีกทั้งสองตายังเบิกกว้างราวกับเพิ่งเจอเรื่องน่าสะพรึงมา “ใช่! แต่ถ้าเธอยังยืนว่าไม่รับ ฉันคง…” เขาพูดยังไม่ทันจบ เสียงเธอก็แทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “รับค่ะ” เสียงที่โพล่งออกมาทำทุกคนหันขวับมามองเธอเป็นตาเดียว “อะเอ่อ…คือ ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ไหนๆ พวกคุณก็ตั้งใจจะมอบรางวัลนั่นให้ฉันอยู่แล้ว ถ้าฉันไม่รับเอาไว้ก็คงเป็นการเสียมารยาทน่าดู แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรื่องเงินล่ะ (เพราะความจริงมันก็เป็นเรื่องนั้นแหละ) เพราะสำหรับฉันเรื่องเงินมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสักนิด (แต่มันสำคัญมาก) ถือซะว่าที่ฉันรับเงินนั่นเท่ากับฉันรับน้ำใจจากพวกคุณนั่นแหละ” เธอแก้เก้อพร้อมกับแก้ต่างให้ตัวเองไปพร้อมกัน ถึงแม้จะกระดากอยู่บ้าง ‘แต่เพื่อสองล้าน ให้กระดากกว่านี้ฉันก็ยอม’ “ตกลงเธอจะไปรับรางวัลนั่นที่ดามัสกับฉัน? แต่ถ้าเธอไม่สะดวก” เป็นอีกครั้งที่เขาพูดยังไม่ทันจบ เสียงเธอก็แทรกขึ้นมา “สะดวกมาก” เธอเผลอโพล่งออกมาจนเขารู้ไต๋อีกจนได้ จึงได้แต่เบือนหน้าไปอีกทางเพื่อต่อว่าตัวเอง ในขณะที่เขาดูจะอารมณ์ดีกว่าใครเพื่อน เมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างที่คิด แรกเริ่มยังคิดไม่ตกด้วยซ้ำว่าถ้าเรื่องวุ่นๆ ที่เขาใช้เป็นข้ออ้างรั้งให้เธออยู่ด้วยจบไป เขาจะทำยังไงให้เธอยังคงอยู่ใกล้ๆ เขาต่อไป กระทั่งเหตุการณ์เมื่อคืน ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้ฮารีฟที่พูดให้เขาได้คิดว่าจะทำให้เธอตามกลับไปกับเขาได้ยังไง ถึงแม้ความดีความชอบที่ฮารีฟว่ามันจะดูประหลาดไปสักหน่อย แต่มันก็ใช้ได้ผลเลยทีเดียว เพียงแค่ต้องใช้เงินเป็นตัวแปรหลักด้วยก็เท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังมองมา และอาจจะกำลังมองว่าเธอเป็นคนเห็นแก่เงิน (ซึ่งความจริงก็เป็นอย่างนั้นแหละ) เธอจึงต้องรีบแก้ต่างเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง “คือฉันหมายถึง ฉันเองก็ไม่ติดอะไร สามารถไปกับคุณได้ แต่ขอฉันกลับไปคุยกับป้าฉันก่อนได้ไหม ฉันไม่อยากให้ท่านต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้ท่านอาจจะกำลังกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะกำลังเป็นห่วงฉันอยู่ก็ได้”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม